บทที่ 309 คนร้าย

หอเซียนเล่อคือสถานที่อโคจรที่เปลี่ยนแปลงไวที่สุดในเมืองหลวง แทบไม่เหลือเค้าเดิมของหอหยกอ่อน นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าในหอเซียนเล่อนั้นเต็มไปด้วยสาวงามมากพรสวรรค์ ที่หอเซียนเล่อยังมีรูปแบบการค้าที่ไม่เหมือนใคร กระตุ้นความอยากกระหายของผู้มั่งคั่งและมีอำนาจในเมืองหลวงได้มากทีเดียว

กู้เจียวหยุดยืนอยู่หน้าหอเซียนเล่อ

ผู้เฝ้าประตูเป็นสตรีนางหนึ่ง พอนางเห็นตราของกู้เจียว ก็เปิดทางให้กู้เจียวเดินเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เจียวมาเยือนหอนางโลมเช่นนี้ ช่างเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ดีแท้

ที่แห่งนี้ไม่เหมือนที่เคยจินตนาการไว้เลยแม้แต่นิด ไม่มีความมึนเมา คล้องแขนดื่มเหล้าเอย หรือแม้แต่เพลงอันครึกครื้นชวนเต้นระบำ แต่ที่นี่กลับใช้เครื่องดนตรีที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่ ซึ่งให้เสียงที่มีความใกล้เคียงกับเสียงจากธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง

พอเดินเข้ามาถึงบริเวณที่เป็นห้องโถงใหญ่ ก็พบว่ามีหญิงสาวเดินฉวัดเฉวียนไปมาอยู่บ้าง

กู้เจียวลองสังเกตหน้าตาของพวกนาง อืม สวยเหมือนนางฟ้าอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ

ทันใดนั้น จู่ๆ มีดอกไห่ถังตกลงมาบนไหล่ของกู้เจียว

กู้เจียวไม่ได้ยื่นมือรับไว้แต่อย่างใด และปล่อยให้ดอกไม้นั้นร่วงลงพื้นไป

จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นมาจากบริเวณชั้นสอง “ท่านชายรังเกียจข้ารึ ถึงได้ปฏิเสธดอกไม้ของข้า”

พอกู้เจียวได้ยินประโยคเมื่อครู่นี้ก็เริ่มรู้สึกถึงความเป็นหอนางโลมของที่นี่ขึ้นมาได้บ้าง

กู้เจียวที่สวมหน้ากากครึ่งหน้าเงยหน้าขึ้นไปทางต้นเสียง หน้ากากนั้นปกปิดได้เพียงแค่ใบหน้าครึ่งบน แต่มิอาจปิดแก้มและคางอันเรียวยาวรวมถึงสายตาอันเย็นชาคู่นั้นของนางไปได้

“อ้าว” นางโลมที่อยู่ชั้นสองพอเห็นกู้เจียวก็อุทานออกมา

กู้เจียวเป็นคนมีรูปร่างสูงโปร่งเมื่อเทียบกับสตรีคนอื่นๆ อีกทั้งนางยังเป็นคนมีหุ่นกำยำเหมือนนักกีฬา ดูเผินๆ ไม่ต่างอะไรกับเด็กผู้ชาย

เสียงอุทานของนางโลมดึงดูดเพื่อนนางโลมอีกหลายคน และพวกเขาทั้งหมดยืนอยู่บนราวบันไดบนชั้นสองเพื่อมาดูกู้เจียว

“ท่านชายน้อย มองข้าหน่อยสิ”

บางคนโบกผ้าเช็ดหน้าให้กู้เจียว

กู้เจียวแม้จะไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับหอนางโลมแต่ก็พอจะเคยได้ยินมาบ้าง

แน่นอนว่ากู้เจียวไม่สนใจพวกนางอยู่แล้ว

ส่วนเหล่านางโลมที่ยืนเกี้ยวกู้เจียวอยู่นานสองนานแต่ไม่เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีโต้ตอบจึงอดไม่ได้ที่จะบ่นระบายออกมา

“ซวยจริงๆ !”

