เจียงซื่อหมอบอยู่บนแผ่นหลังของเจียงจั้น บนศีรษะคลุมด้วยผ้าคลุมสีแดงสด สิ่งเดียวที่นางจะมองเห็นได้ในขณะนี้คือไหล่กว้างของผู้เป็นพี่ชาย
แผงไหล่นั้นทั้งกว้างและแข็งแกร่ง หาใช่ไหล่ที่บอบบางดังเช่นสมัยเยาว์วัย มองแล้วให้ความอุ่นใจเกินคณนา
เจียงซื่อซบลงบนไหล่ของพี่ชาย น้ำหยดใสไหลลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง
เมื่อคราวที่นางแต่งงานเข้าไปอยู่ในจวนอันกั๋วกง พี่รองก็เป็นคนแบกนางขึ้นหลังเช่นนี้ ทว่าในตอนนั้นนางมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากเท่าในตอนนี้ กลับเป็นความรู้สึกไม่แยแสด้วยซ้ำไป
พี่ชายของคนอื่นต่างก็เฉิดฉายแตกต่างกันออกไป บ้างก็เก่งกาจ บ้างก็เป็นหนุ่มรูปงาม หรือบ้างก็ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ทว่าพี่ชายของนางกลับเป็นพวกหนุ่มสำรวยไม่ตั้งใจร่ำเรียนเสียอย่างนั้น
นางหวนคิดไปไกลถึงชีวิตที่แต่งงานเข้าไปอยู่ในจวนอันกั๋วกง ในตอนนั้นมีทั้งความเพ้อฝัน และความไม่มั่นคง ซ้ำยังไร้ความอาลัยอาวรณ์แม้ต้องห่างจากคนใกล้ชิดที่เติบโตด้วยกันมากว่าสิบห้าปี
พอมาคิดดูอีกที ตอนนั้นนางคงทำเกินไปจริงๆ
เจียงซื่อตกอยู่ในภวังค์ เหตุผลบางประการทำให้นางเริ่มจมดิ่งลงในความเศร้า หยาดน้ำตาหยดลงบนคอของเจียงจั้น
ฝีเท้าของเจียงจั้นชะงักงัน
น้องสี่ร้องไห้งั้นหรือ
เมื่อชายหนุ่มหยุดเดินเช่นนั้น ฝูงชนที่ห้อมล้อมอยู่ก็อดชะเง้อมองด้วยความสงสัยไม่ได้
อะไรกัน หรือว่าคุณหนูเจียงสี่ตัวหนักเกินไป คุณชายรองแบกไม่ไหวงั้นรึ
ไม่ใช่หรอกหน่า คุณหนูสี่ออกจะเพรียวลมปานนั้น
อวี้จิ่นเริ่มไม่พอใจ
เขารออาซื่อขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวอยู่นะ จะได้รีบกลับจวนเสียที เจียงจั้นมัวพิรี้พิไรอยู่ได้
หรือเขากำลังคิดว่า ถ้าตนไม่ยอมเดินเสียอย่าง อาซื่อก็จะได้อยู่ที่นี่ต่องั้นรึ ก็เคยเห็นพวกหวงน้องสาวมาบ้าง ทว่าไม่เคยเห็นใครทำตัวไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน!
อวี้จิ่นเม้มปากแน่น เพราะรู้ดีว่าครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวกำลังจับตาดูอยู่ เขาจึงไม่สามารถพุ่งเข้าไปอัดเจียงจั้นได้
นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มโมโหยิ่งขึ้นไปอีก
ครั้นเจียงซื่อสัมผัสได้ว่าเจียงจั้นหยุดเดิน นางจึงเริ่มได้สติ นางร้องเรียกพี่รองแผ่วเบา
เจียงจั้นลังเลไม่น้อย “น้องสี่…”
เจียงซื่อกระซิบถาม “พี่แบกต่อไม่ไหวแล้วหรือ”
ห้ะ แบกต่อไม่ไหว?
