บทที่ 310 น้ำลดต่อผุด (3)
กู้เจียวมองดูคนเลี้ยงผึ้งยื่นพู่ให้กับหนิงอ๋องเฟย ทว่าหนิงอ๋องเฟยกลับส่ายหน้า สีหน้าไม่เหมือนเสแสร้งแต่อย่างใด
“แม่นาง หนิงอ๋องเฟยบอกว่าไม่ใช่ของนางน่ะ” คนเลี้ยงผึ้งคืนพู่ให้กับกู้เจียว
กู้เจียวไม่ได้แต่งตัวเหมือนพระสนมหรือนางกำนัล แต่นางมาจากตำหนักเหรินโซ่ว คนเลี้ยงผึ้งจึงไม่กล้าดูแคลน
กู้เจียวรับพู่มาแล้วเอ่ยถาม “ยังมีคนอื่นมาที่นี่อีกหรือไม่”
คนเลี้ยงผึ้งยิ้มแหยพลางเอ่ย “ที่นี่ผึ้งเยอะ มักจะต่อยคนเอาได้ง่ายๆ ปกติแล้วไม่มีใครมาหรอก”
หรือว่านางคณิกาจากหอเซียนเล่อผู้นั้นจะหลอกนางเข้าให้แล้ว
ในหัวของกู้เจียวมีแต่คำว่า ‘วังหลวง ทิศตะวันตกเฉียงใต้’ ลอยวนไปมา
ที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้นอกจากสวนผึ้งแล้วก็มีเพียงสวนดอกไม้ นางเองก็จับตาดูสวนดอกไม้อยู่ตลอด แต่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด
กู้เจียวลูบคางไปมา
คิดทบทวนเป็นร้อยกว่าหนก็ยังไขปริศนาไม่ออกเสียที แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีใครคนหนึ่งมาเยือน
ผู้มาเยือนครั้งนี้คือไท่จื่อเฟย
หลังจากที่ไท่จื่อเฟยถูกกู้เจียวคลุมกระสอบแล้วอัดจนน่วมก็พักฟื้นอยู่ที่ตำหนักบูรพามาตลอด เมื่อวานบาดแผลเพิ่งจะหายสนิท วันถึงได้ออกมาจากวังบูรพา
คนเลี้ยงผึ้งตื่นตกใจ หนิงอ๋องเฟยเสด็จยังไม่เท่าไหร่ แต่เหตุใดไท่จื่อเฟยถึงเสด็จมาที่นี่ได้เล่า
คนเลี้ยงผึ้งลนลานเดินเข้าไปคำนับ “ถวายบังคมไท่จื่อเฟยพ่ะย่ะค่ะ!”
ไท่จื่อเฟยพยักหน้าให้เพียงเล็กน้อย
กู้เจียวยืนอยู่หน้าประตูสวนผึ้ง ยังไม่ทันกลับเข้าไปในบ้านไม้ ไท่จื่อเฟยก็เห็นนางเข้าเสียก่อน
ไท่จื่อเฟยรู้ว่าเป็นกู้เจียว เพราะนางเคยเห็นกู้เจียวมาก่อนแม้จะอยู่ไกลออกไปก็เถอะ
ส่วนกู้เจียวเองก็รู้ว่าเป็นไท่จื่อเฟย เพราะนางก็คงอัดไท่จื่อเฟยจนน่วมมาก่อน
ทว่าในความทรงจำของทั้งสองคน อีกฝ่ายไม่น่าจะรู้จักตนเอง
ครั้งนี้นับว่าเป็นการพบหน้ากันอย่างเป็นทางการครั้งแรก
ไท่จื่อเฟยเป็นถึงหญิงงามที่ทำให้ไท่จื่อหลงไหล ดวงหน้านั้นไร้ตำหนิ เรียกว่าหญิงงามล่มเมืองหรือจะเรียกว่าล่มแคว้นก็ย่อมได้
เมื่อเทียบกันแล้ว กู้เจียวที่ดวงแก้มมีปานแดงผืนใหญ่นั้นเทียบไม่ติดเลยก็ว่าได้
เอาเป็นว่าในสายตาของคนทั่วไปเป็นเช่นนั้น
ไท่จื่อเฟยเป็นดั่งดวงจันทราบนท้องนภา ไม่ว่าสาวงามแห่งวังหลังนางใดก็เป็นต้องหม่นหมองยามอยู่ต่อหน้านาง นับประสาอะไรกับเด็กสาวที่ใบหน้ามีตำหนิคนนี้
“เจ้าเป็นใครกัน พบไท่จื่อเฟยแล้วเหตุใดถึงไม่คุกเข่าอีก” ขันทีข้างกายไท่จื่อเฟยเอ่ย
หากเป็นนางกำนัลของไท่จื่อเฟยย่อมจำไท่จื่อเฟยได้แน่นอน
แต่น่าเสียดายที่ขันทีใหญ่ผู้นี้ไม่เคยพบเจอกู้เจียวมาก่อน
คนเลี้ยงผึ้งรีบกระซิบเอ่ย “กงกง แม่นางผู้นี้เป็นคนของตำหนักเหรินโซ่ว”
สีหน้าของขันทีใหญ่พลันเปลี่ยน แต่กลับทำได้เพียงตะเบ็งเสียงให้สูงขึ้น “คนของตำหนักเหรินโซ่วเคร่งครัดกฎระเบียบนัก แม้แต่คุณหนูจวงเมื่อพบไท่จื่อเฟยก็ถวายบังคับอย่างนอบน้อมเช่นกัน!”