“นั่นสิ ขนาดสวยๆ อย่างท่านพี่เหลียนเซียงเขายังไม่สนใจเลย ไม่รู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่”

เหลียนเซียงที่ว่าก็คือนางโลมที่โยนดอกไม้ให้กู้เจียวนั่นเอง

“หรือว่าเขาจะมาหาท่านพี่เชียนเสวี่ยกันนะ”

“เหอะ อย่างท่านพี่เชียนเสวี่ยน่ะหรือจะยอมพบเขา”

“ใครจะมาพบข้างั้นรึ”

เสียงเอื่อยเฉื่อยและอ่อนโยนดังขึ้นจากสุดทางเดิน

“ท่านพี่เชียนเสวี่ย!” เหล่านางโลมพอได้ยินก็รีบหันไปโค้งตัวให้เจ้าของเสียง

สตรีที่ถูกเรียกว่าท่านพี่ผู้นี้แท้จริงอายุเพียงสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีเท่านั้น ซ้ำยังอายุน้อยกว่าเหล่านางโลมที่ทำความเคารพให้นางเสียอีก แต่หอเซียนเล่อคือสถานที่ที่ไม่จัดอันดับความอาวุโสตามอายุอยู่แล้ว

“พวกเจ้าดูอะไรกันอยู่รึ”

หญิงนามเชียนเสวี่ยสวมชุดกระโปรงสีขาวล้วนคลุมด้วยผ้าโปร่งสีเหลืองสดใส พร้อมกับผ้าคลุมหน้าสีเดียวกัน แลดูสง่างาม และดึงดูดสายตาผู้คนยิ่งนัก

ต่อให้เป็นผู้หญิงด้วยกันยังอดมองไม่ได้เลย

หญิงนามเชียนเสวี่ยดูเหมือนจะเคยชินกับปฏิกิริยาเช่นนี้ของเหล่าสาวๆ นางโลม จึงไม่คาดหวังให้พวกเขาต้องมาให้คำตอบตัวเอง พลางหันศีรษะมองลงไปชั้นล่าง

“อ้าว”

นางเปล่งเสียงอุทานพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และกลอกตาไปด้านข้าง “ท่านชายน้อยท่านนี้ช่างดูใสซื่อยิ่งนัก พวกเจ้าพาเขาขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ข้าถูกใจเขา”

เอ่ยจบ นางก็รีบพุ่งตัวขึ้นไปที่ชั้นสาม

“นายท่านเจ้าคะ นายหญิงของพวกเราขอเรียนเชิญเจ้าค่ะ” สาวใช้ของแม่นางเชียนเสวี่ยเดินลงมาเชิญกู้เจียวขึ้นไปชั้นบน

กู้เจียวมองหางตา ก่อนจะนิ่งไป

“นี่ท่าน…” สาวใช้ตกใจกับท่าทีของกู้เจียว “ท่านรู้หรือไม่ว่านายหญิงของข้าเป็นใคร”

กู้เจียวส่งสายตาตอบกลับประมาณว่า เอ่อ แล้วใครละนั่น

สาวใช้เริ่มเท้าเอว “นายหญิงของข้าคือดอกไม้งามแห่งหอเซียนเล่อเชียวนะ! นางไม่ใช่คนที่จะพบเจอได้ง่ายๆ หรอกนะท่าน! ข้าเห็นว่านายหญิงชอบพอท่านถึงได้มาชวนท่านขึ้นไปหรอกเจ้าค่ะ!”

สาวใช้นางนี้มิได้พูดโม้แต่อย่างใด นางโลมของหอเซียนเล่อมีหน้าที่ขายความบันเทิงมิได้ขายเรือนร่างแต่อย่างใด รับแขกแค่หนึ่งคนในทุกๆ สามวันเท่านั้น

จึงไม่แปลกที่นางจะเป็นที่หมายปองของชายฉกรรจ์ทั้งหลายในเมืองหลวง

กู้เจียวทำท่าครุ่นคิดอยู่พัก ก่อนจะหันไปพยักหน้ากับสาวใช้เพื่อสื่อว่านางตบปากรับคำเชิญของดอกไม้งามแห่งหอเซียนเล่อผู้นี้

