จิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นพวกปฏิบัติตามขนบจารีตประเพณี ฮองเฮาพระองค์ก่อนทรงให้กำเนิดไท่จื่อเพียงพระองค์เดียว ส่วนฮองเฮาองค์ปัจจุบันก็ทรงมีพระธิดาเพียงพระองค์เดียวเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะมีบุตรีมากกว่ายี่สิบคน แต่นามของพวกนางก็ไม่อาจดีเลิศเทียบสู้พระธิดาของฮองเฮาได้เลย นั่นเป็นเพราะจิ่งหมิงฮ่องเต้ทรงโปรดปรานนางเป็นที่สุดในบรรดาบุตรีทั้งหมด
ยิ่งไปกว่านั้นคือองค์หญิงฝูชิงประชวรด้วยโรคตาตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเท่าคนปกติ นั่นยิ่งทำให้ฮ่องเต้รู้สึกสงสารจับใจ
ครั้นได้ยินว่าองค์หญิงฝูชิงถามเช่นนั้นแล้ว ทั้งจิ่งหมิงฮ่องเต้และฮองเฮาจึงหันมาสบตากันอย่างช่วยไม่ได้ ฮ่องเต้หัวเราะพลางบอก “ไม่มีใครหน้าไหนรูปโฉมงดงามไปกว่าอาเฉวียนของข้าอีกแล้ว”
องค์หญิงฝูชิงเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มจางเปื้อนหน้า “จริงหรือเพคะ เสด็จพ่อตรัสเอาใจลูกอยู่เป็นแน่”
“ได้อย่างไรเล่า พ่อเคยพูดเอาใจผู้ใดที่ไหนกัน อย่างไรเสียในสายตาพ่อ อาเฉวียนก็งดงามที่สุด”
องค์หญิงฝูชิงหัวเราะระคนถอนหายใจ นางเพียงแต่ก้มหน้ามิได้เกริ่นกล่าว
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่เห็นเช่นนั้นกลับรู้สึกรวดร้าวไปทั้งใจ
อาเฉวียนของเขาเป็นเด็กเชื่อฟัง และเป็นเด็กดีที่สุด แต่เหตุไฉนฟ้าสวรรค์ถึงช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยที่อนุญาตให้ดวงตาของอาเฉวียนมืดหม่น
จิ่งหมิงฮ่องเต้อารมณ์เศร้าหมองขึ้นมาทันใด ความตื่นเต้นที่จะได้เห็นหน้าลูกสะใภ้คนใหม่พลันหายสิ้น
ขณะที่เขาเตรียมจะลุกจากไป ทันใดนั้นข้าหลวงก็ส่งเสียงรายงานขึ้น “เยี่ยนอ๋องและพระชายาเสด็จ…”
ฮองเฮาผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงให้เชิญทั้งสองเข้ามาได้
ผ่านไปไม่นาน ทั้งคู่ก็ถูกพาตัวเข้ามา
“ถวายบังคมเสด็จพ่อและเสด็จแม่”
“ลุกขึ้นเถิด” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยเสียงราบเรียบ
ฮองเฮามองทั้งสองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ครู่หนึ่ง นางในก็นำสำรับน้ำชามาถวาย
อวี้จิ่นถูกกำชับก่อนที่จะเข้าวังมาว่า นี่เป็นธรรมเนียมการคารวะน้ำชาหลังงานอภิเษก ดังนั้นเขาจึงยกถ้วยชาขึ้นพลางหันไปคารวะฮ่องเต้และฮองเฮาตามลำดับ
เจียงซื่อทำตาม ในตอนนั้นนางได้รับพระราชทานเครื่องประดับศีรษะทองคำชิ้นหนึ่งจากฮองเฮา
สำหรับฮองเฮา ไม่ว่าจะเป็นพระชายาหลู่อ๋อง หรือพระชายาเยี่ยนอ๋องก็ไม่ต่างกัน นางมิได้มีอคติกับทั้งคู่ จึงมอบของกำนัลเป็นเครื่องประดับศีรษะทองคำเหมือนๆ กัน
ถัดมาก็ถึงคราวขององค์หญิงฝูชิง
“ฝูชิงน้อมทักพี่เจ็ด”
นั่นเป็นครั้งแรกที่อวี้จิ่นสังเกตเห็นว่าองค์หญิงฝูชิงอยู่ในที่นั้นด้วย เขาจึงนำของกำนัลที่เจียงซื่อเตรียมไว้ให้ส่งให้นางก่อนจะกล่าว “ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ ขอน้องโปรดอย่ารังเกียจ”
องค์หญิงฝูชิงรับของไปแล้วใช้มือลูบไล้โดยไม่รู้ตัวก่อนจะถาม “นี่คือ…นกไม้รึเพคะ”
นางมองไม่เห็นมานานแล้ว จึงพอเดาสิ่งของต่างๆ ได้ด้วยการสัมผัส
อวี้จิ่นชำเลืองมองแวบหนึ่งก่อนจะวางถ้วยชาลงบนโต๊ะตรงหน้า เขานำนกไม้จากมือองค์หญิงฝูชิงใส่ไว้ในถ้วยนั้น
ความเคลื่อนไหวของเขาดึงดูดสายตาของฮองเฮาแทบจะในทันที
เมื่อนกไม้ถูกวางลงบนผิวน้ำ หัวของมันจะก้มลง แล้วจะงอยปากก็จะจุ่มลงในน้ำชาราวกับกำลังกินน้ำ และมันก็ผงกหัวขึ้น นกไม้จะขยับหัวขึ้นลงเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
องค์หญิงฝูชิงเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจพลางผุดยิ้ม นางถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ข้าได้ยินเสียงนกไม้กำลังกินน้ำเพคะ เสด็จแม่ นกไม้ที่พี่เจ็ดมอบให้ข้ากำลังกินน้ำอยู่หรือเพคะ”
ฮองเฮาก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน “นกไม้กำลังกินน้ำอยู่จริงด้วย!”
