วันที่เจียงซื่อออกเรือนเป็นวันที่อากาศแจ่มใส มีสายลมพัดโชย นำพาให้ผู้คนพลอยมีความสุขตามไปด้วย
งานอภิเษกของสู่อ๋องและงานอภิเษกของเยี่ยนอ๋องห่างกันเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ทว่าในวันนั้นมีสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง หนำซ้ำในช่วงท้ายก็เทกระหน่ำซ้ำเติมลงมาอย่างหนักหน่วง ทำให้ขบวนแห่เละเทะไม่เป็นท่า
ในยุคต้าโจวมีความเชื่อที่ว่า เมื่อย่ำเท้าบนโคลนเหลือง หากไม่ตายจากกันไป ก็ต้องแยกทางกัน
แม้ว่าเหล่าคนมีการศึกษาจะมองว่าคำพูดที่ว่านี้เป็นเรื่องงมงาย แต่นั่นก็ไม่อาจยับยั้งไม่ให้ผู้คนกล่าวถึงได้
และในเมื่องานอภิเษกของสู่อ๋องและเยี่ยนอ๋องห่างกันไม่นาน ก็ย่อมมีคนยกขึ้นมาเปรียบเทียบเป็นธรรมดา
ใบหน้าของโซ่วชุนโหวฮูหยินหม่นราวกับจมอยู่ใต้น้ำ อารมณ์บูดบึ้งเกินบรรยาย
เดิมทีเรื่องนี้มิได้มีความเกี่ยวข้องใดกับจวนตงผิงปั๋ว ทว่านางคิดไม่ถึงว่าคุณหนูจากทั้งสองจวนจะได้เข้าไปอยู่ในราชวงศ์ อีกทั้งงานอภิเษกสมรสจะจัดขึ้นใกล้กันถึงเพียงนี้
หากเป็นเช่นนี้ อีกหน่อยหลิงปัวคงถูกเปรียบเทียบกับคุณหนูเจียงสี่ร่ำไปเป็นแน่
โค่วหลิงปัวเป็นสตรีที่มีชื่อเสียงทั้งในด้านความสามารถและรูปร่างหน้าตา และเนื่องจากโซ่วชุนโหวฮูหยินไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของเจียงซื่อมาก่อน เพียงแต่ได้ยินกิตติศัพท์เท่านั้น จึงมิได้เห็นด้วยเสียทีเดียว
ในมุมของนาง ความงดงามเล็กๆ น้อยๆ มิได้นับว่าสลักสำคัญปานนั้น หญิงสาวจากจวนปั๋วหรือจะสู้บุตรีของนางที่เกิดมาเพียบพร้อมโดดเด่น ทั้งยังมีทักษะการร่ายระบำเหนือชั้น
แต่กระนั้น คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต วันที่บุตรสาวของนางออกเรือนกลับมีฝนห่าใหญ่เทลงมา แต่แล้วไฉนพอถึงงานแต่งงานของคุณหนูเจียงสี่ถึงได้หดหัวหายไปเช่นนี้
ไอ้สำนักหอดูดาวหลวงโปเก ช่างหาฤกษ์ได้มงคลเสียจริง!
