ม่านโปร่งสีแดงผืนใหญ่แกว่งส่ายไปมา แสงจากเปลวเทียนสะท้อนเงาร่างสลัวด้านใน
คลับคล้ายยามที่พืชนานาพรรณบานสะพรั่งในช่วงวสันตฤดู
แต่แล้วจู่ๆ เจียงซื่อก็ลุกขึ้นนั่ง
บุรุษในอาภรณ์ท่อนบนเปิดอ้าไว้กล่าวถามด้วยเสียงแหบแห้งด้วยความฉงน “ทำไมรึ”
เจียงซื่อรวบคอเสื้อให้เข้าที่พลางเอื้อมมือไปเปิดม่าน
เอ้อร์หนิวคาบขาหมูตุ๋นเอาไว้ในปาก แล้วส่ายหางไม่รู้ไม่ชี้
อวี้จิ่นลุกขึ้นนั่งด้วยอีกคน แสงสว่างจากเปลวไฟส่องสะท้อนให้เห็นเอ้อร์หนิวได้อย่างชัดเจน ใบหน้าชายหนุ่มขึ้งโกรธอย่างยิ่งยวด “เอ้อร์หนิว ใครปล่อยให้เจ้าเข้ามา!”
เขาหันมองซ้ายขวาก่อนจะคว้าหมอนกระเบื้องเขวี้ยงไปในทันใด
เอ้อร์หนิววิ่งออกไปพร้อมคาบขาหมูตุ๋นไว้ในปาก
อวี้จิ่นพลิกตัวจะลงจากเตียงทว่าถูกเจียงซื่อคว้าตัวไว้ “นี่เจ้าจะไปไหน”
“ไปถลกหนังเอ้อร์หนิว พรุ่งนี้จะได้กินเนื้อสุนัข!”
เจียงซื่อกลอกตาใส่อวี้จิ่นหนึ่งที “ในคืนร่วมหอเจ้าออกไปไล่เอ้อร์หนิวเช่นนี้ ใครเห็นเข้าจะคิดอย่างไร”
อวี้จิ่นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวอย่างหัวเสีย “ไม่แน่เอ้อร์หนิวก็คงคิดเช่นนี้เหมือนกัน ถึงได้กล้าเข้ามาขโมยขาหมูตุ๋นดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้”
ชายหนุ่มงุ่นง่านอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วก็คิดได้ว่า อย่างไรเสียค่ำคืนร่วมหอย่อมหอมหวานกว่าทรัพย์สมบัติเป็นไหนๆ เขาจึงเอื้อมมือไปดึงเจียงซื่อเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แล้วทั้งคู่ก็กลับเข้าไปหลังม่านนั้น
เทียนมงคลสลักลายมังกรคู่หงส์ส่องแสงสว่างไสว ม่านโปร่งสีแดงสดผืนใหญ่ปลิวไหวไปมาตลอดทั้งคืน จวบจนผืนฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวนวลคล้ายท้องปลา ทุกอย่างถึงจะกลับสู่ความเงียบสงบ
อวี้จิ่นวางมือบนแผ่นหลังนวลเนียนของเจียงซื่อพลางลูบแผ่วเบา แม้ร่างกายจะรู้สึกสุขสม ทว่าภายในใจกลับเจือด้วยความเศร้าหมอง
หรือว่านี่เป็นเรื่องของพรสวรรค์ เขาคิดว่าตนเองศึกษาตำราภาพพวกนั้นจนแตกฉานแล้ว แต่เหตุใดกลับรู้สึกว่าอาซื่อช่ำชองกว่ามาก
เจียงซื่อปรือตาขึ้น “ถึงเวลาแล้วหรือ”
อวี้จิ่นรีบสลัดความกังวลในหัว ใช้มือลูบพุ่มผมที่ปรกอยู่ของนางอย่างอ่อนโยน “นอนต่ออีกหน่อยเถิด”
เสียงกระแอมไอของจี้หมัวมัวดังขึ้นจากด้านนอก “ท่านอ๋อง พระชายา ได้เพลาตื่นบรรทมแล้วเพคะ”
อวี้จิ่นขมวดคิ้วหมายจะไล่บุคคลที่สามออกไป
เจียงซื่อชูสัญญาณมือห้ามไว้เสียก่อน แล้วค่อยๆ ยันตัวขึ้น
“เช้านี้ต้องเข้าไปน้อมทักที่ในวังหลวง หากไปช้าคงไม่เหมาะ”
ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว หากองค์ชายที่มีจวนอยู่ที่นอกวังเข้าพิธีอภิเษกแล้ว เช้าวันถัดมาจะต้องเข้าไปถวายความเคารพที่ในวัง เนื่องจากฮองเฮาและเหล่านางสนมไม่สะดวกออกมาด้านนอก
“เข้ามาเถอะ” เจียงซื่อจัดอาภรณ์ให้เข้าที่ก่อนจะกล่าว
ไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดออก จี้หมัวมัวเดินนำสาวรับใช้หลายคนเข้ามา
กลิ่นจางๆ ที่ยังคงอบอวลอยู่ในห้องทำให้จี้หมัวมัวขมวดคิ้ว
ท่านอ๋องกับพระชายาก่อเรื่องอะไรกันนี่ เด็กไม่รู้จักโต ไม่รู้จักโตเอาเสียเลย!
