บทที่ 307-3ความจริงปรากฏ (3)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 307 ความจริงปรากฏ (3)

ตัดภาพไปที่จี้จิ่วอาวุโสที่กำลังนั่งคุกเข่าไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา

ฮ่องเต้บันดาลโทสะจนตัวสั่น “ช่างโอหังนัก! ถึงขั้นเล่นเป็นพ่อเราเลยหรือ! ฮั่วเสียน เจ้าอยากลงนรกใช่ไหม!”

“ฝ่าบาททรงอย่ากริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ ระวังแผลจะเปิดเอาพ่ะย่ะค่ะ” จี้จิ่วอาวุโสรีบเอ่ย

“ยังมีหน้ามาห่วงแผลเราอีก! เจ้าอยากให้เราโกรธนักใช่ไหม!”

ความรู้สึกของฮ่องเต้ตอนนี้มีแต่ความทุกข์! ไร้หนทาง! และจนปัญญา!

หมอเทวดาอาจเรียกได้ว่าเป็นอาวุธลับตัวสำคัญของจวงไทเฮา นางถูกจวงไทเฮาครอบงำตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ นางไม่รู้ว่าจวงไทเฮาน่ะมีพิษสงมากเพียงใด แต่สำหรับฮั่วเสียนแล้ว เขาคือคนที่คอยติดต่อกับจวงไทเฮามาโดยตลอด ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าจวงไทเฮาเป็นคนแบบไหน

คนอย่างเขาน่ะหรือจะไม่รู้ว่าสตรีที่อันตรายที่สุขของแคว้นเจาจะเป็นใครไปไม่ได้อีกนอกจากนาง!

แล้วมีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าตนกับไทเฮาไม่ถูกกันเอาเสียเลย!

“ฝ่าบาท…”

จี้จิ่วอาวุโสครั้นอยากจะอธิบาย แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

จะให้เขาบอกว่าจวงไทเฮาความจำเสื่อม เข้าใจผิดคิดว่าตนเป็นสามีอย่างนั้นหรือ ใครจะไปเชื่อล่ะ

แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเหมือนกัน เขาจึงไม่อยากพูดมันออกไป

ฮ่องเต้ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าโทษของการดูหมิ่นพระพันปีหลวงนั้นร้ายแรงแค่ไหน”

จี้จิ่วอาวุโส “ลงโทษตามกฎหมายขอรับ”

ฮ่องเต้ “ตามกฎหมายเรอะ! ข้านี่จะลงโทษเจ้าเก้าชั่วโคตร!”

จี้จิ่วอาวุโสเงียบลงในทันใดราวกับรู้ว่าตัวเองไม่รอดแน่ๆ

เขาก้มหัวลง พลางเอ่ย “กระหม่อมเป็นลูกกำพร้าไร้บิดามารดาไร้พี่น้อง โตมาด้วยลำแข้งตัวเองมาตลอด เคยเสียภรรยาไปเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่ม ไม่มีบุตร หากจะลงโทษกระหม่อมเก้าชั่วโคตร…ก็มีแค่กระหม่อมนี่แหละพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้า…” ฮ่องเต้โกรธจัดจนหยิบชามยาบนโต๊ะข้างเตียงขว้างใส่

จี้จิ้วอาวุโสไม่หลบแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ฮ่องเต้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่มีพละกำลังเพียงพอ ดังนั้นชามยาจึงตกกระแทกลงบนพื้นต่อหน้าจี้จิ่วอาวุโส

ฮ่องเต้ยิ่งโกรธจัดกว่าเดิม

กู้เจียวเดินมาหยุดที่หน้าประตู ก่อนจะเปิดเข้ามา

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีมือที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นเข้ามาคว้าข้อมือของกู้เจียวเอาไว้

พอกู้เจียวหันไปมองก็ถึงกับชะงัก “ท่านย่า”

หญิงชราโผล่มาที่นี่ได้อย่างไร

“ท่านมาได้อย่างไร” กู้เจียวเอ่ยถาม

“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่ให้ข้ามาได้อย่างไรล่ะ” จวงไทเฮาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง

จะให้บอกว่าออกมาเล่นไพ่ก็กะไรอยู่!

