บริเวณลานด้านหน้าครึกครื้นยิ่งนัก
ลำพังแค่เหล่าญาติสนิทมิตรสหายของอวี้จิ่นก็มีพี่ชายน้องชายถึงเจ็ดคน แม้งานเลี้ยงรื่นเริงเช่นนี้ไท่จื่ออยู่ร่วมได้ไม่นาน ถึงกระนั้นแต่ละโต๊ะก็มีแขกนั่งจนแน่นขนัด นอกจากนี้ ยังมีบรรดาองค์หญิงที่ออกเรือนไปแล้ว รวมถึงเหล่าราชบุตรเขยทั้งหลาย นั่นยิ่งทำให้งานเลี้ยงวันนี้มีชีวิตชีวายิ่งขึ้นไปอีก
“น้องเจ็ด เจ้ามาช้า ต้องถูกลงโทษ” แม้มิได้มีความผิดใด แต่ครั้นหลู่อ๋องเห็นว่าอวี้จิ่นมาช้าจึงเลื่อนจอกสุราพลางกล่าวด้วยเจตนามุ่งร้าย
อวี้จิ่นหัวเราะพลางถาม “จะลงโทษอย่างไร”
นี่มันวันมงคลสำคัญของเขา ต้องห้ามใจไว้อย่าไปหาเรื่องทะเลาะด้วย
หลู่อ๋องก็คิดเช่นนั้นจึงพยายามไม่ทำให้เจ้าบ่าวรู้สึกขุ่นเคือง เขาส่งยิ้มตาหยี๋ “ก็ต้องลงโทษโดยการดื่มสุราน่ะสิ”
อวี้จิ่นเลิกคิ้วฉงน
ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินเจ้าห้าสูงไปเสียหน่อย ชวนทะเลาะตั้งนาน ผลสรุปคือแค่ให้ดื่มสุรา
“ยกสุรามา” หลู่อ๋องเรียกบ่าวรับใช้ แล้วรินสุราใส่ถ้วยสามใบ
อวี้จิ่นเอื้อมมือจะหยิบจอกสุรานั้น ทว่าถูกห้ามไว้เสียก่อน “ช้าก่อน”
ไม่แน่ว่าบางทีเขาอาจจะตั้งใจเช่นนี้แต่แรก หลู่อ๋องโบกมือเรียกให้บ่าวรับใช้ยกขวดกระเบื้องสีเขียวอ่อนเข้ามา
หลู่อ๋องแกะจุกที่ปากขวด แล้วรินของเหลวสีเข้มคล้ายซีอิ๊วผสมเข้ากับสุราในถ้วย
“น้องเจ็ด เจ้ากล้าดื่มหรือไม่”
“นี่คือ…” อวี้จิ่นสูดลมเข้าจมูกพลางหันไปหาหลู่อ๋อง “น้ำส้มสายชู?”
