ภาค-2-ตำนานเฟิงอี้ ตอนที่ 50 ท่านหญิงจิ้งเจียง (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบสี่ วันที่สิบสามเดือนห้า จักรพรรดิไท่จงเยี่ยมเยือนแม่ทัพใหญ่ฉิน ลี่อ๋องทราบเรื่องจึงพาท่านหญิงจิ้งเจียงมาร่วมสมาคม

…พงศาวดารต้ายง พระประวัติลี่อ๋อง

เซี่ยจินอี้ยืนอยู่นอกประตู มองออกไปไกลอย่างเบื่อหน่าย เฮ้อ เหตุใดข้าจึงต้องมาเป็นองครักษ์ประจำกายรัชทายาทด้วยหนอ แม้นับจากวันนี้ตนจะกลายเป็นผู้ที่ยืนเคียงบ่ากับศิษย์พี่ได้ แต่เขาตระหนักดี ว่าตนเองวรยุทธ์ไม่ได้เรื่อง สติปัญญาไม่ล้ำลึก แม้มีไหวพริบอยู่บ้างแต่มิอาจสร้างความดีความชอบยิ่งใหญ่อันใดได้ หากมีอำนาจมากเกินไปแต่ความสามารถมิสมฐานะ ตนคงสะดุดล้มหัวทิ่ม โชคดีที่ปกติเขาผูกมิตรทำดีกับสหายอันธพาลเอาไว้จำนวนหนึ่ง มิเช่นนั้นคิดจะเรียกคนมาใช้งานคงถูกกลอกตาใส่

เขาอยู่ข้างกายรัชทายาทมาหลายเดือน แม้ทำตัวเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ แต่ในใจเขามักหวาดกลัวคนผู้หนึ่งอยู่เสมอ หลายวันก่อนได้ยินว่าคนผู้นั้นบาดเจ็บสาหัส หายใจรวยริน เขาเคยหวังว่าคนผู้นั้นจะตายไปเสีย หากเป็นเช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดจับตามองเขาแล้ว แต่คืนนั้นเอง ตอนเขาออกไปเที่ยวเล่นเริงนารีก็พบแหวนเงินวงหนึ่งในไหสุรา บนแหวนสลักอักษรคำว่า เจียง เขาตกใจจนเหงื่อกาฬหลั่งทั่วร่าง สวดภาวนาต่อสวรรค์ทันที ขอให้คนผู้นั้นอายุยืนร้อยปี อย่างน้อยเขาก็ไม่เหมือนคนที่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน

เวลาผันผ่านไวนัก ยามนี้ตนกลายเป็นคนสนิทของรัชทายาท คนผู้นั้นก็พ้นสภาพวิกฤติ จนกระทั่งถึงตอนนี้ตนก็ยังไม่ได้ข่าวจากเขาแต่ประการใด ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน การเป็นสายลับเช่นนี้ก็ง่ายดายดี ขอเพียงเป็นตนเองก็พอ ทว่าข้าในตอนนี้เป็นตัวข้าอย่างแท้จริงหรือเปล่า เซี่ยจินอี้ยิ้มขมขื่นดุจย้อนกลับไปยังวัยเยาว์ ยามนั้นตนเป็นเด็กหนุ่มนิสัยดี กตัญญูต่อบิดามารดาและเคารพอาจารย์จนผู้คนล้วนชื่นชม ทันใดนั้นเขาก็ตื่นจากภวังค์ ช่างเถิด อดีตดุจหมอกควัน ไยต้องคิดถึงเรื่องราวอันทุกข์ระทมเหล่านั้นด้วยเล่า

เขาอดไม่ได้นึกถึงเรื่องที่ซิ่วชุนนัดพบตนราตรีนี้ เกรงว่าตนคงไม่มีเวลาเสียแล้วกระมัง ซิ่วชุนเป็นสตรีที่ดีนางหนึ่ง น่าเสียดายที่เป็นบ่าวของเชื้อพระวงศ์จึงมิอาจเลือกชะตาตน หญิงรับใช้นางหนึ่งไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องการแต่งงานด้วยตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ใต้เท้าชุยเกิดเรื่อง หากพัวพันมาถึงพระชายารัชทายาท ไม่ได้ ตนสมควรลอบส่งข่าวให้พระชายาสักหน่อย ถึงอย่างไรนางก็เป็นนายของซิ่วชุน แล้วยังเคยรับปากว่าจะให้อิสระแก่ซิ่วชุนอีกด้วย

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เซี่ยจินอี้ก็ขบคิดว่าหลังจากท่านหญิงผู้นั้นมาถึง คงมีเวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วยามที่ตนไม่มีงานอันใด มิสู้ลอบวิ่งไปสักเที่ยวหนึ่ง แต่ท่านหญิงกลับเดินมาจากเรือนของพระชายา ถ้าเช่นนั้นพระชายาก็คงจะทราบเรื่องนี้แล้วกระมัง