ความหดหู่ของโซ่วชุนโหวฮูหยินไม่อาจบดบังความปีติยินดีของจวนตงผิงปั๋วได้มิด
จวนตงผิงปั๋วถูกแปลงโฉมใหม่ทั้งหลัง มีไฟส่องสว่างติดอยู่ทุกหนทุกแห่ง เหล่าคนรับใช้ต่างก็สวมใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส และมาพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มเริงร่า
ภายในเรือนไห่ถัง เจียงซื่อเปลี่ยนไปสวมชุดแต่งงานสีแดงสด โดดเด่นสะดุดตากว่าวันไหนๆ
ภายในห้องคลาคล่ำไปด้วยผู้คน มีหลายคนเข้ามากระซิบคำอวยพรข้างหูของนางไม่หยุดหย่อน
คนเหล่านั้นมีทั้งพวกผู้อาวุโส และบรรดาพี่สาวน้องสาว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเซียวซื่อเอ้อร์ไท่ไท่
เจียงซื่อพออกพอใจกับการจัดการของเฝิงเหล่าฮูหยินอย่างยิ่ง
ในวันมงคลเช่นนี้ นางไม่ต้องการให้เซียวซื่อมาค่อยขัดความสุขอยู่แล้ว
แต่ทว่าในคนกลุ่มนั้น นางก็ไม่เห็นเจียงอี พี่ใหญ่ของนางด้วยเช่นกัน
เจียงซื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ พลางถาม “ต้ากูไหน่ไนล่ะ”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
เจียงเชี่ยวตอบ “ข้าไปเรียกพี่ใหญ่มาแล้ว แต่นางบอกว่าไม่สะดวกมา…”
เจียงซื่อขมวดคิ้วก่อนจะหันไปสั่งอาหมาน “ไปเชิญต้ากูไหน่ไนกับเยียนเยียนมาที”
อาหมานตอบรับแล้วเดินออกไปตามคำสั่ง
ผู้คนในห้องต่างมองหน้ากันสลับไปมา
เจียงอีเป็นคนชอบธรรม ถึงนางจะมิได้ฝังศพสามี และไม่มีหลักปฏิบัติใดห้ามไว้ แต่อย่างไรเสีย นางเองก็มิใช่คนโชคดีนัก เพียงแต่ไม่คิดว่าคุณหนูสี่จะไม่สนใจเรื่องพรรค์นี้
คุณหนูกำลังจะอภิเษกสมรสเข้าไปเป็นเชื้อพระวงศ์ อย่างไรก็ควรหาสิ่งมงคลประดับตัวไว้
เฝิงเหล่าฮูหยินประหม่าเล็กน้อย ครั้นหันมองหลานสาวที่แสนสดใสแล้วจึงกล่าวแผ่วเบาว่า “เยียนเยียนยังเล็ก จะเอามาวิ่งวุ่นที่นี่รึ”
เจียงซื่อหันไปสบตาเฝิงเหล่าฮูหยินพลางเอ่ยเสียงราบเรียบ “เยียนเยียนเป็นหลานสาวแท้ๆ ของข้า จะเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญใจได้อย่างไรเจ้าคะ”
แม้ถูกถามเช่นนั้น แต่ในวันมงคลใหญ่เช่นนี้ นางก็ไม่ใคร่จะทะเลาะด้วย ใบหน้ายังคงระคนฝืนยิ้มพลางข่มกลั้นความอัดอั้นนั้นไว้
ทุกคนในห้องสบตากัน และเข้าใจชัดเจนว่าเจียงอีและบุตรสาวมีสถานะเช่นไรในสายตาของพระชายาเยี่ยนอ๋อง
ต้ากูไหน่ไนช่างโชคดีเสียจริง หย่ากับสามีแล้วก็ยังได้กลับมาอยู่ที่จวนของมารดา ทั้งยังมีบิดาและน้องชายคอยปกป้อง และมีน้องสาวคอยดูอยู่ไม่ห่าง
หากเทียบดูแล้ว เอ้อร์กูไหน่ไนที่ถูกส่งไปรักษาตัวในหมู่บ้านช่างน่าสังเวชเหลือเกิน…