ความหม่นหมองในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ถูกชะล้างออกไปสิ้น เขาถามอวี้จิ่นด้วยความกระตือรือร้นว่า “นกไม้นี้กินน้ำเองได้อย่างไรกัน”
อวี้จิ่นยิ้มพลางกล่าว “ลูกเองก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่มันเรียกว่านกกินน้ำ เจ้าของเล่นนี้เป็นที่นิยมในหมู่เด็กที่มาจากครอบครัวชั้นสูงในหนานเจียง ตอนที่ลูกกลับมาที่เมืองหลวง ลูกได้ซื้อติดมือกลับมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลูบคางอย่างครุ่นคิด ที่หนานเจียงมีของเล่นพิสดารเช่นนี้มากมายเหลือเกิน
ครั้นได้เห็นรอยยิ้มอย่างมีความสุขขององค์หญิงฝูชิงที่มีปรากฏให้เห็นไม่บ่อยนัก จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงพยักหน้าพลางตรัสว่า “อาเฉวียนชอบก็ดี”
องค์หญิงฝูชิงชื่นชอบของชิ้นนั้นยิ่งนัก นางลูบคลำนกไม้อยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะส่งให้นางในข้างกาย แล้วจึงหันไปทักทายเจียงซื่อ “พี่สะใภ้เจ็ด ข้าขอให้เสด็จพี่ทั้งสองมีแต่ความสุขนะเพคะ”
“ขอบพระทัยองค์หญิง” เจียงซื่อยังคงมองไปที่ดวงตาขององค์หญิงฝูชิงไม่วางตา
ฝ่ายองค์หญิงไม่รู้ตัว แต่เป็นฮองเฮาที่ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
นางมีบุตรีเพียงคนเดียวที่หวงแหนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชีวิตของตน แต่แล้วเหตุใดฟ้าสวรรค์ถึงได้ใจดำ ปล่อยให้นางมีดวงตาผิดปกติ ในขณะที่คนอื่นๆ ปรายตามองความงดงามของโลกใบนี้อย่างไม่ยี่หระ ทว่าบุตรสาวของนางกลับเห็นแต่ความมืดมิด
โรคตาขององค์หญิงฝูชิงมิได้เป็นเพียงความเจ็บปวดของเจ้าตัวเท่านั้น แต่เป็นความทุกข์ระทมของผู้เป็นมารดาด้วย
ฮองเฮาจึงอ่อนไหวเป็นพิเศษเมื่อเห็นว่าเจียงซื่อจ้องมองดวงตาของบุตรสาวเช่นนั้น
แม้อยู่ต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ ฮองเฮาก็ยังกล้าแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน “พระชายาทอดพระเนตรสิ่งใดอยู่หรือ”
เมื่อครู่เพิ่งจะบอกไปว่า ไม่ว่าจะเป็นพระชายาหลู่อ๋องหรือพระชายาเยี่ยนอ๋องล้วนแล้วแต่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับนาง แต่ทว่าบัดนี้ ดูเหมือนว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องจะทำตัวเกินงามไปเสียหน่อย
การจ้องมองข้อบกพร่องของผู้อื่นไม่วางตาเช่นนี้ไม่เข้าท่าเลยสักนิด ราวกับมิได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างไรอย่างนั้น
ฮองเฮายิ่งคิดก็ยิ่งงุ่นง่าน พระพักตร์เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
องค์หญิงฝูชิงได้ยินฮองเฮาตรัสถามเช่นนั้นก็รีบก้มหน้าโดยพลัน
พี่สะใภ้เจ็ดคงสงสัยว่าข้าตาบอดสินะ
ครั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นปฏิกิริยาขององค์หญิงก็รู้สึกปวดแปลบขึ้นในใจ พระพักตร์เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง “เจ้าเจ็ดกับลูกสะใภ้เจ็ด พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”
“เช่นนั้นลูกทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” แม้ว่าอวี้จิ่นจะแปลกใจกับท่าทีของเจียงซื่อ ทว่ามิได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา เพียงแต่เอื้อมมือไปจับมือนางเอาไว้เตรียมเดินออกไป
ทว่าเจียงซื่อยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง สายตาจับจ้องไปที่ดวงตาขององค์หญิงอยู่อย่างนั้น พลางกล่าวขึ้นว่า “พระเนตรขององค์หญิงมองไม่เห็นตั้งแต่เมื่อใดหรือเพคะ”
เมื่อนางถามขึ้นเช่นนี้ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบงัน แม้แต่เหล่าข้ารับใช้ต่างก็ก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัวและความตกใจ
พระชายาเยี่ยนอ๋องคงเสียสติไปแล้วกระมัง ถึงได้กล้าจี้ข้อด้อยขององค์หญิงต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้และฮองเฮาเช่นนี้
องค์หญิงฝูชิงรีบยกชายกระโปรงและคุกเข่าลงโดยพลัน “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมีธุระต้องไปสะสาง ลูกขอตัวก่อนนะเพคะ”
ฮองเฮาไม่อาจข่มกลั้นได้อีกต่อไปจึงเอ่ยอย่างเดือดดาล “พระชายาเยี่ยนอ๋อง เจ้าบังอาจนัก!”
