บทที่ 310 น้ำลดต่อผุด (2)
ฮ่องเต้เองก็ไม่รู้มาก่อนว่าห้องนี้จะเป็นห้องของจวงไทเฮา เขาจึงตื่นตกใจอยู่เหมือนกัน “นี่คือห้องของไท…ท่านย่าเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว!” เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้ารัวอย่างกับสากตำครก
“แล้วของในห้องนี้…” ฮ่องเต้เอ่ยเพียงครึ่งก็เป็นอันชะงักไป
หมอเทวดาน้อยช่วยชีวิตเขาไว้กลางดึก เขาเกือบจะตายอยู่รอมร่อแล้ว แต่หมอเทวดาน้อยช่วยเขาจนฟื้นขึ้นมา จะเอาเวลาที่ไหนมาจัดเตรียมห้องหับให้เขาโดยเฉพาะเล่า
โต๊ะตั่ง เก้าอี้ ตะเกียง และเทียนไขภายในห้องนี้คงมีพร้อมอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนหน้าสินะ
พอคิดได้ว่าทั้งหมดนี้จวงไทเฮาเป็นคนจัดเตรียมไว้ ความปลื้มปิติของฮ่องเต้ก็มลายหายไปจนสิ้น
ทว่าเสี่ยวจิ้งคงนั้นไม่รู้ว่าในใจของฮ่องเต้คิดอะไรอยู่ พอเห็นสีหน้าของเขาพลันว้าวุ่นขึ้นมา เสี่ยวจิ้งคงจึงนึกว่าเขาเจ็บปวดทรมาน เขาเดินเข้าไปใกล้พลางกุมมืออีกฝ่ายก่อนจะเอ่ย “ท่านลุงฉู่ ท่านต้องหายดีแน่นอน ฝีมือวิชาการแพทย์ของเจียวเจียวนั้นสูงส่ง นางต้องรักษาท่านให้หายดีอย่างแน่นอน ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย!”
ฮ่องเต้มองฝ่ามือน้อยที่ทาบอยู่บนหลังมือของตัวเอง นึกไม่ถึงเลยว่ากษัตริย์เจ้าแคว้นผู้สูงศักดิ์จะถูกเด็กอายุสี่ขวบปลอบเสียแล้ว
ฮ่องเต้ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี
ไม่นาน เขาก็รู้สึกตัวว่าตอนที่ตนเองเผลอหลับไป เสื้อผ้าอาภรณ์หลุดลุ่ย ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง เสียภาพลักษณ์ความน่าเกรงขาม จึงนึกอยากจะเรียกคนมาแต่งองค์ทรงเครื่องให้ตัวเองเสียหน่อย
ทว่าเว่ยกงกงเอ่ยก็ได้รับบาดเจ็บ ข้างกายเขาจึงไม่มีคนในวังคอยปรนนิบัติ สีหน้าลำบากใจก็พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
เสี่ยวจิ้งคงถาม “ท่านลุงฉู่ ท่านเป็นอะไรไปหรือ”
“ข้า…”
ช่างเถิด เขาจัดการเองก็แล้วกัน
ฮ่องเต้เอื้อมมือออกไปหยิบหมวกบนตู้หัวเตียง
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยขึ้นในทันใด “ท่านลุงฉู่ ท่านอยากหวีผมหรือ ข้าช่วยท่านเอง! ท่านป่วยอยู่อย่าได้ขยับตัวเลย!”
“เจ้าทำเป็นรึ” ฮ่องเต้ถาม
“ข้าก็ต้องทำเป็นอยู่แล้ว” เสี่ยวจิ้งคงทุบอกตัวเองพลางเอ่ย
เขาหวีขนให้สุนัขอย่างเจ้าแปดอยู่ทุกวัน!