ครั้นหันไปมองเจียงซื่อแล้วจี้หมัวมัวก็ต้องถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่สอง
พระชายารูปโฉมปานฉะนี้ ท่านอ๋องถึงได้ขาดความยับยั้งชั่งใจ…
ไม่ได้การแล้ว ต่อให้เจ้านายจะไม่ชื่นชอบนาง แต่อย่างไรก็ต้องเกลี้ยกล่อมเสียหน่อย มิฉะนั้นนางคงไม่เหมาะจะทำหน้าที่นี้
“ท่านอ๋อง บ่าวได้ยินมาว่าเมื่อคืนมีการขอน้ำไปถึงห้าครั้ง…” ครั้นสบตาเข้ากับแววตาคมกริบราวกับใบมีดของอวี้จิ่นแล้ว จี้หมัวมัวก็สงบปากลงทันที
“ในครัวกังวลว่าน้ำร้อนจะไม่พอใช้งั้นรึ”
“พอใช้เพคะ เพียงแต่ว่า…”
“ในเมื่อพอใช้ อีกทั้งในจวนก็มีฟืนไฟพร้อมสรรพ แล้วเจ้าจะพล่ามให้ได้อะไรขึ้นมา” อวี้จิ่นถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“อาจิ่น ช่างเถอะ” ถ้อยคำของจี้หมัวมัวไม่ได้ทำให้เจียงซื่อขัดเขินเลยแม้แต่น้อย
มาหม่าจากวังหลวงก็มักจะเคร่งครัดในกฎระเบียบเป็นธรรมดา การจะรู้สึกไม่ถูกใจยามพบเห็นเรื่องผิดขนบก็มิได้ผิดแปลกแต่อย่างใด
จี้หมัวมัวเบิกตากว้าง “พระชายา พระองค์ไม่ควรเรียกนามของท่านอ๋องนะเพคะ…”
ใบหน้าของเจียงซื่อแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “หมัวมัวเรียกอาเฉี่ยวและอาหมานเข้ามาทำแทนเถิด และข้าหวังว่าหมัวมัวจะจำได้อย่างขึ้นใจว่า ข้าคือนายหญิงเพียงผู้เดียวของจวนหลังนี้ กฎเกณฑ์และระเบียบแบบแผนในจวน ข้าเป็นผู้มีสิทธิ์ขาด และข้าเชื่อว่าหมัวมัวรู้ดีว่าควรวางตัวเช่นไร”
จี้หมัวมัวอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่อวี้จิ่น
“ไม่ได้ยินที่พระชายาพูดหรือ”
แม้จี้หมัวมัวอยากจะกล่าวต่อ แต่เมื่อเผชิญกับใบหน้าเย็นชาของอวี้จิ่นแล้วก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
องค์ชายผู้นี้กล้ามีเรื่องกับเหล่าองค์ชาย แล้วมีหรือจะไม่กล้าปลดนางออกจากตำแหน่ง
จี้หมัวมัวเงียบไปครู่หนึ่ง
จั่งสื่อ ข้าต้องขออภัยอย่างยิ่ง ต่อจากนี้หากท่านอ๋องและพระชายาละเมิดกฎธรรมเนียมใดๆ ท่านก็มาจัดการเองแล้วกัน
พระชายากล่าวถูกต้องแล้ว จี้หมัวมัวรู้ดีว่าตนควรวางตัวเช่นไร ในเมื่อนางถูกมอบหมายให้มาทำงานอยู่ในจวนเยี่ยนอ๋องแล้วไซร้ ทั้งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือแม้แต่ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตล้วนแต่ขึ้นอยู่กับจวนอ๋องทั้งสิ้น
หากเปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว ก็ช่างกฎธรรมเนียมพวกนั้นเถอะ
บนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าไปยังวังหลวง อวี้จิ่นโอบกอดเจียงซื่อพลางยิ้ม “โชคดีที่เจ้าใจเย็น เมื่อเช้าข้าเกือบจะไล่นางไปเสียให้พ้นจวน”
พวกเขาจะต้องการใช้น้ำมากน้อยเพียงใดก็ยังถูกควบคุมงั้นหรือ หากถูกกะเกณฑ์ไปเสียทุกเรื่อง หรือแม้แต่เรื่องมีบุตรก็ยังถูกจับตาดูทุกฝีก้าวเยี่ยงนี้ การเข้ามาอยู่ในวงศาคณาญาติของฮ่องเต้นี่ช่างน่าเหนื่อยหน่ายเสียเหลือเกิน
“เจ้ามีศักดิ์เป็นถึงท่านอ๋อง ไม่ต้องเปลืองแรงจัดการกับพวกนางหรอก ต่อไปนี้ข้าจะเป็นผู้ดูแลกิจต่างๆ ภายในจวนเอง”
อวี้จิ่นเห็นพ้องตามที่นางว่า เช่นเดียวกับที่ฝ่าบาทไม่แทรกแซงเรื่องในวังหลัง หากเขาเข้ามายุ่มย่าม ผู้คนอาจมองว่าพระชายาไร้ความสามารถ
“ทีแรกข้าคิดว่าเจ้าคร้านจะใส่ใจเรื่องพวกนี้เสียอีก”
เจียงซื่อหัวเราะ “ได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อข้าตัดสินใจแต่งงานกับเจ้าแล้ว เรื่องพวกนี้ข้าก็ต้องเป็นคนดูแล จะปล่อยให้เจ้าคอยประคบประหงมอยู่ร่ำไป วันหนึ่งข้าคงได้เป็นเพียงพืชพรรณกาฝาก…”
อวี้จิ่นคลี่ยิ้มด้วยความพึงใจ “ใคร่จะเป็นพืชพรรณกาฝาก หรือดอกหญ้าที่ต้านลม เจ้าใคร่จะเป็นสิ่งใด ข้าก็ยินดีทั้งนั้น”
ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะกันไปตลอดทาง เมื่อไปถึงก็มีข้าหลวงนำทางพวกเขาไปน้อมทักไทเฮาที่ตำหนักฉือหนิงเป็นอันดับแรก
ผ่านไปครู่ใหญ่ บ่าวรับใช้ข้างกายของไทเฮาก็ออกมาพร้อมกล่าวว่า “นี่คือของกำนัลที่ไทเฮาพระราชทานให้พระชายาเพคะ บัดนี้พระวรกายของไทเฮาไม่สู้ดี จึงไม่อาจให้ท่านอ๋องและพระชายาเข้าเฝ้าได้เพคะ”
เจียงซื่อรับกล่องผ้าไหมมาจากมือบ่าวรับใช้ผู้นั้นก่อนจะหันไปถวายพระพรทางห้องบรรทมของไทเฮา แล้วทั้งคู่ก็เดินจากมา
ครั้นเห็นว่าทั้งสองเดินห่างไปไกลแล้ว รวมถึงสาวรับใช้รุ่นใหญ่เมื่อครู่ก็เดินกลับเข้าไปแล้ว สาวรับใช้หญิงทั้งสองจึงกระซิบกระซาบกัน
“หรือเป็นเพราะคุณหนูใหญ่ชุยเพิ่งจะมาเข้าเฝ้า ไทเฮาถึงได้ปฏิเสธเยี่ยนอ๋องและพระชายาเช่นนี้ นี่หมายความว่าพระองค์ทรงไม่พอพระทัยพระชายาเยี่ยนอ๋องงั้นหรือ”
“แน่อยู่แล้ว เมื่อเดือนก่อนหลู่อ๋องพาพระชายามาน้อมทัก พระองค์ยังทรงให้หลู่อ๋องนั่งสนทนาต่ออีกหน่อย แต่เมื่อไม่ยอมให้เข้าเฝ้าเช่นนี้ก็หมายความว่าทรงไม่โปรดพระชายาเยี่ยนอ๋องอย่างไรล่ะ…”