สาวใช้รู้สึกมึนงงกับท่าทีของกู้เจียว พลางคิดในใจ เหตุใดถึงรู้สึกว่าการแสดงออกของนายน้อยคนนี้ถึงได้แลดูระแวดระแวงขนาดนี้ล่ะ

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อนายหญิงต้องการพบเขา ก็ต้องทำตามหน้าที่กันไป

กู้เจียวเดินตามสาวใช้ขึ้นไปที่ชั้นสาม

กู้เจียวแทบไม่ได้สังเกตว่าแขกด้านล่างกำลังมองตนด้วยความอิจฉา

การเข้ามาที่หอเซียนเล่อได้นั้นเป็นเรื่องยากมากอยู่แล้ว กฎของที่นี่มิใช่ให้แขกเลือกนางโลม แต่เป็นนางโลมที่จะเป็นฝ่ายเลือกแขก ถ้าใครโชคดีละก็จะถูกรับขึ้นไปที่ชั้นสอง แต่ถ้าโชคร้าย อาจทำได้แค่นั่งจ๋องอยู่ตรงห้องโถงทั้งคืน

น้อยคนนักที่จะได้มีโอกาสขึ้นไปที่ชั้นสาม

แน่นอนว่ากู้เจียวไม่รู้ตัวเองว่าโชคดีแค่ไหน แต่กระนั้น กู้เจียวก็รู้สึกได้รางๆ ว่าชั้นสามนั้นเงียบเป็นพิเศษ

“นายหญิงเจ้าคะ มาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยรายงานหน้าประตูห้องห้องหนึ่ง

“เข้ามา”

เสียงของหญิงสาวดังขึ้น

สาวใช้ดันประตูออก ก่อนจะยิ้มให้กู้เจียว “เชิญเจ้าค่ะ”

กู้เจียวเดินก้าวเท้าเข้าไปในห้อง

สาวใช้ปิดประตูให้จากด้านนอก

การตกแต่งห้องดูค่อนข้างเรียบง่าย แต่อาจเป็นเพราะกู้เจียวไม่รู้จักของเก่าเท่าใดนัก แจกันใดๆ ในห้องนี้เป็นของเก่าจากราชวงศ์ก่อน

สตรีนามเชียนเสวี่ยนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พลางมองกู้เจียวผ่านกระจกแต่งหน้าที่ทำจากทองแดง

สายตาของนางราวกับสื่อสารออกมาเป็นคำพูดได้

แม้นางสวมผ้าคลุมหน้า แต่กู้เจียวก็รับรู้ได้ว่านางกำลังยิ้มอยู่

“นายท่าน นั่งลงสิเจ้าคะ” เชียนเสวี่ยเอ่ย

กู้เจียวจึงหย่อนก้นลงบนเก้าอี้

หลังจากแต่งหน้าเสร็จ เชียนเสวี่ยก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงเข้ามาที่กู้เจียว

จากนั้นนางจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ กู้เจียวโดยมีเพียงโต๊ะสี่เหลี่ยมสูงคั่นระหว่างพวกเขา

“นายท่านเพิ่งเคยมาที่หอเซียนเล่อครั้งแรกอย่างนั้นหรือ” เชียนเสวี่ยยิ้มให้กู้เจียวก่อนจะพูดเปิดประเด็น

กู้เจียวพยักหน้าให้นาง และไม่รับถ้วยชาที่เชียนเสวี่ยยื่นให้

“นายท่านกลัวข้าว่างยาพิษ หรือกลัวว่าชาของข้าไม่สะอาดพอ” เชียนเสวี่ยทำหน้าตกใจพลางเอ่ยถาม

กู้เจียวยังไม่ทันได้ตอบ แต่เชียนเสวี่ยกลับหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มทันที จากนั้นจึงเอ่ยถามกู้เจียวด้วยคิ้วขมวด “ท่านมาทำอะไรที่นี่ในหอเซียนเล่อแห่งนี้”

คำถามนี้ช่างแปลกนัก

แล้วไฉนบุรุษถึงต้องมาที่หอนางโลมด้วยล่ะ จะให้ห่มผ้านวมแล้วคุยกันเฉยๆ หรืออย่างไร

เชียนเสวี่ยวางข้อศอกลงบนโต๊ะ พลางใช้นิ้วชี้วางคางของตัวเองเบาๆ ก่อนจะทำหน้ายิ้มกริ่มแล้วเอ่ยถามกู้เจียว “ท่านแลดูเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์เกินไป มองปราดเดียวก็รู้ว่าท่านไม่ได้มาหานางโลมหรอก”

กู้เจียวเริ่มขมวดคิ้ว

พลางนึกในใจ นี่ตนเล่นละครไม่เก่งขนาดนี้เชียวถึงได้โดนจับได้เร็วขนาดนี้!