เสี่ยวจิ้งคงหยิบหวีมาจากหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สลัดรองเท้าทิ้งแล้วปีนขึ้นเตียง ยืนซ้อนหลังฮ่องเต้ จากนั้นก็เริ่มหวีผมให้ฮ่องเต้
เขาหวีได้ดีเลยทีเดียว
ฮ่องเต้อารมณ์ดีแล้วก็พาลพูดมากขึ้น “เจ้าท่องกลอนได้หรือไม่”
เสี่ยวจิ้งคงตอบ “ข้าท่องได้ แต่ข้าไม่ชอบท่องกลอนน่ะ”
ฮ่องเต้ยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าชอบอะไร”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย “ข้าชอบร้องเพลง”
ไม่นานมานี้เพิ่งจะหัดร้องเพลงใหม่ๆ กับเจียวเจียวตั้งหลายเพลง
“อ๋อ” ฮ่องเต้เอ่ยพลางหัวเราะ “เจ้าร้องเพลงเป็นด้วยหรือ ไหนร้องให้ฟังสักเพลงสองเพลงสิ”
“อืม…” เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิดอย่างจริงจัง มือที่หวีผมอยู่จึงชะงักไป
เขาบ่มสร้างอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง พลางยกฝ่ามือน้อยข้างหนึ่งขึ้นทำท่าทำทางแล้วเริ่มร้องเพลง “ลมเหนือพัดมา~ ละอองหิมะล่องลอย~ ละอองหิมะลอยละล่อง~ ปีกว่ามาแล้ว~ ท่านพ่อหนีหนี้~ หายไปเจ็ดวันเจ็ดคืน~”
ฮ่องเต้ตัวกระตุก
เหตุใดถึงเลือกเพลงโศกเช่นนี้
เห็นว่าจิตใจของเขายังเศร้าหมองไม่พออย่างนั้นหรือ
เสี่ยวจิ้งคงร้องอย่างดื่มด่ำ แววตาเศร้าสร้อย น้ำตาเอ่อคลอดวงตาเป็นประกาย
ฮ่องเต้ทนเห็นต่อไปไม่ไหวแล้ว “เจ้าหนูน้องเพลงที่สนุกสนานกว่านี้หน่อยได้หรือไม่”
“ได้อยู่แล้ว!” เสี่ยวจิ้งคงเปลี่ยนอารมณ์ภายในพริบตา ถักเปียให้ฮ่องเต้ไปพลางโคลงศีรษะร้องเพลงไปพลาง “ลูกสาวบ้านอื่นทัดดอกไม้~ พ่อเจ้านั้นเงินน้อยซื้อไม่ไหว~ ชักเชือกแดงออกมาสองนิ้ว~แล้วผูกให้ลูกสาวข้า~ โอ้ละหนอ~ผูกเชือกเอย~”
ผูกจนฮ่องเต้ที่ถักเปียกอยู่โมโหหน้าดำหน้าแดงไปหมดแล้ว!
เหตุใดถึงได้ร้องไม่มีต้นไม่มีปลายเช่นนี้!
ฮ่องเต้รู้สึกว่าทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว ขืนฟังต่อไปตัวเองคงเดือดดาลจนช้ำในเป็นแน่
“ข้า ข้า ข้า… ข้ายังมีอีกเพลง!” เสี่ยวจิ้งคงกระแอมให้โล่งคอ คว้าหางเปียของฮ่องเต้เอาไว้ ร่างน้อยก็โยกไปมา
“โอ๊ย!”
เพราะออกแรงมากเกินไป ผมของฮ่องเต้จึงถูกกระชากไปด้วย หนังหัวเกือบหลุดออกไปแล้ว!
“แค่กแค่ก ผิดทำนองไปหน่อย เอาใหม่ เอาใหม่!” เสี่ยวจิ้งคงเตรียมการอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าจริงจัง ใช้พลังทั้งหมดที่มีจากร่างกาย…
“อา~ ท่านลุงใหญ่กับท่านอาเล็ก~
เอ~ ท่องไปตามลาซาอย่าได้อวดร่ำอวดรวย
ตายเสียแล้ว~ แต่กลับไม่เอ่ยถึงเรื่องที่พ่อเขาถูกฆ่า~
เฮ~ คงจะฆ่าแม่ด้วยเช่นกัน~
พ่อตายเป็นเบือ~”
อันที่จริงประโยคสุดท้ายไม่มีคำว่า ‘เป็นเบือ’ ทว่าเสี่ยวจิ้งคงรู้สึกว่าร้องไม่ค่อยคล่องปาก จึงเติมคำว่า ‘เป็นเบือ’ ขึ้นมาเอง
เขานี่ช่างฉลาดเสียจริง!
ฮ่องเต้ไม่ได้บันเทิงเริงใจไปกับเสี่ยวจิ้วคงขนาดนั้น
เจ้าหนูนี่ร้องเพลงอะไรกัน ประเดี๋ยวก็ฆ่าพ่อ ประเดี๋ยวก็ฆ่าแม่ ยังเด็กอยู่แท้ๆ ร้องเพลงโหดร้ายเช่นนี้จะดีหรือ
กลับไปเขาจะถามตาเฒ่าฮั่วเซี่ยนเสียหน่อย ว่าสอนอะไรให้กับเด็กชั้นปฐมวัยของกั๋วจื่อเจียน!
อีกอย่าง จะร้องเพลงก็ร้องไปเถิด แต่อย่ากระชากผมเขาจะได้ไหม
อายุอานามปูนนี้มีผมดกดำได้เพียงนี้คิดว่าเป็นเรื่องง่ายหรืออย่างไร จะกระชากจนเขาหัวล้านหรือ!
