บทที่ 308 แย่งความสนใจจากเจียวเจียว

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 308 แย่งความสนใจจากเจียวเจียว

ตามธรรมเนียมเดิม กู้เจียวจะต้องยกถ้วยน้ำแกงถ้วยแรกให้จี้จิ่วอาวุโสก่อนเป็นอันดับแรก เพราะปกติเขาเป็นคนเข้าครัวทำอาหารให้ทุกคน

แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ หากกู้เจียวริอาจยกน้ำแกงถ้วยนี้ให้จี้จิ่วก่อนละก็ มีหวังจี้จิ่วได้หัวหลุดจากบ่าเป็นแน่

จี้จิ่วอาวุโสเองก็ลำบากใจไม่น้อย เพราะกลัวว่ากู้เจียวจะยื่นน้ำแกงให้ตนเสียก่อน หากเป็นเช่นนั้น ตำแหน่งอาวุโสในเรือนของเขาเกรงว่าจะอยู่ยงคงกระพันไม่นาน และอาจโดนฝ่าบาทถลกหนังเอาได้!

กู้เจียววางกระชอนลง ก่อนจะเลื่อนชามน้ำแกงไปทางหญิงชรา

ฮ่องเต้เริ่มส่งสายตาไม่พอใจ!

กู้เจียวหยุดมือลง ลังเลอยู่พัก ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนทิศชามน้ำแกงไปทางฮ่องเต้แทน

คราวนี้หญิงชราเริ่มชักสีหน้า!

ถ้าจะเลื่อนไปให้กู้ฉังชิงแทนยิ่งแล้วใหญ่ สุดท้าย กู้เจียวคว้าถ้วยน้ำแกงนั้นมาซดเองเสียเลย

ฮ่องเต้และหญิงชราถอนหายใจหนึ่งที ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารของตัวเอง

อย่างไรเสีย อาหารมื้อนี้ก็เป็นฝีมือของจี้จิ่วอาวุโส ด้วยความที่อวี้หยาร์ทำกับข้าวไม่เก่ง แต่กระนั้น การทำรสชาติให้ถูกพระโอษฐ์ฝ่าบาทได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

คราวนี้จี้จิ่วลงมือทำกับข้าวห้าอย่างและน้ำแกงอีกหนึ่งอย่าง หลักๆ แล้วเขาทำอาหารตามรสชาติที่กู้เจียวและหญิงชราทาน ส่วนกู้ฉังชิงกับฮ่องเต้นั้นเขาไม่รู้ว่าพวกเขาชอบรสชาติแบบไหน

โชคดีที่กู้ฉังชิงเป็นคนกินอะไรก็ได้ไม่เลือกเยอะ อีกทั้งรสพระโอษฐ์ของฮ่องเต้และพระพันปีหลวงมีความใกล้เคียงกัน

จวงไทเฮาเป็นคนติดเสวยรสชาติหวาน อย่างเช่นไก่เป็ดผัดหวาน จี้จิ่วอาวุโสต้องเติมน้ำตาลที่สกัดจากต้นอ่อนข้าวสาลี จากนั้นโรยด้วยงาขาว ให้มีรสขาติเค็มๆ หวานๆ ไม่เลี่ยนจนเกินไป

แน่นอนว่าอาหารจานนั้นเป็นที่โปรดปรานของไทเฮาและฮ่องเต้ ส่วนกู้ฉังชิงกับกู้เจียวได้กินไปแค่ไม่กี่คำเท่านั้น

อีกจานโปรดของไทเฮาก็คือขนมสือปา ปกติจี้จิ่วอาวุโสจะทำไว้สองจาน จานหนึ่งโรยงา สำหรับหญิงชรา ส่วนอีกจานหนึ่งไม่โรยงาสำหรับกู้เจียว

ฮ่องเต้เลือกกินแต่สือปาจานที่โรยงาขาว ดูเหมือนฝ่าบาทเองก็ชอบงาเช่นกัน

ปกติแล้วฮ่องเต้มักจะเสวยอาหารคนเดียวเป็นปกติ นานๆ ครั้งจะได้มีโอกาสไปกินข้าวที่วังหลัง และหากถามว่าครั้งสุดท้ายที่พระองค์ร่วมโต๊ะกับจวงไทเฮาละก็ คงจะเป็นตอนที่องค์หญิงหนิงอันและจิ้งไท่เฟยยังพำนักอยู่ที่วัง