หลู่อ๋องหัวเราะร่า “น้องเจ็ดจมูกไวเสียจริง คงไม่เคยดื่มสุราเคล้าน้ำส้มสายชูมาก่อนเลยสิท่า”
อวี้จิ่นยกถ้วยขึ้นกระดกหมดในคราวเดียว พลางบอกเสียงแผ่วเบา “ทีนี้ก็เรียกว่าเคยดื่มได้แล้ว”
หลู่อ๋องเห็นว่าใบหน้าของอวี้จิ่นยังคงนิ่งเฉยจึงรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย เขาคะยั้นคะยอให้อวี้จิ่นดื่มสุราอีกสองจอกที่เหลือที่ถูกผสมด้วยน้ำส้มสายชู แต่แล้วก็เห็นว่าอวี้จิ่นยกไหสุราใบหนึ่งขึ้นมา
ในทันใดนั้นหลู่อ๋องรีบยกมือขึ้นกุมศีรษะพลางบอก “นี่เจ้าคิดจะทำอะไร”
ความทรงจำครั้งถูกทุบด้วยไหสุรายังคงประทับฝังแน่น เล่นเอาองค์ชายประหม่าไม่น้อย
อวี้จิ่นที่ยกไหสุราขึ้นมาแสร้งทำทีลังเล “พี่ห้าเล่นอะไรของพี่ ข้ารู้สึกว่ามันเปรี้ยวเกินไป ข้าเลยจะดื่มสุราไหนี้ล้างปากก็เท่านั้น”
“ล้างปาก? มี มี… มีที่ไหนดื่มสุราทั้งไหเพื่อล้างปาก…” หลู่อ๋องประหม่าจนติดอ่าง
นี่เขามิได้หวาดกลัว หรือรู้สึกประหม่าเลยสักนิด เพียงแต่ควบคุมการตอบสนองของร่างกายไม่ได้ก็เท่านั้น
เสียงหัวเราะดังขึ้น
ฉีอ๋องลุกขึ้นจากที่นั่ง “น้องห้าเลิกแกล้งน้องเจ็ดได้แล้ว วันนี้เขาเป็นเจ้าบ่าว หากเมามายล้มไปจะทำอย่างไร”
หลู่อ๋องเริ่มว้าวุ่นใจ
จริงด้วย หากเจ้าเจ็ดนี่เมาขึ้นมาคงได้แผลงฤทธิ์แล้ววิ่งแจ้นไปหาเสด็จพ่ออีกเป็นแน่
ทั้งการถูกต่อว่า การตัดเงินเบี้ยหวัด และการถูกสั่งคุมขังให้สำนึกผิด… ผลลัพธ์ทั้งหมดที่ผ่านมาทำให้หลู่อ๋องไม่กล้าต่อปากต่อคำ
ฉีอ๋องยกจอก กล่าวขึ้นระคนส่งยิ้ม “น้องเจ็ด ยินดีกับเจ้าด้วย”
“ขอบคุณอย่างยิ่ง” อวี้จิ่นยกจอกคารวะเหล่าองค์ชายก่อนจะเดินไปอีกทาง
เซียงอ๋อง องค์ชายแปดจ้องมองแผ่นหลังที่ขยับไกลออกไปก่อนจะหันไปยิ้มแล้วกล่าวกับหลู่อ๋องว่า “พี่ห้า น้องนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้”
“เรื่องอะไรงั้นหรือ”
“พี่เคยถูกใจภรรยาของพี่เจ็ดมาก่อนใช่หรือไม่”
จอกสุราในมือหลู่อ๋องร่วงลงพื้นในทันที เขารีบกล่าวปรามเสียงต่ำ “เจ้าแปด เจ้าคงดื่มมากไปแล้วถึงได้ขุดคุ้ยเรื่องเก่าไม่เลิกรา”
เจ้าเจ็ดยังเดินห่างออกไปไม่ไกล พวกเหล่าแม่เสือก็ห้อมล้อมอยู่เต็มไปหมด เจ้าแปดคงหมายให้เขาถูกรุมสินะ
เซียงอ๋องลูบคางพลางกล่าวอย่างมีเลศนัย “จู่ๆ ข้าก็คิดได้ว่าที่พี่เจ็ดกล้ามีเรื่องวิวาทในงานวันเกิด น่าสนใจจริงๆ”
ตอนนั้นจู่ๆ เจ้าเจ็ดก็เอาไหสุราทุบศีรษะขององค์ชายห้าอย่างไม่มีเหตุผล ตอนที่เกิดเรื่องใครต่างก็คงคิดว่าเขาเพี้ยน แต่ครั้นมาคิดดูอีกที บางทีตอนนั้นอาจเป็นเพราะเจ้าเจ็ดถูกใจคุณหนูสี่แห่งจวนตงผิงปั๋วแล้วก็เป็นได้
หากเป็นเช่นนี้จริงก็แสดงว่า ระหว่างเจ้าเจ็ดกับคุณหนูเจียงสี่คงมีอะไรในกอไผ่เป็นแน่…
เซียงอ๋องครุ่นคิดจนไม่ทันระวังวัตถุที่กำลังลอยมาปะทะใบหน้า ชายหนุ่มยกมือขึ้นป้องปากพลางร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดแล้วถึงจะสังเกตเห็นจอกสุราที่กลิ้งหล่นอยู่บนพื้น
เมื่อส่งเสียงร้องดังเช่นนั้น ทุกคนในงานจึงหันมามองเป็นตาเดียว
“น้องแปด เป็นอะไรไปรึ” เหล่าองค์ชายต่างถามขึ้น
เซียงอ๋องจ้องไปเบื้องหน้า ทว่าในวินาทีนั้นกลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
อวี้จิ่นจับตัวบ่าวรับใช้ไว้เพื่อไม่ให้ตนเองล้มลงไปกอง พลางขอโทษขอโพยการใหญ่ “น้องแปด ข้าต้องขออภัยอย่างสุดซึ้ง เมื่อครู่ข้าสะดุดลื่น จอกสุราเลยหลุดมือกระเด็นลอยไปหาเจ้า”
เจ้าจงใจเขวี้ยงใส่ข้า!