สรุปแล้วนี่คือตนหลอกแค่กู้เฉิงเฟิงเจ้าเด็กโง่นั่นได้แค่คนเดียวสินะ

ดวงตาของเชียนเสวี่ยจับจ้องที่คอของกู้เจียว

โชคยังดีที่กู้เจียวทำลูกกระเดือกปลอมไว้เพื่อความสมจริงในการปลอมตัวเป็นชาย

พอเชียนเสวี่ยสังเกตที่คอเสร็จ ก็เริ่มไล่สายตาไปเรื่อยๆ และมาหยุดอยู่ที่ดวงตาของกู้เจียว

แววตาของกู้เจียวไร้ซึ่งประกายใดๆ เพราะสายตามันหลอกกันไม่ได้อยู่แล้ว

เชียนเสวี่ยพอเห็นดังนั้น จึงเอ่ยถามอีกรอบ “หรือว่าท่านกำลังตามหาใครบางคนอยู่ ลองบอกข้ามาที คณิกานางใดเป็นญาติสนิทมิตรสหายของท่านหรือ”

กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหยิบสมุดเล่มเล็กและดินสอขึ้นและลงมือขีดๆเขียนๆ ‘ข้ากำลังตามหาสาวสวยมาอยู่เป็นเพื่อนข้า!’

เชียนเสวี่ยกระตุกมุมปาก

พลางนึก มาอยู่เป็นพ่งเป็นเพื่อนอะไรกันเล่า

กู้เจียวทำท่าร้องอ๋ออีกครั้ง ก่อนจะขีดๆ เขียนๆ ต่อ ‘ข้ากำลังตามหานางโลม!’

เชียนเสวี่ยหัวเราะ

แต่พอถึงประโยคถัดไป นางก็เริ่มหัวเราะไม่อออกเสียแล้ว

‘พานางโลมที่สวยที่สุดมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!’

เชียนเสวี่ย “ท่านกำลังจะบอกว่าข้าสวยไม่พออย่างนั้นรึ!”

กู้เจียวเขียนต่อ ‘ถ้าเจ้าคิดเช่นนั้น ก็สุดแล้วแต่เจ้า’

เชียนเสวี่ยโกรธจัดจนลืมความสงสัยที่ว่าทำไมกู้เจียวไม่พูดจาเอาแต่เขียนลงกระดาษอย่างเดียว

พลางนึกในใจ นี่ตนเป็นนางโลมอันดับหนึ่งของหอเซียนเล่อ หรือแม้กระทั่งของเมืองหลวงแห่งนี้เชียวนะ ท่านชายน้อยผู้นี้กล้ามาดูแคลนความงามของตนได้อย่างไรกัน

“ไปตรวจสายตาบ้างนะท่าน!” เชียนเสวี่ยเอ่ยด้วยความเคือง

กู้เจียวก้มหน้าก้มตาเขียนต่อ ‘สายตาของข้าไม่มีปัญหา ก็แค่รู้สึกว่าเจ้าไม่ได้ดูดีอะไรขนาดนั้น’

พลางนึกในใจ หึๆ ไม่ว่าใครก็ดูดีสู้สามีของข้าไม่ได้หรอก

เชียนเสวี่ยโกรธจัดจนถึงขั้นง้างมือเตรียมจะตบกู้เจียว

กู้เจียวรีบหลบด้วยความไว

ฝ่ามือของหญิงสาวพลั้งฟาดลงบนเก้าอี้ที่กู้เจียวเพิ่งจะลุกขึ้นมาอย่างฉิวเฉียด และแล้วเก้าอี้นั่นก็เกิดหักออกเป็นเสี่ยงๆ ในบัดดล!