ขณะที่เซี่ยจินอี้คิดสะระตะอยู่ เขาก็เห็นสตรีอาภรณ์สีหิมะผู้หนึ่งเดินมาแต่ไกล ท่วงท่าสง่างามเลิศล้ำ รูปโฉมงามวิไล ชวนให้ผู้คนหลงใหลและอับอายความอัปลักษณ์ของตนในทันใด แต่เซี่ยจินอี้กลับไม่รู้สึกเช่นนี้แม้แต่น้อย ทั้งร่างของเขาฉับพลันเย็นเฉียบแข็งทื่อ แต่ในอกเหมือนมีเปลวเพลิงแผดเผา นั่นคือความรู้สึกของการตกอยู่ในห้วงอเวจี เขาแทบไม่อาจรวบรวมความคิด ร่างกายขยับคำนับตามธรรมเนียมราวกับหุ่นกระบอกถูกชักเชิด เขาได้ยินเสียงตนเองกล่าวว่า ท่านหญิง องค์ชาย ชายารองเซียวหลานกับหลู่เส้าฟู่รอท่านหญิงอยู่ด้านในแล้ว

เขาถึงขั้นเปิดประตูให้ท่านหญิงอย่างกระตือรือร้นด้วยตนเอง สายตาแฝงแววลุ่มหลงอย่างยิ่ง นั่นคือสีหน้าของบุรุษเจ้าชู้แต่ไม่ต่ำช้ายามเห็นยอดพธูแห่งใต้หล้า จวบจนหลี่หันโยวเดินเข้าห้องไป เซี่ยจินอี้จึงเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น ข้าปวดท้องนิดหน่อย พวกเจ้าเฝ้าไว้ก่อน หลังจากนั้นเขาจึงผลุนผลันเดินไปยังที่พักโดยไม่สนใจถ้อยคำล้อเลียนด้วยความหวังดีของสหาย

ไม่ง่ายกว่าจะเดินกลับมายังห้องน้อยโดดเดี่ยวอันเงียบสงัดแห่งนั้นได้ เขาเปิดประตูห้องก็เห็นเรือนร่างอ้อนแอ้นนั่งอยู่บนเตียง ซิ่วชุนนั่นเอง เขาคิดว่าพระชายาคงส่งนางมา เซี่ยจินอี้โถมเข้าใส่ทันที ร่างกายของทั้งสองคนกอดรัดล้มกลิ้งบนเตียง จากนั้นม่านมุ้งพลันทอดตัวลงมา การกระทำรุนแรงของเขาทำให้ซิ่วชุนหวีดร้องตกใจ แต่ไม่นานเสียงหอบกระเส่าของเขากับเสียงครวญครางเจ็บปวดของนางก็ผสานกลายเป็นหนึ่งเดียว

ผ่านไปพักหนึ่ง เซี่ยจินอี้ที่เสร็จสมอารมณ์หมายจึงคลายอ้อมแขนแล้วล้มตัวนอนแผ่บนเตียง ซิ่วชุนยันกายขึ้นท่าทางขุ่นเคือง แต่กลับต้องประหลาดใจเมื่อเห็นบุรุษผู้มีรอยยิ้มเย้ยหยันกับคำผรุสวาทติดปากเป็นนิจคนนี้น้ำตานองหน้า ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนแลดูดุร้ายน่ากลัว แต่ซิ่วชุนมองออกว่าบุรุษผู้นี้กำลังตกอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวังและเศร้าโศก นางไม่สนใจร่างกายที่เหนื่อยล้าแล้วโอบกอดเขาเอาไว้ บุรุษผู้นี้ร่างกายสั่นระริก ยื่นมือมากอดนางแน่น ผ่านไปเนิ่นนานกว่าเซี่ยจินอี้จะดันนางออกแล้วกระโดดลงจากเตียง เมื่อเขาสงบอารมณ์ได้แล้วแต่งตัวเรียบร้อยก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ เรื่องการตายของใต้เท้าชุน หากพระชายาทราบแล้ว เจ้าจงกล่อมนางให้ควบคุมอารมณ์ไว้ให้ได้ ตอนนี้รัชทายาทกำลังหารือว่าจะจัดการเช่นไร เจ้าบอกให้พระชายาระวังแผนร้ายเอาไว้ ชายารองเซียวหลานอยู่ด้านในมาเป็นครึ่งค่อนวันแล้ว

ซิ่วชุนมองบุรุษที่จู่ๆ สะเทือนอารมณ์ขึ้นมาเองผู้นี้เงียบๆ แล้วเอ่ยปากถามขึ้นมา จินอี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้น บอกข้าสิ

เซี่ยจินอี้แย้มยิ้ม ข้าจะมีเรื่องอะไรได้เล่า องค์ชายกำลังใช้ข้าทำงาน เจ้าอย่าพูดจาส่งเดช เขากล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกไป ซิ่วชุนมองแผ่นหลังของเขาแล้วรู้สึกปวดใจอย่างห้ามไม่ได้ นางเพิ่งรู้เป็นครั้งแรกว่าเจ้าคนเสเพลวาจากะล่อนผู้นี้ก็ทุกข์ระทมเช่นนั้นเป็น