ตอนนั้น พระองค์ยังไม่บาดหมางกับจวงไทเฮา มองไทเฮาเสมือนเป็นมารดาคนที่สอง

ทั้งสองพระองค์ต่างมีเบื้องลึกเบื้องหลังอันน่าสะพรึงกลัวกันทั้งคู่

พอหลังจากไทเฮาทรงดันฝ่าบาทให้ขึ้นเป็นจักรพรรดิได้แล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ก็เริ่มมีรอยร้าว เริ่มประพฤติตนเย็นชาแข็งกร้าวราวกับคนไม่เคยมีเยื่อใยต่อกัน

นอกจากนี้จวงไทเฮายังเล่นงานจิ้งเฟยเพียงเพราะกลัวว่าจิ้งเฟยจะขึ้นมาคานอำนาจของจวงไทเฮา

ในเมื่อฝ่าบาทได้รับการอุปการะภายในนามของจิ้งเฟยแล้ว เขาเป็นบุตรชายของจิ้งเฟยโดยชอบธรรม แล้วเหตุใดจิ้งเฟยจะขึ้นมาเป็นพระพันปีมิได้ล่ะ

จุดที่น่าขันที่สุด ก็คือขนาดจิ้งเฟยโดยจวงไทเฮาบีบบังคับจนต้องไปกบดานสำนักชีแล้ว จิ้งเฟยยังคงพูดปกป้องจวงไทเฮาอยู่เลย

บอกว่าที่จวงไทเฮาทำไปก็เพื่อแคว้น เพื่อส่วนรวม ซ้ำยังบอกให้ฝ่าบาทอย่าได้ถือโทษโกรธเคืองพระพันปี

ไหนยังจะบอกอีกว่าวันหนึ่งฝ่าบาทจะทรงเข้าใจหัวอกของพระพันปีหลวง

เหอะ

หัวอกบ้าบออะไร

มีอยู่ปีหนึ่งที่เมืองหลวงมีพายุหิมะถล่ม จิ้งเฟยเกือบจะสิ้นใจเพราะอาการป่วยที่เกิดจากอากาศหนาว ตัวเขาเองที่เป็นถึงจักรพรรดิแห่งแคว้น ต้องมานั่งคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักเหรินโซ่วท่ามกลางพายุหิมะ เพื่อขอให้ไทเฮาทรงรับจิ้งเฟยกลับมาพำนักที่วัง!

แต่ไทเฮากลับไม่ยอมรับฟัง!

กระนั้น เขายังคงคุกเข่าอ้อนวอนขอให้ไทเฮาโปรดนำดอกบัวเทียนซานไปถวายให้จิ้งเฟยเพื่อต่อลมหายใจของนาง ก็ยังไม่ยอมรับฟัง

เห็นๆ กันอยู่ว่าไทเฮาเพิกเฉยที่จะช่วยเหลือจิ้งเฟย!

สงสัยจะลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งตอนที่ตระกูลหลิ่วรวมตัวกันขับไล่ไทเฮา จิ้งเฟยได้เคยออกตัวช่วยนางไว้!

ซ้ำยังลืมด้วยว่าตอนที่จักรพรรดิคนก่อนผู้ล่วงลับทิ้งพินัยกรรมสั่งเสียให้กำจัดไทเฮาไว้อย่างไร จิ้งเฟยได้ลงทุนช่วยขโมยพินัยกรรมนั้นและเผามันโดยไม่กลัวตายอย่างไร!

ไทเฮาคือคนไร้หัวใจ!

นี่สินะ ที่เขาเรียกว่าทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป!