เซียวลิ่วหลังกลับมาจากกั๋วจือเจียนเป็นคนแรก เสี่ยวจิ้งคงจึงได้หยุดทรมานทรกรรมตีนผมและใบหูของฮ่องเต้เสียที
เขาอวดเรื่องที่ตนเองตัวสูงขึ้นกับพี่เขยนิสัยเสีย
หลังจากอวดเสร็จเขาก็นั่งลงหน้าประตู ยืดขาน้อยๆ ออกมา ให้ชายกางเกงอยู่ในตำแหน่งที่เห็นชัดที่สุด ทุกครั้งที่คนในบ้านกลับมาหนึ่งคนเขาก็จะอวดหนึ่งรอบ
กู้เสี่ยวซุ่นลูบจมูกพลางเอ่ย “เจ้าดึงกางเกงให้สูงขึ้นหรือเปล่า”
กู้เสี่ยวซุนดึงกางเกงของเสี่ยวจิ้งคงลงกลับอยู่ที่บริเวณสะดือ “เจ้าดูสิ แบบนี้ก็คลุมรองเท้าเหมือนเดิมไม่ใช่หรือไร”
เสี่ยวจิ้งคง “…”
เสี่ยวจิ้งคงร้องไห้จ้าออกมาในทันใด!
คนอย่างกู้เสี่ยวซุ่นนี่สินะที่เรียกว่าคนจริง!
สุดท้าย กู้เจียวก็วัดส่วนสูงให้กับเสี่ยวจิ้งคง ทั้งยังทำตัวเลขที่ตัวเองบันทึกไว้ก่อนหน้านี้ให้เขาดูด้วย ให้เขามั่นใจว่าตัวเขาสูงขึ้นแล้วจริงๆ เพียงไม่แต่ไม่ถึงสองนิ้วก็เท่านั้น
“สูงขึ้นหนึ่งนิ้ว” กู้เจียวเอ่ย
เสี่ยวจิ้งคงนั่งอยู่บนตักกู้เจียว เล่นเส้นผมของกู้เจียวด้วยความน้อยอกน้อยใจ “หนึ่งนิ้วก็ถือว่าสูงขึ้นใช่ไหม”
กู้เจียวขยี้ศีรษะน้อยของเขา “แน่นอนอยู่แล้ว”
เสี่ยวจิ้งคงก้มหน้ายกนิ้วขึ้นชนกัน “ถ้า…ถ้าเช่นนั้นขอรางวัลเป็นจุ๊บหนึ่งที”
กู้เจียวหอมกระหม่อมเขา
เสี่ยวจิ้งคงกระโดดลงจากตัก ใช้ฝ่ามือน้อยกุมหัวเอาไว้แล้ววิ่งฉิวกลับไปที่ห้อง
กลางดึก เมื่อกู้เจียวเข้าไปทำแผลให้ฮ่องเต้จึงถามเขาว่าเคยเห็นพู่เช่นนี้มาก่อนหรือไม่
ฮ่องเต้ส่ายหน้า “เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
วันต่อมากู้เจียวจึงเข้าวังหลวง
จวงไทเฮาไปประชุมราชสำนักแล้ว กู้เจียวจึงนำพู่ไปถามฉินกงกงแทน “ฉินกงกง ท่านเคยเห็นพู่อันนี้หรือไม่”
ฉินกงกงส่ายหัว “ข้าไม่เคยเห็นขอรับ”
“ฉินกงกง ในวังหลวงมีที่เก็บน้ำผึ้งใช่หรือไม่” นางถาม
ฉินกงกงเอ่ย “ที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้มีสวนผึ้งอยู่ แม่นางกู้อยากได้น้ำผึ้งสดหรือขอรับ ข้าจะให้คนไปเก็บมาให้”
“ไม่เป็นไร ข้าจะไปเอง” กู้เจียวชะงักไป “ไปได้หรือไม่”
ฉิงกงกงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ย่อมได้ขอรับ”
ฉินกงกงยื่นกระปุกให้กู้เจียว “ที่นั่นมีคนเลี้ยงผึ้งอยู่ หากแม่นางกู้เก็บจบเหนื่อยแล้ว จะให้พวกเขาเก็บก็ได้”
“ได้เลย” กู้เจียวรับกระปุกมา
ฉินกงกงกลัวว่านางจะหลงทาง จึงกำชับให้ขันทีในตำหนักเหรินโซ่วไปส่งนางถึงที่
กู้เจียวตั้งใจว่าจะซุ่มดักรอคนร้ายอยู่ที่นี่
ทว่ารอมาตลอดทั้งเช้า นอกจากคนสวนและคนเลี้ยงผึ้งแล้วก็ไม่มีผู้ใดผ่านมาเลยสักคน