เรื่องอื่น นางยอมวางตัวเป็นฮองเฮาผู้เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม มีพระทัยกว้างขวาง แต่มีเพียงเรื่องเดียวที่นางยอมไม่ได้คือเรื่องที่เกี่ยวกับฝูชิง
ครั้นเห็นว่าฮองเฮาโกรธขึ้งเช่นนั้น อวี้จิ่นจึงเอ่ยด้วยท่าทีสงบนิ่งว่า “เหตุไฉนเสด็จแม่ถึงได้กริ้วเพียงนี้ ไม่ลองฟังสิ่งที่อาซื่อจะพูดก่อนล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาหันไปมองนางในทันที ดวงตาของนางลุ่มลึกกว่าเก่า
แม้ฮ่องเต้จะไม่พอใจกับการกระทำของเจียงซื่อเมื่อครู่ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้
ดูเหมือนว่าลูกสะใภ้เตรียมจะแสดงกลให้ดูอีกแล้ว
หึ หากทำให้เขาพอใจได้ก็ถือว่ารอดตัวไป แต่หากไม่แล้วล่ะก็เขาจะแสดงกลนับร้อยเป็นการลงทัณฑ์ให้ชมเป็นขวัญตา คราวหน้าคราวหลังจะได้ไม่ก่อเรื่องเช่นนี้อีก!
เจียงซื่อคุกเข่าลงเล็กน้อยก่อนจะยืดตัวขึ้นพลางถาม “หากหม่อมฉันเดาไม่ผิด อาการขององค์หญิงมิได้เป็นตั้งแต่กำเนิดใช่หรือไม่เพคะ”
ฮองเฮาเย้ยหยัน “เป็นตั้งแต่กำเนิดหรือไม่ได้เป็นตั้งแต่กำเนิดแล้วจะอย่างไร”
ใครๆ ในเมืองหลวงต่างก็รู้ดีว่าฝูชิงป่วยด้วยโรคตาเมื่อครั้งยังเด็ก การที่พระชายาเยี่ยนอ๋องถามเช่นนี้คงตั้งใจจะจี้ใจดำสินะ
ความรู้สึกดีที่ฮองเฮามีต่อเจียงซื่อตกฮวบไปถึงจุดเยือกแข็ง
เปล่าหรอก เดิมทีมิได้มีทั้งความรู้สึกดีหรือความรู้สึกร้ายทั้งนั้น เพียงแต่บัดนี้เด็กสาวไร้มารยาทตรงหน้ายั่วยุนางได้สำเร็จ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองฮองเฮาครั้งแล้วครั้งเล่า
ความสนใจของฮองเฮาจึงถูกแย่งไปกว่าครึ่ง นางรำพึงรำพันในใจว่า ฮ่องเต้จ้องมองนางด้วยสาเหตุใดกัน ปกติยามบรรทมด้วยกันไม่เคยเห็นจะใส่ใจ
จิ่งหมิงฮ่องเต้คิดในใจ จะว่าไปแล้วเจ้าลูกสะใภ้นี่ก็มีความสามารถพอตัว เขาไม่ได้เห็นฮองเฮาแสดงท่าทีเกรี้ยวโกรธเช่นนี้มานานแล้ว
หรือจะอธิบายให้ชัดคือ ยามที่ฮองเฮาแค้นเคืองใจ นางจะไม่แสดงออกมา นั่นทำให้เขาอึดอัดใจที่เห็นนางเป็นเช่นนั้น
แพทย์หลวงคนก่อนเคยกล่าวไว้ว่า ความโกรธจำต้องถูกระบายออกมา จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่หากเก็บงำไว้เช่นนี้จะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย
วังหลังสงบสุขมาตลอดระยะเวลาหลายปี แม้จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้ใส่ใจเรื่องผู้สืบทอดนัก แต่ก็หวังว่าฮองเฮาจะมีชีวิตชีวาและอยู่อย่างไร้ปัญหารบกวนใจ
ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง แต่แล้วเจียงซื่อก็เอ่ยขึ้นว่า “โรคตาขององค์หญิง สามารถรักษาให้หายได้เพคะ”