ในทันใดนั้น เจียงจั้นก็บินฉิวไปที่เกี้ยวเจ้าสาวทันที
ครั้นเห็นสายตาดุดันของอวี้จิ่นแล้ว สาวรับใช้ที่ตามรับใช้เจ้าสาวก็รีบพยุงนางขึ้นไปบนเกี้ยว
เจียงจั้นเฝ้ามองน้องสาวในอาภรณ์สีแดงสดหายเข้าไปหลังม่าน เสียงปี่สั่วน่าที่ดังกึกก้องห่างไปทุกที ในวินาทีนั้น เขารู้สึกทุกข์ใจอย่างไม่อาจอรรถาธิบายด้วยถ้อยคำ
นี่คงเรียกว่าแต่งงานจริงๆ แล้วกระมัง
อีกหน่อยเขาเองก็ต้องแต่งงาน มีลูก การส่งคนที่รักขึ้นเกี้ยวไปช่างทุกข์ทรมานหัวใจเหลือเกิน
ทว่าอวี้จิ่นกลับรู้สึกตรงกันข้าม
บุรุษหนุ่มขี่อาชาตัวสูงใหญ่เดินนำหน้าเกี้ยวนั้น พร้อมรอยยิ้มที่ไม่เลือนหายไปจากใบหน้าเลยสักวินาทีเดียว
ฝูงชนเบียดเสียดเต็มสองฝั่งถนนพลางส่งเสียงเซ็งแซ่
“ดูเร็ว ผู้นั้นคือเยี่ยนอ๋อง!”
“เยี่ยนอ๋องรูปโฉมงดงามเอาเรื่อง ดูยังหนุ่มยังแน่น ผู้ที่ได้มาเป็นพระชายาช่างโชคดีเหลือเกิน…”
“ข้าได้ยินมาว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นถึงยอดหญิงงาม เยี่ยนอ๋องต่างหากที่โชคดี…”
“เช่นนั้น เยี่ยนอ๋องและพระชายาก็นับว่าคู่ที่ฟ้าดินบรรจงสรรค์สร้างงั้นสิ”
อวี้จิ่นเงี่ยหูฟังถ้อยคำเหล่านั้นแล้ว ความสุขในใจก็เพิ่มพูนจนล้นปรี่ เขาเอียงคอเล็กน้อยหันไปส่งสายตาให้ผู้ติดตามที่ทำหน้าโปรยเหรียญมงคล
คนโปรยเหรียญมงคลเลิกคิ้วก่อนจะล้วงเหรียญมงคลพวงใหญ่ที่ผูกติดอยู่บนเงื่อนแดงออกมา แล้วโยนไปทางชาวบ้านกลุ่มนั้น
ฝูงชนต่างเปล่งเสียงโห่ร้องยินดี
เสียงฆ้องและกลองดังกระหึ่มกึกก้อง ขบวนแห่สัมภาระเจ้าสาวยาวเหยียด ฝูงชนคลาคล่ำคืบเคลื่อนตามไปติดๆ มีเพียงกลีบดอกไม้และเศษประทัดที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
ครั้นความคึกคักผ่านไปแล้ว ด้านหลังก็หลงเหลือเพียงเงียบสงัด
สองพี่น้องตระกูลเซี่ยยืนอยู่หน้าบานประตูจวนหย่งชังปั๋วที่เปิดอ้า พลางมองขบวนแห่เดินผ่านไป
“กลับเข้าข้างในเถิด” เซี่ยอินโหลวบอกเซี่ยชิงเหยาด้วยสีหน้าราบเรียบ
แล้วสองพี่น้องก็เดินเคียงไหล่กลับเข้าไปด้านใน
เซี่ยชิงเหยาถอนหายใจเล็กน้อย “ข้าคิดว่าจะได้ส่งอาซื่อเข้าพิธีอภิเษกเสียอีก…”
แม้เจียงซื่อจะเป็นสหายที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่สมัยวัยเยาว์ แต่เนื่องจากนางยังอยู่ในช่วงปีแห่งการไหว้ทุกข์ จึงไม่อาจเข้าร่วมงานมงคลได้
ในมุมของสองพี่น้องที่ต้องไว้ทุกข์ให้บิดามารดา ไม่ต้องเอ่ยถึงงานมงคล เพราะแม้แต่การร่วมงานเลี้ยงทั่วไปยังไม่สามารถทำได้
เซี่ยอินโหลวเป็นคนพูดน้อย เขาจึงเพียงแต่เดินไปและรับฟังผู้เป็นน้องสาวถอดถอนหายใจเงียบๆ