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ผู้คนจึงรู้ว่าควรปฏิบัติตัวต่อเจียงอีอย่างไร
ครั้นเห็นว่าทุกคนในที่นั้นต่างก็หลบตา เจียงซื่อจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย
เมื่อนางได้เป็นพระชายาเยี่ยนอ๋อง พวกที่ประจบสอพอผู้มีอำนาจและกดขี่ผู้น้อยจะได้เลิกรังแกพี่ใหญ่ของนางเสียที
ท้ายที่สุดแล้ว การที่นางได้ขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดถึงจะช่วยคนที่นางรักให้รอดปลอดภัยได้อย่างแท้จริง
ไม่นานอาหมานก็พาเจียงอีมาถึงที่เรือน ทุกสายตาจับจ้องไปที่นาง
แม้ว่านางจะมีนิสัยอ่อนโยน ทว่านางก็มิใช่สตรีงามนุ่มนิ่มทั่วไป ท่ามกลางสายตาเหล่านั้น นางกลับยืดหลังขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย และเดินเข้าไปแสดงความยินดีกับเจียงซื่อ
ที่นางไม่มาเพราะเกรงว่าตนเองจะเป็นตัวขัดลาภของน้องสาว แต่ในเมื่อถูกเชิญให้มาแล้ว นางก็ไม่ต้องการให้ผู้ใดมาหัวเราะเยาะได้
เยียนเยียนเดินตามมารดามาแสดงความยินดี แต่แล้วเด็กน้อยก็เบะปากพลางบอก “เยียนเยียนจะไม่ได้เจอเสี่ยวอี๋อีกแล้วหรือเจ้าคะ”
เจียงซื่อเอื้อมมือไปลูบแก้มหลานสาว “จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร หากเยียนเยียนคิดถึงเมื่อไหร่ก็ไปเล่นกับเสี่ยวอี๋ที่จวนท่านอ๋องได้ทุกเมื่อ เยียนเยียนจะมาเมื่อใด เสี่ยวอี๋ก็ดีใจทั้งนั้น”
เด็กน้อยได้ยินดังนั้นก็พลอยมีความสุขไปด้วย
ท้องฟ้ามืดลงโดยที่ไม่มีผู้ใดทันสังเกต ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ กลุ่มเมฆถูกย้อมด้วยสีส้มอมแดง
เสียงประทัดดังขึ้นจากที่ไกลๆ รังให้ผู้คนในห้องพากันแตกตื่น
ขบวนรับตัวเจ้าสาวคืบเคลื่อนเข้าใกล้แล้ว
ในชั่วขณะนั้น เจียงซื่อรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อชาติที่แล้ว นางและอวี้ชีจัดงานแต่งงานที่หนานเจียง แม้ว่าจะถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ทว่าพิธีการกลับแตกต่างจากที่จัดในเมืองหลวง
นางและเขาจะได้แต่งงานกันจริงๆ แล้ว
ในชาตินี้ เขาคือเยี่ยนอ๋อง และนางคือเจียงซื่อ
ครั้นคิดได้เช่นนั้น เจียงซื่อก็รู้สึกลื่นที่ขอบตาเอาเสียดื้อๆ ท่ามกลางความพร่ามัวนั้น นางเห็นภาพของเด็กหนุ่มที่นางเคยตกหลุมรักเมื่อชาติที่แล้ว
เขาสวมอาภรณ์สีแดงขับผิวพรรณนวลขาวราวสีของหยก แพรวพราวละลานตาดุจแสงแดดที่แผดเผา
แล้วน้ำตาในตาของนางก็อันตรธานหายไป ภาพตรงหน้าเริ่มแจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง
อวี้จิ่นกำลังส่งยิ้มให้นาง
ในที่สุดเขาก็ได้เข้าจวนของอาซื่ออย่างสง่าผ่าเผยเสียที ไม่ง่ายเลยสักนิด!