กู้เจียวนึกในใจ คิดอยู่แล้วเชียวว่านางต้องเป็นคนมีวิทยายุทธ์

กู้เจียวเก็บพู่กันและสมุดบันทึกลง ก่อนจะเริ่มประมือกับเชียนเสวี่ย

ศิลปะการต่อสู้ของเชียนเสวี่ยนั้นเหนือความคาดหมายของกู้เจียวไปมาก โชคยังดีที่กู้เจียวเคยได้รับคำแนะนำจากเหล่าโหวเหย่ ทำให้กู้เจียวสามารถยับยั้งการเคลื่อนไหวของนางได้

กู้เจียวคว้าข้อมือของเชียนเสวี่ยไปด้านหลังแล้วกดร่างของนางลงบนเตียง

แต่นางมีไหวพริบมากกว่าที่คิด นางเริ่มบิดตัวและขยับตัวหนีกู้เจียวราวกับปลาไหล

ก่อนจะฉวยโอกาสตอนกู้เจียวเผลอแล้วกดร่างของกู้เจียวลงบนเตียงอย่างไม่ใยดี

นางคว้าข้อมือกู้เจียว และกดขาของกู้เจียวด้วยขาของนาง “หึ ถ้าเจ้าบอกว่าข้าไม่สวยพอ ข้าจะถอดหน้ากากออกแล้วดูว่าเจ้ามีคุณธรรมอันใด เจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่าข้าไม่สวย!”

เชียนเสวี่ยใช้มือข้างซ้ายรวบข้อมือของกู้เจียวไว้บนหัว ก่อนจะใช้มืออีกข้างถอดหน้ากากของกู้เจียวออก

และในตอนนั้นเองที่กู้เจียวพยายามดิ้นร่างจนหลุดออกมาได้ ก่อนจะยกขาขึ้นแล้วถีบร่างของเชียนเสวี่ยออกไป จากนั้นก็รีบเข้าไปกดร่างของนางไม่ให้หลุดไปอีกรอบ

กู้เจียวนั่งทับลงบนขาของเชียนเสี่ย แล้วใช้โบว์ที่ผูกผมนางอยู่แกะออกมาแล้วนำมามัดมือของนางไว้ที่หัวเตียง

เชียนเสวี่ยพยายามดิ้นรนจนเสื้อผ้าหลุดออก เผยให้เห็นผิวที่ขาวราวกับหิมะ

“เจ้า…” เชียนเสวี่ยเอ่ยอย่างอับอาย

กู้เจียวเขียนลงกระดาษอีกครั้ง ‘เมื่อคืนใครลอบสังหารฝ่าบาท’

เชียนเสวี่ยออกอาการตกใจ

กู้เจียวเองก็ไม่มั่นใจว่านางโลมผู้นี้จะรู้เรื่องหรือไม่ แต่ในเมื่อนางเป็นถึงนางโลมระดับต้นๆ ของที่นี่ ด้วยสถานะที่สูงส่งและศิลปะการต่อสู้ของนางแล้ว โอกาสที่นางจะรู้จึงมีสูงมาก

บางที นางอาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดก็เป็นได้

เชียนเสวี่ยแค่นเสียงหัวเราะ “ข้าเป็นสตรีงามทางโลก จะรู้เรื่องแบบนั้นได้อย่างไร ท่านตามหาคนผิดแล้วล่ะ หากท่านต้องการสืบเรื่องนี้ ท่านก็ควรไปที่กรมตำรวจสิ”

กู้เจียวเขียนต่อ ‘ปฏิกิริยาแรกของคนทั่วไปต้องถามว่าฮ่องเต้ถูกลอบสังหารหรือ มิใช่รึ’

อย่างน้อยกู้เฉิงเฟิงก็มีปฏิกิรยาแบบนั้น

เชียนเสวี่ยถึงกับพูดไม่ออก

กู้เจียวเขียนต่อ ‘หากเจ้าไม่พูด ข้าจะปลดเสื้อของเจ้าออกให้หมด!’

สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไป ก่อนยิ้มอ่อนให้กู้เจียว “เอาสิ มาเลย ถ้าเจ้าไม่รังเกียจร่างของข้าที่ผ่านสงครามมาเยอะ อีกอย่าง เป็นข้าเองที่ถูกใจท่านก่อน การที่ท่านตอบรับข้าถือเป็นบุญของข้านัก เพียงแต่—”

ขณะที่พูด เชียนเสวี่ยชายตามองกู้เจียวหนึ่งที และพูดด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนท่านจะไม่สนใจคนอย่างข้าหรอกจริงไหม”

กู้เจียวคิดในใจ เฮ้อ ก็บอกแล้วว่าสายตามันหลออกกันไม่ได้ ข้าไม่ได้ชอบพวกเดียวกันสักหน่อย!

จากนั้น เชียนเสวี่ยก็เริ่มสำรวจร่างของกู้เจียวราวกับมีนัยแอบแฝง พลางเอ่ย “ท่านมีผิวที่เนียนสวย รูปร่างที่บอบบาง แต่กระนั้น ท่านก็ยังไม่สนใจข้า หรือว่า ท่านจะเป็น ขัน…”

ก่อนที่เชียนเสวี่ยจะพูดจบ กู้เจียวก็รีบชิงฉีกเสื้อของนางออกโยนมันไว้ใต้เตียง ก่อนจะจ้องนางด้วยสายตาดุดัน!

ในขณะนั้นเอง จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออก และชายขี้เมาคนหนึ่งก็บุกเข้ามา

กู้เจียวเห็นดังนั้นก็คือก็คว้าชุดคลุมจากพื้นและคลุมร่างของเชียนเสวี่ยไว้

“ท่านเป็นอะไรไป ทำไมถึงบุกเข้าไปในห้องของนายหญิงได้ล่ะ ไม่เห็นหรือว่านายหญิงกำลังต้อนรับแขกอยู่! หากท่านทำให้นายหญิงหมดอารมณ์ ท่านจะรับผิดชอบไหวหรือ!”

เป็นเสียงร้องตะโกนของบ่าวของเชียนเสวี่ย

“ข้าขออภัยด้วย แม่นางเซียนเสวี่ย!”

ทหารหญิงคนหนึ่งเข้ามาในห้องโดยไม่เหลียวแลและลากคนเมาคนนั้นออกไปจากห้อง

หลังจากนั้น กู้เจียวก็ลุกจากเตียง หันหลังกลับและเดินออกไปที่ประตูโดยไม่กดดันเชียนเสวี่ยอีกต่อไป

เชียนเสวี่ยตกตะลึงที่กู้เจียวเข้ามาช่วยเหลือ อีกทั้งยังเดินออกไปหน้าตาเฉยโดยที่ไม่อยู่สู้กันต่อ เชียนเสวี่ยกระพริบตาปริบๆ ก่อนเอ่ยกับกู้เจียว “นี่เจ้า เจ้าอยากรู้ว่าใครเป็นคนร้ายมิใช่หรือ”

อยากสิ แต่ไม่ใช่วิธีนี้แน่นอน

กู้เจียวเดินออกจากหอเซียนเล่อ

หากเป็นกู้เจียวในชาติก่อน คงจะต้องเค้นจนถึงที่สุดจนกว่าจะได้ความลับมา เพราะนางถูกสอนมาเช่นนี้

แต่ชาตินี้ไม่เหมือนกับชาติที่แล้ว

กู้เจียวก้มลงดูมือทั้งสองข้างของตัวเอง

ทันใดนั้น มีกล่องเล็กๆ ตกลงบนฝ่ามือ

กู้เจียวเงยหน้าขึ้นไปทางชั้นสาม เห็นเพียงแค่หน้าต่างที่ถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว

กู้เจียวเปิดกล่องออก ในนั้นเต็มไปด้วยพู่ห้อย อีกทั้งมีกระดาษหนึ่งแผ่นที่เขียนว่า

วังหลวง ทิศหรดี

เบาะแสมีอยู่ว่า คนร้ายคือคนในวัง อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และเป็นเจ้าของพู่ห้อยในกล่องนี้!