ขณะที่กู้เจียวตัดสินใจว่าจะกลับแล้วนั้น จู่ๆ ก็มีเงาร่างของหญิงกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้าตามทางเดินเล็กๆ
หนิงอ๋องเฟยเดินนำหน้า
ข้างกายหนิงอ๋องเฟยมีขันทีสองคนถือตะกร้าดอกไม้อยู่ ส่วนด้านหลังมีนางกำนัลสาวตามมาอีกสี่คน
หนิงอ๋องเฟยเพิ่งจะแท้งลูกเมื่อไม่นานมานี้ ใบหน้าจึงยังบวมอยู่บ้าง อากาศเดือนหกนั้นร้อนอบอ้าว แต่นางกลับสวมเสื้อคลุมกันลม รุ่ยอ๋องเฟยเคยบอกว่านี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่หนิงอ๋องเฟยแท้งลูก
การแท้งลูกแต่ละครั้งนั้นทำให้ร่างกายของผู้หญิงบอบช้ำเป็นอย่างมาก ยิ่งนางแท้งมาแล้วตั้งสามหน กอปรกับการแพทย์ในสมัยโบราณก็ไม่ได้ก้าวหน้ามากนัก การที่นางจะตั้งท้องได้อีกครั้งคงยากมาก
นางอาศัยอยู่ที่จวนหนิงอ๋องนอกวังหลวง ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้มายังทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่ห่างไกลเช่นนี้
หรือว่า…นางกำลังรอใครบางคน
กู้เจียวอยู่ในบ้านไม้หลังเล็ก ทว่าสายตากลับมองลอดผ่านหน้าต่างไปยังหนิงอ๋องเฟยที่อยู่ไกลลิบ
“อ๋องเฟย เรื่องนี้ท่านให้พวกข้าจัดการก็ได้ เหตุใดถึงต้องลำบากมาด้วยตนเองเช่นนี้เล่าเพคะ” นางกำนัลคนหนึ่งถาม
หนิงอ๋องเฟยเอ่ย “พวกเจ้าไม่เข้าใจ เสียดายน้ำผึ้งชั้นดีเช่นนั้น ไปเรียกคนเลี้ยงผึ้งมาสิ”
“เพคะ!”
นางกำนัลขานรับ ก่อนจะเข้าไปในสวนผึ้งแล้วเรียกคนเลี้ยงผึ้งที่เข้าเวรออกมา
คนเลี้ยงผึ้งคำนับหนิงอ๋องเฟยอย่างนอบน้อม “กระหม่อมถวายบังคมหนิงอ๋องเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงอ๋องเฟยเอ่ยถาม “วันนี้เก็บน้ำผึ้งอะไรรึ”
คนเลี้ยงผึ้งตอบ “ทูลหนิงอ๋องเฟย มีน้ำผึ้งดอกพุทรากับน้ำผึ้งดอกแคพ่ะย่ะค่ะ แล้วก็มีน้ำผึ้งดอกไม้อื่นๆ อีกครึ่งโหลพ่ะย่ะค่ะ”
“เอามาให้ข้าชิมหน่อย” หนิงอ๋องเฟยเอ่ย
“พ่ะย่ะค่ะ!” คนเลี้ยงผึ้งเทน้ำผึ้งทั้งสามชนิดลงในถ้วยใบเล็ก
หนิงอ๋องเฟยใช้ช้อนชิมทีละแบบก่อนจะเอ่ยขึ้น “เอาน้ำผึ้งดอกพุทราก็แล้วกัน”
“หนิงอ๋องเฟยต้องการเท่าใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” คนเลี้ยงผึ้งถามอย่างนบนอบ
“สองกระปุก” หนิงอ๋องเฟยตอบ
คนเลี้ยงผึ้งเทน้ำผึ้งให้หนิงอ๋องเฟยสองกระปุก ขันทีข้างกายหนิงอ๋องเฟยรับเอาไว้ จากนั้นก็พากันไปเลือกดอกไม้อีกหลายกระบุงในสวน
เมื่อเห็นแผ่นหลังของหนิงอ๋องเฟยเดินจากไป กู้เจียวจึงเดินออกมาแล้วถามคนเลี้ยงผึ้ง “ข้าเก็บพู่นี่ได้จากบนพื้น ใช่ของหนิงอ๋องเฟยหรือไม่”
“ไอ้หยา” คนเลี้ยงผึ้งรีบร้อนวิ่งตามหนิงอ๋องเฟยไป