“อ๋า พี่ชายคนสวย…”
เจียงอีรีบยื่นมือไปปิดปากเยียนเยียนโดยพลัน เหงื่อแตกพลั่กทั่วตัวด้วยความตกใจ
โชคดีที่ภายในห้องเสียงดังอยู่เป็นทุนเดิม จึงไม่ค่อยมีผู้ใดได้ยินสิ่งที่คุณหนูเล็กพูด
ทว่าอวี้จิ่นหูดี ได้ยินทุกถ้อยคำชัดเจน จึงยกมุมปากอย่างเสียมิได้
เจ้าเด็กคนนี้ จนป่านนี้แล้วยังเรียกเขาว่าพี่ชายอยู่ได้ น่ารำคาญเสียจริง
ตามธรรมเนียมแล้ว เจียงซื่อจะไปกล่าวอำลาเฝิงเหล่าฮูหยินและเจียงอันเฉิงเป็นอันดับแรก
เฝิงเหล่าฮูหยินกำชับว่านางจะต้องปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมอย่างไรยามที่ออกเรือนไป ฝ่ายเจียงอันเฉิงยังคงจ้องไปที่อวี้จิ่นด้วยดวงตาแดงก่ำ
ไม่รู้ว่าถ้าอัดไอ้คนนี้สักทีจะเป็นการทำให้เสียฤกษ์มงคลของซื่อเอ๋อร์หรือไม่
ในขณะนั้นมีหลายคนหลงคิดว่า ดู๊ดู สงสัยเป็นเพราะเยี่ยนอ๋องรูปโฉมงาม ขนาดนายท่านปั๋วยังมองไม่วางตา
อะแฮ่ม ครั้นเฝิงเหล่าฮูหยินกล่าวจบก็หันไปเห็นว่าเจียงอันเฉิงกำลังจดจ้องไปที่อวี้จิ่น จึงพยายามส่งสัญญาณไปหาบุตรชาย
เจียงอันเฉิงยังคงไม่ตอบสนอง
เฝิงเหล่าฮูหยินจึงต้องออกปากอย่างช่วยไม่ได้ “นายท่านปั๋ว ไม่มีอะไรจะบอกกับบุตรสาวงั้นหรือ”
ตามความเป็นจริงแล้วบุพการีจะเป็นคนกำชับข้อปฏิบัติของสถานะภรรยา ทว่าเจียงอันเฉิงกลับโบกมือ “ไม่มี ไม่มี ท่านอ๋องจำไว้เพียงว่าต้องดูแลซื่อเอ๋อร์ให้ดีเท่านั้นพอ”
ใบหน้าแขกเหรื่อต่างก็พิลึกชอบกล ครั้นอยากจะหัวเราะแต่ทว่าใจกลับไม่กล้าพอ
ปกติแล้วต้องกำชับบุตรสาวของตนว่าควรจะกตัญญูต่อพ่อแม่สามีและเชื่อฟังผู้เป็นสามีอย่างไร มีอย่างที่ไหนมาพูดวาจาเช่นนี้
ฝ่ายอวี้จิ่นก็ค้อมคำนับเจียงอันเฉิงโดยไม่มีผู้ใดคาดคิด พร้อมตกปากรับคำด้วยท่าทีจริงจัง “ท่านพ่อตาโปรดวางใจ ข้าจะดูแลนางอย่างดีขอรับ”
ในวินาทีนั้น ความคับข้องใจที่เจียงอันเฉิงมีต่ออวี้จิ่นพลันหายไปกว่าครึ่ง
ไอ้เด็กนี่ออกปากมาเช่นนี้ก็นับว่ามีความจริงใจอยู่บ้าง
เจียงจั้นไปหยุดยืนอยู่หน้าเจียงซื่อ แล้วคุกเข่าลง “น้องสี่ ข้าจะแบกเจ้าไปขึ้นเกี้ยวเอง”
เจียงซื่อค่อยๆ ขึ้นไปบนหลังของเจียงจั้นอย่างว่าง่าย
สายตาเย็นชาของอวี้จิ่นมองเจียงจั้นที่กำลังแบกเจียงซื่ออย่างสบายอกสบายใจ ทว่าภายในใจของชายหนุ่มมีความหึงหวงผุดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ใครมันเป็นคนตั้งกฎว่าสตรีออกเรือนจะต้องให้พี่ชายแบกขึ้นหลังกัน ไร้สาระสิ้นดี
เขามีพี่สาวน้องสาวสิบกว่าคน ใครใคร่จะแบกใครก็เชิญ แต่เขาไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่
หากมองในมุมเจ้าตัว เจียงจั้นจะต้องมาลำเข็ญด้วยการนี้เพื่อเหตุอันใด
เจียงจั้นรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง ประหนึ่งว่ามีดาบคมกริบปักอยู่อย่างไรอย่างนั้น
คงเป็นเพราะน้องสาวกำลังจะออกเรือน ในใจเลยตรอมตรมกระมัง