“เจ้าออกไปรอข้างนอกเถอะ เดี๋ยวข้าจัดการเอง” จวงไทเฮาเอ่ยเสียแผ่วเบา

“อ้อ” กู้เจียวจึงออกไปนั่งรอที่โต๊ะหินอ่อนด้านนอก

จวงไทเฮาเปิดประตูเดินเข้าไป

ก็เห็นว่าฮ่องเต้กำลังบันดาลโทสะ

พอจี้จิ่วอาวุโสเห็นจวงไทเฮาเดินเข้ามาก็ยืดตัวขึ้นทันทีทันใด!

จวงไทเฮาเอ่ยกับจี้จิ่วอาวุโสด้วยสีหน้านิ่ง “เจ้าออกไป ข้ามีเรื่องจะคุยกับฝ่าบาท”

“ขอรับ กระหม่อมขอตัวก่อน…” จี้จิ่วอาวุโสไม่กล้าสบตากับจวงไทเฮา ได้แต่เดินก้มหัวออกไป

ฮ่องเต้มองดูจวงไทเฮาที่แต่งกายเหมือนชาวบ้านด้วยความไม่อยากเชื่อ และพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง

เขาไม่เคยเจอไทเฮาในสภาพนี้มาก่อน

ต่อให้แอบออกมา แต่ไม่เห็นต้องแต่งตัวแร้นแค้นแบบนี้เลย

เขาเกือบจำไม่ได้แล้วว่านางเป็นใคร

แต่พอไทเฮาใช้สายตาอันแข็งกร้าวมองมาที่เขา

ฮ่องเต้นึกในใจ อืม ค่อยมีมาดหน่อย

เสด็จแม่… ยังไงก็คือเสด็จแม่อยู่วันยังค่ำ!

“ข้าหนีออกมาจากภูเขาหม่าเฟิง และมาเป็นลมอยู่ข้างถนน และหลังจากนั้น ข้าก็ได้รับการช่วยเหลือ ตอนนั้นข้าความจำเสื่อม ฮ่องเต้อย่าได้ถือโทษโกรธเคืองคนพวกนั้นเลย”

นี่เป็นครั้งแรกที่จวงไทเฮายอมรับว่านางเคยเป็นโรคเรื้อน และเคยพลัดหลงอยู่ในชนบท

อันที่จริงมันเป็นสิ่งที่พวกเขารู้ดีอยู่แล้ว แต่ทั้งสองคนต้องคอยเอาแต่เล่นละครตบตาใครต่อมิใครเวลาที่อยู่ในวัง

ฮ่องเต้ยังนึกอยู่เลยว่าเขาจะเริ่มพูดเรื่องนี้ก่อน แต่กลายเป็นว่าจวงไทเฮาดันชิงพูดก่อน

ฮ่องเต้ทำท่าหัวเราะงอหาย

ในแง่ของความกล้าหาญ ต้องยอมรับว่าเขาเทียบกับไทเฮาผู้นี้ไม่ได้จริงๆ!

จวงไทเฮายังคงพูดต่อ “หากฮ่องเต้จะโทษใคร ก็จงโทษตัวเองเถอะ ที่ปล่อยให้ข้าเป็นโรคเรื้อน เรื่องทั้งหมดจึงเกิดขึ้น”

เป็นอีกครั้งที่นางพูดออกมาตรงๆ

ฮ่องเต้กำหมัดด้วยความลำบากใจ

“แล้วเสด็จแม่ล่ะ” เขาหัวเราะ “ไม่เคยคิดถึงชีวิตของข้าเลยหรือ”

เวลาที่อยู่ในวังเขาจะเรียกแทนตัวเองว่าลูกชายเสมอ

คิดหรือว่าตัวเองพูดตรงไปตรงมาอยู่ฝ่ายเดียวได้

ฮ่องเต้ทำหน้าแสยะยิ้ม พลางเอ่ย “ที่ท่านเสด็จออกจากวังแต่เช้าตรู่ ท่านเพียงต้องการแน่ใจว่าข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่ การลอบสังหารล้มเหลวเมื่อคืนนี้ ท่านผิดหวังมากใช่ไหม”

จวงไทเฮาไม่ตอบคำถามของเขา แต่กลับถามเขากลับว่า “ข้าไม่เป็นโรคเรื้อนแล้ว เจ้าคงผิดหวังมาเลยสินะ”

ฮ่องเต้หัวเราะ “แน่นอน ข้าผิดหวังอย่างยิ่งเลยล่ะ!”