เซี่ยชิงเหยาสังเกตอาการของพี่ชายแล้วกลับรับรู้ได้ถึงความเย็นชาที่แผ่ซ่านออกมาผ่านใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้ม นางจึงอดถามออกไปไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่ อาซื่อออกเรือนไปแล้ว พี่… พี่เลยเจ็บปวดใช่หรือไม่”
เซี่ยอินโหลวชะงักฝีเท้าพลางหันมองน้องสาว
“พี่ใหญ่…” เซี่ยชิงเหยานึกเสียใจที่ถามไปเช่นนั้น นางรู้ทั้งรู้ว่าคำถามนั้นไร้ประโยชน์ เพราะต่อให้รู้คำตอบแล้วจะได้อะไรขึ้นมา
ครั้นย้อนคิดถึงเมื่อตอนที่พี่ชายและอาซื่อเป็นเพื่อนเล่นกันด้วยความบริสุทธิ์ใจแล้วก็อดเสียดายไม่ได้
เหตุใดจู่ๆ อาซื่อถึงได้กลายเป็นพระชายาเยี่ยนอ๋องไปได้ ชีวิตในหมู่ราชวงศ์เหมือนสามัญชนทั่วไปที่ไหนกัน เกรงว่าอนาคตของอาซื่อจะต้องเผชิญกับเรื่องยากอีกไม่น้อย
เซี่ยอินโหลวมองไปที่เซี่ยชิงเหยาด้วยใบหน้าจริงจัง “เปล่าเสียหน่อย เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
“พี่ใหญ่…” เมื่อเห็นว่าเซี่ยอินโหลวเดินหนีไปไกลแล้ว นางจึงรีบยกชายกระโปรงวิ่งตามไปทันที
ขบวนเจ้าสาวแห่แหนไปรอบๆ เมืองหลวงก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนเยี่ยนอ๋อง
หลังจากความทุลักทุเลผ่านพ้นไปแล้ว ในที่สุดเจียงซื่อก็ได้หย่อนตัวนั่งพักบนเตียงในห้องใหม่เสียที นางรู้สึกว่าร่างทั้งเหนื่อยล้าประหนึ่งว่าจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ท้องฟ้าด้านนอกเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่แม้มีผ้าคลุมหน้าอยู่ก็ยังรับรู้ได้ว่าในห้องนั้นสว่างไสว
ไม่นานนัก ผ้าคลุมนั้นก็ถูกเปิดขึ้น พร้อมกับอวี้จิ่นยืนส่งยิ้มอยู่เบื้องหน้า
ทั้งคู่สบตากันก่อนจะลืมไปเสียสนิทว่ามีคนอื่นๆ อยู่ในที่นั้นด้วย
“ท่านอ๋อง พระชายา ได้เวลาเสวยน้ำจัณฑ์แล้วเพคะ”
ครั้นมีคนยื่นจอกสุราให้ ทั้งสองถึงได้ละสายตาจากกันและกัน
อวี้จิ่นรับจอกสุรานั้นมากระดกรวดในคราวเดียว จากนั้นก็วางถ้วยเปล่าลง แล้วสั่งให้ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นออกไปทันที
“ท่านอ๋อง ท่านต้องเสด็จไปคารวะน้ำจัณฑ์ด้านนอกเสียก่อนนะเพคะ” ผู้ดูแลกิจการฝ่ายในของฝ่ายเจ้าบ่าวเอ่ยเตือน
หญิงผู้นั้นเป็นสตรีวัยกลางคนแซ่จี้ ผู้มีใบหน้าเรียวยาว คนอื่นๆ จึงเรียกนางว่า จี้หมัวมัว
เพราะเมื่อเช้านางถูกจั่งสื่อกำชับไว้ว่าให้จับตาดูท่านอ๋องให้ดี อย่าปล่อยให้ท่านอ๋องก่อเรื่องเป็นอันขาด
โชคดีที่ท่านอ๋องให้ความร่วมมืออย่างดี ดูไปแล้วจั่งสื่อคงกังวลมากเกินเหตุ
อวี้จิ่นขมวดคิ้วพลางมองไปที่จี้หมัวมัว “เจ้าคือ….”