ภายในห้องบรรทม ชุยหมิงเย่ว์กำลังใช้ค้อนงาช้างทุบนวดขาของไทเฮา ความยินดีเปล่งประกายออกมาจากแววตาของนาง
ในเมื่อเจียงซื่อได้เห็นสภาพตอนที่นางจนตรอกที่สุด ทั้งยังทำลายชื่อเสียงของนางจนป่นปี้ หากนางยังปล่อยให้เจียงซื่อมีชีวิตสุขสบายอยู่ได้ ก็อย่าได้เรียกนางว่าชุยหมิงเย่ว์
“หมิงเย่ว์ งานอภิเษกของเจ้าและเซียงอ๋องอาจฉุกละหุกไปเสียหน่อย ลำบากเจ้าแล้ว”
ชุยหมิงเย่ว์ยิ้มจาง “หมิงเย่ว์จะลำบากได้อย่างไรเพคะ ไทเฮาไม่ทรงถือโทษที่หมิงเย่ว์ไม่รู้ความ หมิงเย่ว์ก็รู้สึกตนเองเป็นคนโชคดีอย่างยิ่งแล้วเพคะ”
ไทเฮามองไปที่หลานสาวด้วยสายตาอ่อนโยน
การปฏิเสธการเข้าพบของไทเฮามิได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อความรู้สึกของเจียงซื่อ ทั้งคู่เพียงแต่ตรงไปที่ห้องบรรทมของฮองเฮาเป็นลำดับต่อไป
ในขณะนั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ตำหนักคุนหนิง
ฮองเฮารู้สึกแคลงใจเล็กน้อย
ในตอนที่หลู่อ๋องและพระชายาจะมาน้อมทักนาง ต้องรอให้ถึงช่วงสนทนาเสียก่อน ฝ่าบาทถึงจะเสด็จมา แต่พอเป็นคราวเยี่ยนอ๋อง ไฉนถึงได้เสด็จมารอเช่นนี้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นางคงต้องตรวจสอบสถานะของเยี่ยนอ๋องและพระชายาในพระทัยของฝ่าบาทเสียใหม่
การที่จิ่งหมิงฮ่องเต้เสด็จมารอนี่ก็เป็นพระประสงค์ของพระองค์เอง
หมู่นี้มีปัญหาปริมาณฝนมากในหลายพื้นที่ อีกทั้งเหตุภัยพิบัติก็ประดังประเดเข้ามาไม่หยุดหย่อน น่ากลุ้มใจยิ่งนัก ฉะนั้นไปดูลูกสะใภ้เล่นกลให้สบายอารมณ์เสียหน่อยดีกว่า
“…”
การอยู่ในฐานะประมุขมายาวนานกว่าหลายสิบปี จิ่งหมิงฮ่องเต้ต้องเผชิญกับความกดดันรอบด้าน
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ข้าได้ยินมาว่าพระชายาขององค์ชายเจ็ดเป็นสตรีที่โฉมงามที่สุดในเมืองหลวง เป็นความจริงหรือไม่เพคะ” เด็กสาวที่นั่งอยู่ต่ำกว่าฮองเฮาถามขึ้น
ใบหน้าของนางสะสวยโสภา ผิวพรรณขาวนวลโดดเด่นราวหิมะ เรียกได้ว่าเป็นสตรีงามนางหนึ่ง นางคือองค์หญิงฝูชิง พระธิดาองค์เดียวของฮองเฮา และยังเป็นบุตรีคนโปรดของจิ่งหมิงฮ่องเต้
ทว่าสตรีสูงส่งเช่นนางกลับมีหมอกขาวปกคลุมม่านตาทั้งสองข้าง ทำให้ยามที่นางเอื้อนเอ่ยสิ่งใด ดวงตาของนางจะไม่เคลื่อนไปมาเลยแม้แต่น้อย