ทุกพยางค์ทุกคำพูด เห็นได้ชัดว่ากำลังบอกกับกู้เจียวว่าแม้แต่หลานสาวคนโตของจวงไทเฮายังคำนับให้กับไท่จื่อเฟย นางเป็นใครมาจากไหนกัน ยศถาบรรดาศักดิ์เหนือกว่าจวงเย่ว์ซีอย่างนั้นหรือ
ไท่จื่อเฟยมองกู้เจียว
จู่ๆ นางก็อยากเห็นหญิงตรงหน้าถวายบังคมต่อหน้านางเหลือเกิน
ทว่ากู้เจียวกลับไม่คำนับนางแต่อย่างใด
ในเมื่อขันทีใหญ่เป็นคนของตำหนักบูรพา ย่อมไม่ถูกกับตำหนักเหรินโซ่วเป็นธรรมดา แต่เขาก็ไม่อาจลงโทษกู้เจียวได้ หากแต่ทำได้เพียงใช้กฎระเบียบบีบบังคับนาง “ไทเฮารู้หรือไม่ว่าเจ้าไร้มารยาทเช่นนี้”
“ไทเฮาจะรู้หรือไม่แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า”
เป็นฉินกงกงที่เดินเข้ามา
ขันทีใหญ่สีหน้าพลันเปลี่ยนก้มหน้างุดในทันใด
ทั้งที่เป็นขันทีผู้ติดตามข้างกายเจ้านายเหมือนกันแท้ๆ แต่เข้ากลับไม่กล้าเทียบชั้นกับฉินกงกง เพียงคนเดียวที่ฐานะพอจะสูสีกับฉินกงกงคงจะเป็นเว่ยกงกงกระมัง
ไท่จื่อเฟยเห็นฉินกงกงก็เผยสีหน้ามึนงงออกมา
นางมองฉินกงกงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ากู้เจียวพร้อมทั้งคำนับให้นางอย่างนอบน้อม “แม่นางกู้ ไทเฮาประชุมราชสำนักเสร็จแล้ว ถามว่าท่านอยากจะกลับตำหนักเหรินโซ่วไปกินข้าวหรือไม่”
พูดจบเขาก็หันหลังไปคำนับให้กับไท่จื่อเฟย “ข้าน้อยถวายบังคมไท่จื่อเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งรอยยิ้มและกิริยาของเขาไม่มีจุดใดบกพร่อง ทว่าเขาคำนับกู้เจียวก่อนถวายบังคมไท่จื่อเฟย เช่นนี้ก็เท่ากับหักหน้าไท่จื่อเฟยชัดๆ
ประกายบางอย่างแวบขึ้นในแววตาของไท่จื่อเฟย เพียงแต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย “มิต้องพิธีรีตองหรอกฉินกงกง”
“แม่นางกู้เก็บน้ำผึ้งได้หรือยังขอรับ”
“ได้แล้ว” กู้เจียวพยักหน้า “อยู่ในห้องน่ะ”
ฉินกงกงเดินไปหอบน้ำผึ้งสองกระปุกด้วยตนเอง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะ “แม่นางกู้ต้องการอะไรอีกหรือไม่ ในสวนมีดอกไม้มากมาย แม่นางกู้ถูกใจดอกไม้ใดบ้างหรือไม่”
กู้เจียวส่ายหน้า “ข้าไม่ปลูกดอกไม้น่ะ”
ฉินกงกงยิ้มเอ่ย “ขอรับ เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถิด หากยังไม่กลับไปอีกไทเฮาคงร้อนใจแย่”
ไท่จื่อเฟยปิดบังความเกลียดชังในแววตาไว้ไม่มิด
นางรู้จักฉินกงกงมานาน แต่ไม่เคยเห็นเขาเคารพนบนอบผู้ใดเช่นนี้มาก่อน
ยิ่งต่อหน้าเซียวฮองเฮาและจวงกุ้ยเฟยแล้ว เขาแค่ทำไปตามหน้าที่ แต่ที่เขานอบน้อมต่อกู้เจียวนั้นไม่ใช่เพียงแต่นอบน้อมทั่วไป