สตรีผู้นี้มาจากไหนกัน เหตุใดจวนอ๋องถึงได้มีคนหน้าไม่คุ้นโผล่มาไม่หยุดหย่อน
จี้หมัวมัวโกรธจนผงะถอยหลังไป “บ่าวคือหมัวมัวผู้ดูแลกิจการฝ่ายในเพคะ”
อวี้จิ่นพยักหน้า “เข้าใจแล้ว เจ้าพาพวกนางออกไปได้แล้ว”
“เพียงแต่ว่าด้านหน้า…”
อวี้จิ่นยังคงไม่ลืมตาพลางเอ่ย “ไปคารวะน้ำจัณฑ์ช้าหน่อยจะเป็นไร”
จี้หมัวมัวตะลึงอ้าปากค้างก่อนจะรีบยิ้มกลบเกลื่อนแล้วพาคนที่เหลือออกไป ในใจนางพลางคิด ที่จั่งสื่อพูดคงเป็นเรื่องจริงสินะ!
ภายในห้องนั้นจึงเหลือแค่เจียงซื่อและอวี้จิ่น
เทียนแดงสลักลายมังกรคู่หงส์ขนาดเท่าแขนส่องแสงสว่างไสว
อวี้จิ่นมองไปที่คนที่นั่งอยู่บนเตียงพร้อมความสุขล้นปรี่ที่ล้นทะลักออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ
ในที่สุด อาซื่อก็ได้เป็นภรรยาของเขาเสียที นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป นางก็เป็นคนของเขา
ทั้งความอ้างว้างในตอนที่ต้องใช้ชีวิตโดดเดี่ยวในวัยเยาว์ และความโหดร้ายที่ต้องเผชิญยามอยู่ที่หนานเจียง เรื่องเลวร้ายทั้งหมดทั้งมวลที่ผ่านเข้ามาแปรเปลี่ยนเป็นความคุ้มค่าของชีวิตในทันใด
การที่เขาได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็เพื่อจะได้อยู่เคียงคู่กับอาซื่อ
เพราะอวี้จิ่นเอาแต่ยื่นนิ่งไม่พูดไม่จาทำให้เจียงซื่อเป็นฝ่ายทนไม่ไหว
นางถอดมงกุฎหงส์บนศีรษะตัวเองออกพลางถามด้วยรอยยิ้ม “จู่ๆ ก็กลายเป็นคนโง่ขึ้นมาเสียดื้อๆ?”
อวี้จิ่นคว้ามือหญิงสาวมาจับไว้ ส่งยิ้มพลางว่า “ว่ากันว่า คนโง่ก็มีความสุขในแบบคนโง่ ตราบใดที่เจ้าไม่รังเกียจ โง่นิดโง่หน่อยจะเป็นไรไป”
เจียงซื่อกลอกตาใส่บุรุษตรงหน้า “รีบไปคารวะน้ำจัณฑ์เถิด ด้านหน้ามีแขกเหรื่อรออยู่อีกมาก”
“งั้นข้าจะไปคารวะน้ำจัณฑ์” อวี้จิ่นว่าแล้วก็ทำทีเดินออกไป ทว่าเดินไปไม่กี่ก้าวก็หันหลังกลับมา
“ทำไมรึ”
อวี้จิ่นประคองใบหน้าของเจียงซื่อและจุมพิตเข้าไปเต็มแรง
เปลวไฟจากเล่มเทียนมงคลไหววาบ ทำให้ภายในห้องนั้นคล้ายกับถูกมนตร์สะกด
“รอข้าเดี๋ยวนะ” ครั้นเช็ดมุมปากแล้ว อวี้จิ่นก็สาวเท้าก้าวใหญ่ออกไปทันที