“ฝ่าบาท”

กู้เจียวเอ่ยเรียกเขาหนึ่งที

กู้เจียวเอ่ยทักเพื่อเรียกสติของฮ่องเต้ที่กำลังเหม่อลอยถึงเรื่องในอดีตให้กลับมา ฮ่องเต้ไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองใช้ตะเกียบคีบสือปาที่จวงไทเฮาคีบไปแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่

มันคือสือปาโรยงาชิ้นสุดท้าย

ฮ่องเต้ไม่มีท่าทีลังเลอย่างใด

ต่อให้เขาจงเกลียดจงชังไทเฮามากแค่ไหน แต่เขาไม่แย่งอาหารกับคนอย่างไทเฮาอยู่แล้ว หากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไปเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน

เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้จงใจทำท่าทางไร้เดียงสาแบบนั้น ฮ่องเต้จึงกระแอมแก้เขินเบาๆ ก่อนจะทรงตรัสด้วยท่าทางจริงจัง “เดิมเราว่าจะให้เกียรติไทเฮาได้เสวยมัน แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะทรงชิงคีบก่อนเสียอย่างนั้น”

ทุกคน “…”

เห็นได้ชัดว่าไทเฮาคีบมันขึ้นมาก่อน ฝ่าบาททรงคิดว่าพวกเราตาบอดหรืออย่างไร

แน่นอนว่าคนอย่างไทเฮาไม่เกรงใจกับเรื่องของกินอยู่แล้ว นางจึงคีบสือปาเข้าปากอย่างไม่สนใจใคร

สำหรับไทเฮาแล้วเรื่องกินเรื่องใหญ่ นางไม่มีทางมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นี้อยู่แล้ว

ส่วนฮ่องเต้ที่พอเห็นปฏิกิริยาที่เมินเฉยไม่สนโลกของจวงไทเฮาก็ยิ่งทรงกริ้วจนเสวยอาหารต่อไม่ลง!

หลังจากทานข้าวกันเสร็จ กู้ฉังชิงอาสาช่วยพยุงฮ่องเต้กลับไปที่ห้อง

ฮ่องเต้บรรทมบนเตียงที่ไม่กว้างเกินไป เขาไม่ชอบเตียงแข็งๆ แต่ก็ไม่ชอบเตียงที่นุ่มเกินไปเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าห้องนี้จะมีขนาดเล็กและตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่ก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจและปลอดภัยอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับว่าของตกแต่งทุกชิ้นถูกวางไว้ในที่ที่เขาต้องการ

ไม่มีใครรู้ว่าเขามีอาการกลัวความมืด

เวลานอนพระองค์จะต้องจุดตะเกียงไว้ข้างเตียงทุกครั้ง และตรงที่โต๊ะข้างเตียงไม่ใกล้ไม่ไกล มีกล่องเล็กอยู่กล่องหนึ่งซึ่งบรรจุเทียนหนึ่งเล่มและไม้ขีดไฟ

เทียนนั้นยังอยู่ในสภาพใหม่เอี่ยม นั่นหมายความว่ามันยังไม่ถูกใช้

เขาจำได้ว่าตอนที่เขายังเป็นเด็ก จิ้งเฟยมักจะวางเทียนและไม้ขีดไฟไว้ข้างเตียงเสมอ และเขาไม่คาดคิดว่ากู้เจียวจะเอาใจใส่ขนาดนี้

ในความเป็นจริงมีกฎที่เข้มงวดในวังคือห้ามวางเชื้อเพลิงไว้ในห้องบรรทม

แต่จิ้งเฟยรู้ดีว่าฝ่าบาททรงกลัวความมืด

พอนึกถึงจิ้งไท่เฟย พระเนตรของฝ่าบาทก็เริ่มรื้น

พลางนึกในใจ เขาต้องรีบกำจัดยายเฒ่างูพิษนี่ให้เร็วที่สุด จึงจะสามารถพาจิ้งไท่เฟยกลับวังได้

กู้ฉังชิงต้องมาพำนักที่ตรอกปี้สุ่ยเพื่อคุ้มกันฮ่องเต้

แขนซ้ายของเว่ยกงกงหัก กู้เจียวจึงดามเฝือกให้ และจัดยาที่ช่วยเพิ่มลมปราณและการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้นเพื่อให้เขากลับมาแข็งแรงในเร็ววัน

กู้เจียวตัดสินใจไปที่โรงหมอ

ในตอนนั้นเอง นางก็บังเอิญเจอกับกู้เฉิงเฟิง

เขาแต่งกายด้วยชุดคุณชายรองประจำตระกูลกู้ แต่กลับใส่หน้ากากแม้จะเป็นตอนกลางวันแสกๆ

กู้เจียวมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ “หืม เป็นอะไรไป เสียโฉมรึ”

กู้เฉิงเฟิงถอนหายใจ

พลางคิด ก็ใช่น่ะสิ หน้าบวมขนาดนี้ใครจะกล้าเปิดหน้ากันเล่า!