“เช่นนั้น ข้าก็เหมือนกันนั่นแหละ” จวงไทเฮาเอ่ยตอบ

พูดจบ จวงไทเฮาก็เดินออกไป

“ที่แท้ก็ฝีมือของท่านสินะ!” ฮ่องเต้โกรธจนลงหมัดบนหัวเตียง

วันนี้ฉินกงกงเองก็มาด้วย เขายืนรออยู่ข้างนอกกับกู้เจียว

“ฉินกงกง นั่งก่อนสิ” กู้เจียวเอามือตบที่เก้าอี้หินอ่อน

ฉินกงกงยิ้มให้ พลางเอ่ย “ขอบใจแม่นางกู้เป็นอย่างยิ่ง ข้าน้อยขอยืนดีกว่า”

“ฉินกงกง ข้าขอถามทีว่าการลอบสังหารเมื่อคืนนี้…ยายเฒ่าเป็นคนทำจริงๆเหรอ” กู้เจียวเอ่ยถาม

เสียงทะเลาะของฮ่องเต้และไทเฮา กู้เจียวและฉินกงกงได้ยินหมดแล้ว

“ข้าน้อยเองก็ไม่ได้รู้อะไรทั้งหมด แต่ที่แน่ๆ… ไม่น่าจะใช่ฝีมือของไทเฮานะขอรับ”

“เพราะอะไรรึ” กู้เจียวหันหน้าไปทางฉินกงกง บอกเป็นนัยว่าให้เขาเล่าต่อ

ฉินกงกงลังเลอยู่นานสองนาน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเล่าให้แม่นางกู้ฟัง

เขาถอนหายใจหนึ่งที ก่อนจะเล่าเรื่อง “ไทเฮาเคยสัญญากับองค์หญิงหนิงอันไว้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต้องไว้ชีวิตฝ่าบาทให้ได้ ต่อให้ไทเฮาจะกลั่นแกล้งหรือทรมานฝ่าบาทด้วยสารพัดวิธี แต่ไม่มีทางที่พระองค์จะลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทได้”

จี้จิ่วอาวุโสที่ถูกต้อนออกมาก็เดินออกไป ไม่ได้อยู่ฟังเรื่องที่กู้เจียวและฉินกงกงกำลังคุยกัน

แต่ตัวเขาเองรู้ดีว่าเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ใช่ฝีมือของจวงไทเฮาอย่างแน่นอน

ไม่ใช่ว่าเขารู้ข้อตกลงระหว่างจวงไทเฮากับองค์หญิงหนิงอัน แต่เขารู้เกี่ยวกับวิธีการของจวงไทเฮา หากเป็นฝีมือของจวงไทเฮาจริงๆ ละก็ป่านนี้ฮ่องเต้คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม คนนั้นๆ จะต้องเป็นคนใกล้ชิดกับฝ่าบาทอย่างแน่นอน ถึงได้รู้ความเคลื่อนไหวละเอียดเช่นนี้

ขณะที่จี้จิ่วอาวุโสกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่นั้น ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ว่าจะเดินเข้าไปขอขมาและขอบคุณจวงไทเฮา

คำขอโทษเป็นเพราะความเลินเล่อของเขาซึ่งเปิดโปงความสัมพันธ์ที่เข้าใจผิดระหว่างภรรยาและลูกชายซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ที่เย็นชาอยู่แล้วระหว่างจวงไทเฮาและฝ่าบาทนั้นแย่ลงไปยิ่งกว่าเดิม

และขอบคุณที่พระองค์ช่วยพูดแทนเขา

ไม่ว่าฝ่าบาทจะเชื่อหรือไม่ อย่างน้อยเขาก็ไม่กลัวอะไรแล้ว

แน่นอนว่าเขายังมีใจจงรักภักดีกับฝ่าบาทอยู่

เขาไม่มีทางหันหลังให้ฝ่าบาทเพื่อจวงไทเฮาอย่างแน่นอน

แต่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่งนี่นา

ไม่ได้กระทบกับการที่เขาจะขอโทษและขอบคุณจวงไทเฮาสักหน่อย

โดนเข้าใจผิดขนาดนี้ นางคงมีสะเทือนใจบ้างแหละ เพราะครั้งหนึ่งฝ่าบาทก็เคยเป็นคนที่พระองค์เอ็นดูมากที่สุด