เมื่อเซี่ยจินอี้เดินออกจากห้องมา เขาก็กลายเป็นชายหนุ่มเจ้าสำราญผู้เอ้อระเหยลอยชายอีกครั้ง ถึงขนาดมองไม่เห็นร่องรอยตอนเขาเสียกิริยาเมื่อครู่แม้แต่นิด เขารีบเร่งกลับมายังสถานที่ประชุมของรัชทายาท แต่เห็นองครักษ์คนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อนเสียก่อน เมื่อเห็นเขา องครักษ์ก็ตะโกนเรียกทันที น้องเซี่ย เจ้าไปรายงานหน่อย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ยงอ๋องไปเยือนจวนแม่ทัพใหญ่ฉิน เกือบสองชั่วยามแล้วยังไม่ออกมาเลย

เซี่ยจินอี้ฉุกคิดบางอย่างแล้วถามว่า ยงอ๋องไปด้วยตนเองหรือ ท่านรู้หรือไม่ว่าไปด้วยเหตุผลใด ข้าคงมิอาจไปรายงานโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวได้กระมัง

องครักษ์ผู้นั้นจึงเล่าว่า ยงอ๋องพาองครักษ์ไปจำนวนมาก แล้วยังพาซือหม่าสยง จิงฉือ จ่างซุนจี้สามแม่ทัพกับเจียงซือหม่าเจียงเจ๋อไปด้วย เดิมพวกเราคิดว่ายงอ๋องไปหาเรื่อง ใครไม่รู้บ้างว่าฉินชิงมีเอี่ยวกับการลอบสังหารเจียงเจ๋อจึงคิดจะรอหลังยงอ๋องกลับค่อยมารายงาน เพราะคิดว่าอย่างไรเขาก็คงไม่รั้งอยู่นานนัก แต่คิดไม่ถึง นานปานนี้แล้วก็ยังไม่ออกมา สายของพวกเราในจวนฉินรายงานว่าพวกเขาคุยกันครื้นเครงยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงกลับมารายงานเพราะกลัวว่าจะช้าเกินไป น้องเซี่ยช่วยปั้นแต่งคำพูดให้ฟังดูดีแทนข้าหน่อยเถิด

เซี่ยจินอี้ยิ้มตอบว่า ท่านวางใจได้ ข้าเคยสร้างความลำบากให้พวกท่านเมื่อใดกัน เซี่ยจินอี้กล่าวจบก็เคาะประตูขอพบอีกครั้ง ครานี้เขาผลักประตูเข้าไปเห็นรัชทายาทหลี่อันสีหน้าหวั่นวิตก ส่วนหลู่จิ้งจงกับชายารองเซียวหลานสีหน้าเคร่งขรึม มีเพียงหลี่หันโยวยังคงท่วงท่างามสง่า หลี่อันเอ่ยอย่างรำคาญ มีเรื่องอะไร ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังหารือเรื่องสำคัญอยู่

เซี่ยจินอี้รีบเบี่ยงประเด็นไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทันที หลี่อันได้ฟังว่ายงอ๋องไปเยือนจวนฉินก็สีหน้าเคร่งขรึมทันใด เขาโบกมือให้เซี่ยจินอี้ถอยออกไปแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา เขาวิ่งวุ่นอีกแล้ว ดูท่าพักนี้เสด็จพ่อจะเข้าข้างเขาจนทำให้เขาลืมฐานะตนเอง หลู่เส้าฟู่ ท่านเสนอแผนทำให้ยงอ๋องกับตระกูลฉินแตกคอกัน แต่วันนี้พวกเขากลับปรองดองกันแล้ว ท่านคิดว่าสมควรทำเช่นไร

หลู่จิ้งจงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า แม้ยามนั้นคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะกลายมาเป็นเช่นนี้ แต่ก็จัดการไม่ยาก ในเมื่อยงอ๋องกับตระกูลฉินไม่บาดหมางกัน ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็สร้างเรื่องบาดหมางขึ้นมาเสีย หากองค์ชายไปเยือนจวนฉินพร้อมกับท่านหญิงสักครั้งตอนนี้จะเป็นเช่นไร

หลี่อันฉุกใจนึกถึงการแต่งงานระหว่างหลี่หันโยวกับฉินชิงขึ้นมาได้ แม้ยังไม่ได้รับความยินยอมจากฉินอี๋ แต่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ล้วนพอพระทัย หากเรื่องนี้สำเร็จ ต่อให้ตระกูลฉินเข้าข้างยงอ๋อง ยงอ๋องก็คงไม่เชื่อใจพวกเขาแล้ว ตนจะปล่อยให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้นไม่ได้ เอาเถิด ในเมื่อตัดสินใจเรื่องนั้นได้แล้ว ข้าจะไปเยือนจวนฉินสักเที่ยวก่อน เมื่อคิดตกแล้ว หลี่อันจึงลุกขึ้นเอ่ยว่า ท่านหญิงไปด้วยกันกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่

หมอกเมฆสีแดงลอยเคลื่อนผ่านใบหน้าของหลี่หันโยว ก่อนที่นางจะเอ่ยตอบเสียงเบา หันโยวรับบัญชา

ตอนต่อไป