กู้เฉิงเฟิงกระแอมในลำคอหนึ่งที ก่อนทำท่าเคร่งขรึม “เจ้าไม่ต้องมาสนใจหน้าข้าหรอก วันนี้ข้ามีเรื่องมาคุยกับเจ้า”

“เรื่องอันใดรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม

กู้เฉิงเฟิงมองรอบๆ ก่อนจะเข้าไปกระซิบกับกู้เจียว “มีคนต้องการลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท”

กู้เจียวเอ่ยตอบ “ไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ คนพวกนั้นลงมือไปแล้วต่างหาก”

กู้เฉิงเฟิงแสดงสีหน้าตกตะลึง “ฮะ ว่ายังไงนะ ละ… ลง ลงมือแล้วหรือ เร็วปานนั้นเชียว ข้าเพิ่งได้ข่าวมาเมื่อวานนี้เองนะ!”

“เจ้าไปได้ยินจากที่ไหนมา” กู้เจียวเอ่ยถาม

กู้เฉิงเฟิงตอบ “ก็ที่หอเซียนเล่ออย่างไรเล่า”

กู้เจียวทำหน้าอึ้งชะงัก “เจ้าไปหอเซียนเล่อมาแล้วรึ ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นไปยากมากเลยนะ”

กู้ฉังชิงเคยกล่าวไว้ว่าการจะเข้าไปที่นั่นได้ต้องใช้เส้นสาย น่าเสียดายที่สุภาพบุรุษอย่างกู้ฉังชิงไม่รู้จักคนข้างในนั้น จึงยากที่จะเข้าถึง

กู้เฉิงเฟิงโบกมือปัด “ข้าก็แอบเข้าไปน่ะสิ เกือบถูกจับได้แหน่ะ เลยบังเอิญไปได้ยินเรื่องนี้เข้า แต่คาดไม่ถึงเลยว่าพวกมันจะลงมือกันเร็วขนาดนั้น ตอนบ่ายยังวางแผนกันอยู่เลย ตกกลางคืนก็เริ่มลงมือกันแล้วรึ…มิน่าล่ะทำไมเช้านี้ข้าไม่เห็นฝ่าบาทที่ราชสำนักเลย”

เดิมกู้เฉิงเฟิงกะว่าจะไปสืบข้อมูลที่หอเซียนเล่ออีกรอบ เพื่อยืนยันว่ามีคนวางแผนจะลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทจริงๆ

เขาแตกต่างจากพี่ชายของเขา เขาไม่มีความภักดีของข้าราชบริพารที่จงรักภักดีต่อฝ่าบาท หรือความจงรักภักดีของลูกที่ปกป้องครอบครัวและแผ่นดิน

แต่ไม่ว่าเขาจะเกียจคร้านเพียงใด เขาก็เข้าใจว่าจวนติ้งอันโหวและฝ่าบาทนั่งเรือลำเดียวกัน ดังนั้นในใจของเขา เขาไม่ต้องการเห็นพระองค์เป็นอะไรไป

กู้เจียวถามเขาต่อ “ที่วันนี้เจ้ามาหาข้าก็เพื่อพูดเรื่องนี้อย่างนั้นรึ”

“ข้าว่าจะ…เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิ” กู้เฉิงเฟิงรู้ทันทีว่าเขากำลังถูกสตรีคนนี้จูงจมูก จึงเอ่ยถามย้อน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ ข้าไม่เห็นรู้ข่าวเลย!”

การลอบปลงพระชนม์พระองค์เป็นเหตุการณ์สำคัญ จึงไม่แปลกที่วังจะปิดข่าว แต่เขามีวิธีของเขาเอง เขาไม่เชื่อว่าสตรีคนนี้จะได้ข่าวเร็วกว่าเขา

กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบ “อ๋อ ข้าเป็นคนช่วยฝ่าบาทไว้น่ะ”

กู้เฉิงเฟิง “…”

อย่างนี้ก็มีด้วย!