พอคิดได้เช่นนี้ เขาจึงเริ่มอยากจะไปปลอบขวัญจวงไทเฮาเสียแล้ว

จวงไทเฮาเดินไปที่เรือนตระกูลจ้าว

จี้จิ่วอาวุโสบอกกับตัวเองอย่างดีว่า พอเจอหน้าจวงไทเฮาแล้วจะเข้าไปปลอบโยน แต่จะไม่พูดมากไป เพราะเกรงว่ายิ่งพูดเยอะจะยิ่งทำให้พระองค์เจ็บช้ำน้ำใจ

จี้จิ่วอาวุโสเดินเข้าไปในเรือนของตระกูลจ้าว

แต่สิ่งที่เขาได้เห็นนั้น กลับกลายเป็นว่า

“สองเด้ง!”

จวงไทเฮากำลังนั่งยกขาเล่นไพ่นกกระจอก!

ความเศร้าและความคับแค้นใจบนใบหน้าของนางเมื่อครู่นี้ไปไหนหมดแล้ว!

จี้จิ่วอาวุโสเริ่มกระตุกมุมปาก!

ทำไมเขาถึงคิดว่าพระองค์จะต้องเสียใจด้วยนะ

สตรีคนนี้ รู้จักคำว่าเสียใจบ้างไหมนั่น

จวงไทเฮาทำมือล้างไพ่ พลางตะโกน “แพ้แล้ว แพ้แล้ว! เอาเงินมา!”

จี้จิ่วอาวุโส “…”

บาดแผลของฮ่องเต้มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเขาต้องพักฟื้นอยู่ที่นี่ไปก่อน

ฮ่องเต้ต้องการพบเว่ยกงกง และกู้เจียวก็ได้แจ้งให้กู้ฉังชิงทราบ

กู้ฉังชิงพบเว่ยกงกงนอนเป็นลมอยู่ในท่อระบายน้ำ

ปรากฏว่า เว่ยกงกงพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อตามหาฮ่องเต้เมื่อคืนนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าฝาท่อระบายน้ำพลิกคว่ำ และเขาก็พลาดเหยียบลงไปทำให้ร่างของเขาพลัดตกไปอยู่ในท่อระบายน้ำ

อาการของเขาก็หนักไม่แพ้กัน

ในเมื่อตอนนี้ความแตกแล้ว กู้เจียวเลยให้เว่ยกงกงพักที่เรือนข้างๆ ไปก่อน

พอตอนกลางวัน จวงไทเฮาไม่ได้กลับวังแต่อย่างใด แต่อยู่ทานข้าวที่เรือน

วันนี้จิ้งคงไม่ได้กลับมากินข้าวที่เรือน ส่วนแม่นางเหยาและแม่นมฝางขึ้นไปไหว้พระ ที่เรือนจึงเหลือแต่กู้เจียว จวงไทเฮา กู้ฉังชิง ฮ่องเต้ และจี้จิ่วอาวุโส

แผลของฮ่องเต้มีเพียงจุดเดียวที่น่าเป็นห่วง ที่เหลือเป็นแผลเล็กๆ อย่างน้อยพระองค์ยังสามารถนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะได้

เพียงแต่ บรรยากาศนั้นชวนอึดอัดยิ่งนัก

ฮ่องเต้ทำเสียงแข็ง “ยืนอยู่ทำไมกัน นั่งลงสิ คิดว่าข้าใจร้ายถึงขนาดไม่ยอมให้พวกเจ้ากินข้าวกันเลยหรือไร”

จี้จิ่วอาวุโสพอได้ยินดังนั้นจึงยอมนั่งลง

กู้ฉังชิงเองก็ด้วย

กู้เจียวหยิบน้ำแกงข้าวโพดออกจากเตา ก่อนจะเริ่มตักให้ทุกคน

พอตักให้ทุกคนจนเหลือชามสุดท้าย จู่ๆ กู้เจียวรู้สึกถึงสายตาอำหิตจากใครบางคน

พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นฮ่องเต้และยายเฒ่ากำลังจ้องมาที่… ชามน้ำแกงข้าวโพดของตัวเอง!

กู้เจียว ‘เอ่อ…’