เซียงอ๋องเตรียมจะอ้าปากกล่าวโทษ ทว่าความเจ็บแปลบแผ่ซ่านทำให้ถ้อยคำที่พ่นออกมาเป็นเพียงเสียงอู้อี้
“ว่าอย่างไรนะ อย่าใส่ใจไปเลย? นั่นมันของแน่อยู่แล้ว พวกเราเป็นพี่น้องกันนี่นา” อวี้จิ่นหัวเราะพลางหันหลังเดินจากไป
ถ้าวันนี้มิใช่วันมงคล มิควรเห็นคนหลั่งเลือดแล้วล่ะก็ เขาคงได้เลาะแผงฟันหน้าไอ้คนนั้นออกมาให้หมด
เซียงอ๋องกำหมัดแน่น
ไอ้คนบ้า เจ้าเจ็ด เจ้ามันคนเสียสติ!
เขาต่างจากเจ้าห้า ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เขาอดกลั้นความโกรธนั้นไว้ เพราะมิฉะนั้นแล้วหากเรื่องร้อนถึงหูเสด็จพ่อคงได้เดือดร้อนกันหมด
นี่เจ้าเจ็ดกำลังปกป้องภรรยาตัวเองงั้นรึ หึๆ งั้นก็ค่อยดูแล้วกัน
เมื่ออวี้จิ่นจัดการแขกที่มาร่วมงานเรียบร้อยแล้วก็แอบเก็บขาหมูตุ๋นใส่ไว้ในแขนเสื้อ ในใจอยากกลับเข้าไปในเรือนหอเดี๋ยวนั้น
ฝ่ายเจียงซื่อเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยด้วยความช่วยเหลือจากอาหมานและอาเฉี่ยว ครั้นได้ทานรังนกต้มน้ำตาลที่ฝ่ายห้องครัวจัดเตรียมไว้ให้แล้วก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก
การแต่งงานนี่ช่างสูบพลังชีวิตเสียเหลือเกิน ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว นางผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาแล้วถึงสามครั้ง เรียกว่าแทบจะสู่ขิตในวันที่ดีกันเลยทีเดียว!