ภายใต้หน้ากากนั้น คือใบหน้าที่ตกใจสุดขีดของกู้เฉิงเฟิง เสียดายที่กู้เจียวมองไม่เห็น

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าไปก่อนนะ” กู้เจียวไม่อยากอยู่เสวนาต่อให้เสียเวลา

กู้เฉิงเฟิงกัดฟัน ครั้นกำลังนึกว่าจะพูดอะไรต่อ แต่จู่ๆ ก็รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นโอ้อวดเสียอย่างนั้น “ข้าว่าจะมาส่งข่าวสำคัญให้เจ้าซักหน่อย! เจ้าอยากรู้เรื่องคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องพี่ใหญ่กับกู้เหยี่ยนมาตลอดมิใช่รึ”

“เจ้ารู้รึ” กู้เจียวหันไปถามเขา

“ดูสิ ว่านี่คืออะไร” กู้เฉิงเฟิงยืนตราที่อยู่ในมือให้ดู

“มันคืออะไร” กู้เจียวทำหน้างง

“นี่น่ะ เป็นตราของหอเซียนเล่อ ไม่ว่าจะเป็นฆาตกรที่ไปที่ค่ายทหารเพื่อลอบสังหารพี่ชายของข้าในคืนนั้น หรือนักฆ่าที่เกือบจะปลงพระชนม์พระองค์เมื่อคืนนี้ พวกเขาล้วนเกี่ยวข้องกับหอเซียนเล่อ ตราบใดที่เจ้าเข้าไปที่นั่นได้ เจ้าก็สามารถสืบหาข่าวของคนพวกนั้นได้”

กู้เจียวยื่นมือออกไปกะว่าจะคว้าตรานั้นมาดู

กู้เฉิงเฟิงที่รู้ทันก็รีบชักมือกลับ ก่อนจะแบมืออีกข้างแล้วยื่นให้คนตรงหน้า “พันตำลึง ต่อไม่ได้แล้ว!”

กู้เจียวเอามือลูบคาง

กู้เฉิงเฟิงถอยหลังหนึ่งก้าวและเอ่ย “เจ้าอย่าพยายามแย่งมันจากข้าเลย! ถ้าเจ้าเล่นตุกติก ข้าจะทำลายตรานี่เสีย เพื่อไม่ให้เจ้าไปที่หอเซียนเล่ออีก! มันมีแค่ชิ้นเดียวเท่านั้นแหละ ล้มเลิกความคิดที่จะไปหามันมาอีกได้เลย ข้าน่ะนะต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้ตรานี้มา! ที่นั่นน่ะเข้าถึงยากเสียยิ่งกว่าจวนของแม่ทัพใหญ่เสียอีก!”

ท่าทางของกู้เฉิงเฟิงเริ่มจริงจังหนักแน่นขึ้น อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาเขาเคยโดนกู้เจียวหลอกใช้งานมาแล้วนักต่อนัก คราวนี้ล่ะถึงเวลาเอาคืนบ้างแล้ว!

“ก็ได้ พันตำลึงก็พันตำลึง” กู้เจียวรับปาก

เดี๋ยวก่อนนะ ง่ายขนาดนี้เลยหรือ อำกันเล่นรึเปล่า

กู้เฉิงเฟิงมองไปที่กู้เจียวอย่างสงสัย เขาถูกข่มเหงมามากจนเขารู้สึกว่ามันไม่น่าจะง่ายขนาดนั้น!

กู้เจียวเอ่ยต่อ “ข้าไม่ได้พกเงินเยอะ ติดไว้ก่อนได้ไหม”

“ไม่ได้! ข้าต้องได้เงินก่อนเจ้าถึงจะได้ของ!”

กู้เจียวแบมือ “ก็ข้าไม่มีนี่นา”

คิดจะเล่นตุกติกเรอะ

หึ หึ หึ

“ข้ารู้อยู้แล้วว่าเจ้าจะเล่นตุกติก อะ เอาไป และเจ้าต้องร่างสัญญาด้วย! แล้วข้าจะทวงกับพวกโรงหมอเจ้า!”

กู้เจียวเม้มริมฝีปาก มองเขาอย่างขุ่นเคือง หยิบปากกาและกระดาษแล้วเขียนใบสัญญาขึ้น

“จ่ายเงิน!” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยเตือน พลางนึก นี่นางแกล้งเขียนตัวหนังสือไม่เป็นรึไง แค่คำว่าจ่ายเงินยังเขียนไม่เป็นเลย

พอเขียนเสร็จ จากนั้นกู้เจียวหยิบตราประทับออกมาอย่างไม่เต็มใจ ดึงฝาครอบตราออก ก่อนจะถอนหายใจและกดตราประทับลงกระดาษ “แบบนี้ได้หรือยัง”

กู้เฉิงเฟิงรับใบสัญญามาด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะยื่นตราของหอเซียนเล่อให้กู้เจียว

กู้เฉิงเฟิงรู้จักนิสัยนางดี คำพูดปากเปล่าของกู้เจียวนั้นเชื่อไม่ได้ ต่อให้วันนี้นางมีเงินจ่ายเขา แต่จู่ๆ นางอาจจะลุกขึ้นมาทำร้ายเขาและเชิดเงินกับตรานั้นไปก็เป็นได้

“แล้วเจอกันนะ! ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” กู้เฉิงเฟิงเดินแกว่งแขนออกไปอย่างสบายใจเฉิบ!

กู้เฉิงเฟิงวิ่งไปตามถนนสองสายในอึดใจเดียว และหลังจากดูแน่ใจว่ากู้เจียวตามไม่ทัน เขาก็พิงกำแพงและหอบหายใจและหยิบร่างสัญญาที่กู้เจียวมอบให้เขาออกมา

“นางบ้าเอ๊ย ในที่สุดก็มีวันที่เจ้าเสร็จข้าบ้างแล้วสินะ!”

เขาอ่านร่างสัญญานั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เขาสังเกตเห็นว่าตราประทับอยู่ในลักษณะคว่ำลง เขาอ่านออกแค่คำว่า ‘กู้’

แต่พอตอนนี้

เขาลองยกกระดาษขึ้นฟ้าเพื่อให้เห็นชัดขึ้น

จึงเห็นว่าตราประทับนั้นมีคำอยู่ 4 คำ ‘ลงนาม กู้ ฉัง ชิง’

กู้เฉิงเฟิงแทบจะสำลักเลือดตัวเองออกมา

อุตส่าห์รอตั้งนาน สุดท้ายกลายเป็นตราประทับของพี่ใหญ่หรือนี่

จะว่าไปแล้ว เหตุใดนางตัวแสบถึงได้มีตราประทับของพี่ใหญ่ได้ล่ะ!

หากพี่ใหญ่รู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็มีหวังเขาได้กลายเป็นปุ๋ยแน่ๆ !

จู่ๆ สายตาอันเจ้าเล่ห์ของกู้เจียวก็แวบเข้ามาในหัวของกู้เฉิงเฟิง

นี่เขาหลงกลนางอีกแล้วหรือนี่ เดี๋ยวนี้นางชักจะเล่นละครตบตาเก่งใหญ่แล้วนะ!

กู้เฉิงเฟิงได้แต่โมโห! และโมโห! อ๊ากกก!

กู้เจียวกลับไปที่ตรอกปี้สุ่ย เอายาฝากให้อวี้หยาเอ๋อร์ช่วยไปส่งให้เว่ยกงกง ก่อนตัวเองจะเปลี่ยนชุดแล้วมุ่งหน้าไปที่หอเซียนเล่อ

แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานเพียงพอ แต่สัญชาตญาณของกู้เจียวบอกว่าบุคคลที่จงใจปลงพระชนม์พระองค์มาจากกองกำลังเดียวกันกับผู้ที่ยั่วยุจวนติ้งอันโหวและจวนของจอมพลเมื่อไม่กี่วันก่อน

เป้าหมายของอีกฝ่ายที่จงใจปลุกปั่นจวนติ้งอันโหวและจวนของจอมพลหยวนไซว่ จุดประสงค์แท้จริงแล้วคือการยุแยงตะแคงรั่วให้ฝ่าบาทและจวงไทเฮา

เพียงแต่ว่า พวกนั้นดันล้มเหลวโดยไม่คาดคิด ดังนั้น พวกเขาจึงวางแผนเพื่อลอบสังหารจักรพรรดิอีกครั้ง

และแน่นอนว่า พวกนั้นทำให้ฝ่าบาทคิดว่านี่เป็นฝีมือของจวงไทเฮาได้สำเร็จ

“เจ้าเล่ห์นักนะ”

กู้เจียวเอ่ยกับตัวเองเบาๆ พลางมองไปที่ตราหอเซียนเล่อด้วยสายตาอำมหิต!