“ท่านอ๋อง” เมื่อเห็นอวี้จิ่นเดินเข้ามา อาหมานและอาเฉี่ยวก็รีบถวายความเคารพ
จนถึงบัดนี้สาวรับใช้ทั้งสองยังคงไม่วางใจจึงจ้องเขม็งไปที่อวี้จิ่นอย่างระแวดระวัง
คุณชายอวี๋คือเยี่ยนอ๋อง เยี่ยนอ๋องก็คือคุณชายอวี๋ นี่คือเรื่องจริงแท้แน่นอน
อวี้จิ่นกล่าวด้วยใบหน้าราบเรียบ “พวกเจ้าออกไปได้”
ทั้งคู่ออกไปตามคำสั่งแล้ว อวี้จิ่นก็นั่งลงข้างๆ เจียงซื่อพลางบ่นกระปอดกระแปด “อาซื่อ เหตุใดสองสาวรับใช้ของเจ้าถึงมองข้าไม่วางตาเช่นนั้น หรือว่าอยากคลานขึ้นเตียงงั้นหรือ”
เจียงซื่อแทบจะสำรอกรังนกที่ทานไปเมื่อครู่ออกมา นางว่าด้วยความขุ่นเคือง “พูดจาอะไรไม่เข้าท่า”
หากเป็นชายคนอื่นคงพยายามปกปิด แต่ทว่าเขาขี้ระแวงยิ่งกว่าผู้เป็นภรรยาเสียอีก
อวี้จิ่นพยายามครองสติให้รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา
เนื่องจากหมู่นี้เขาศึกษาพวกตำราภาพ จึงได้มีโอกาสอ่านตำรานิทานพื้นบ้านอยู่หลายเรื่อง และพบว่าความเข้าใจผิดมักเกิดจากความสะเพร่าของฝ่ายชาย ประกอบกับความอ่อนไหวของฝ่ายหญิง ฉะนั้นเขาจะไม่ปล่อยให้ผู้ใด หรือเรื่องใดมาทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างเขาและอาซื่อเป็นอันขาด
“กินรังนกไปแล้วรึ”
“เจ้าเป็นคนสั่งให้พวกบ่าวทำมาให้ข้า?”
“อื้ม ข้าไปถามมา เขาบอกว่าวันที่ผู้หญิงออกเรือนจะไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า เลยคิดว่าเจ้าคงหิวโซเป็นแน่”
เจียงซื่อรู้สึกอบอุ่นหัวใจ นางส่งยิ้มพลางบอก “รังนกรสชาติดียิ่งนัก”
อวี้จิ่นได้ยินดังนั้นก็ดีใจยิ่งนัก เขาล้วงมือหยิบห่อกระดาษมันย่องออกมา
“นั่นอะไรรึ” เจียงซื่อถามด้วยความสงสัย
แล้วนางก็ได้กลิ่นที่สุดแสนจะคุ้นเคย
อวี้จิ่นคลี่ห่อกระดาษนั้นออกแล้วยื่นไปให้นาง “ข้าได้ยินมาจากท่านพ่อตาว่าเจ้าชอบกินขาหมูตุ๋น บังเอิญเห็นมีอยู่ในงานเลี้ยง ข้าจึงแอบห่อมาให้เจ้า”
เจียงซื่อจ้องมองไปที่ขาหมูอวบอ้วนชุ่มซีอิ๊วแล้วใบหน้าของนางก็บิดเบี้ยวไปโดยพลัน
นางคิดว่าสิ่งที่นางรอจะเป็นฝันอันหอมหวานดังเช่นในอดีต ไม่นึกไม่ฝันว่าสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของนางตอนนี้จะเป็นขาหมูชิ้นโต!
“ท่านพ่อบอกกับเจ้างั้นหรือ” เจียงซื่อกัดฟันถาม
อวี้จิ่นหัวเราะ หึๆ พลางหยักหน้า “ตอนแรกข้าคิดว่าท่านพ่อตาจะโกรธเคืองข้าเสียอีก นึกไม่ถึงว่า…”“เป็นอะไรไปรึ อาซื่อ”
เจียงซื่อหลับตาลงแช่มช้า และค่อยๆ ลืมตาอีกครั้งพลางฝืนยิ้ม “เปล่าหรอก ข้าไม่หิว ขาหมูนั่นให้อาหมานเอาออกไปก่อนแล้วกัน”
ใจนี่จะให้นางร่วมหอกับเขาพร้อมกลิ่นขาหมูตุ๋นหรืออย่างไร ตาคนโง่
“แต่ว่า…”
“จะนอนหรือไม่นอน” เจียงซื่อถามอย่างเหลืออด
ปกติแอบกระโดดข้ามหน้าต่างเข้ามาออกจะกระตือรือร้นปานนั้น แล้วไฉนพอได้อยู่ด้วยกันอย่างถูกต้องแล้ว กลับมัวแต่สาละวนอยู่กับขาหมูตุ๋นไม่จบไม่สิ้นเล่า!
“นอน!”