ในความเคารพนั้นแฝงไปด้วยความรักใคร่และเอ็นดู
ฉินกงกงเห็นไทจื่อเฟยเป็นอากาศธาตุตั้งแต่ต้นจนจบ เอาแต่ถามนู่นถามนี่กู้เจียว ราวกับเป็นห่วงเสียเหลือเกิน
ฉินกงกงไม่เคยพูดมากเช่นนี้มาก่อน
ไท่จื่อเฟยขมวดคิ้ว
ทั้งสองเดินจากไปทั้งอย่างนั้น
วินาทีที่เดินผ่านนาง จู่ๆ กู้เจียวก็ชี้ไปที่พู่บนพื้นแล้วเอ่ยขึ้น “พู่เจ้าตกน่ะ”
ไท่จื่อเฟยก้มหน้ามอง “ไม่ใช่ของข้า”
กู้เจียว “อ๋อ”
ไม่ใช่ของไท่จื่อเฟยเช่นกันอย่างนั้นรึ
วันนี้คนที่ปรากฏตัวในทิศตะวันตกเฉียงใต้ของวังหลวงล้วนแต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพู่นี้เลย
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้
กู้เจียวจากไปพร้อมกับความสงสัย
ในใจของไท่จื่อเฟยก็สงสัยไม่แพ้กู้เจียว นางมองแผ่นหลังของกู้เจียวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล “นางมิใช่ภรรยาของจอหงวนคนใหม่หรอกหรือ เหตุใดถึงได้สนิทสนมกับตำหนักเหรินโซ่วได้”
“ไท่จื่อเฟย!” จู่ๆ นางกำนัลก็นึกบางขึ้นได้พลางเอ่ย “ท่านจำเรื่องที่องค์ชายห้าถูกผลักตกน้ำเมื่อสองวันก่อนหรือไม่เพคะ ซูเฟยลงโทษคนผู้นั้น แต่กลับกลายเป็นว่าถูกไทเฮารับตัวไป แถมคนผู้นั้นยังนั่งบนเกี้ยวหงส์ของไทเฮาด้วยเพคะ”
เรื่องนี้แพร่ไปทั่วทั้งวังหลวง แม้แต้ไท่จื่อเฟยที่ไม่ได้ออกจากตำหนักยังได้ยินข่าว
คนผู้นั้นคือหลานสาวคนโตของซูเฟย คุณหนูใหญ่ตัวจริงของจวนติ้งอันโหว
ได้ข่าวมาว่าฝีมือการแพทย์สูงส่ง ไทเฮาจึงเชิญเป็นแขกประจำ
สีหน้าของไท่จื่อเฟยตกตะลึงไม่น้อย “คือนางอย่างนั้นหรือ”
เซียวลิ่วหลังไม่ได้แต่งงานหญิงบ้านนาสามัญชน แต่กลับเป็นลูกสาวตัวจริงของจวนโหวอย่างนั้นหรือ
วินาทีนั้น หัวใจของไท่จื่อเฟยก็รู้สึกบางอย่างยากจะอธิบาย
นางกำนัลพึมพำ “จะว่าไปแล้ว ลูกสาวจวนโหวผู้นั้นเป็นบ้าหรืออย่างไร จวนอันติ้งโหวใกล้ชิดกับฝ่าบาท เซียวลิ่วหลังก็เป็นจอหงวนคนใหม่ที่ฝ่าบาทเลือกเอง ทั้งพ่อ พี่ชาย และสามีล้วนแต่เป็นคนของฝ่าบาท นางกลับเข้าพวกกับไทเฮาเสียอย่างนั้น! นางไม่กลัวว่าจะถูกพ่อไล่ออกจากตระกูล ไม่กลัวว่าจะถูกสามีทอดทิ้งหรืออย่างไร”
นั่นสินะ นางไม่กลัวเลยหรือ
เหตุใดนางถึง…ใช้ชีวิตอย่างไร้ความกลัว ไร้ความกังวลเช่นนี้
กู้เจียวกลับมาถึงตำหนักเหรินโซ่ว ก็ลงมือทำเป็ดกรอบอบน้ำผึ้งให้หญิงชรา รสสัมผัสคล้ายกับหนังเป็ดเคลือบน้ำตาล แต่ไม่หวานขนาดนั้น ทั้งยังมีรสอมเปรี้ยวเล็กน้อยจากน้ำผึ้ง รสชาติแปลกใหม่ขึ้นกว่าเดิม
ไม่เหมือนฮ่องเต้ที่ต้องกังวลว่าลูกจะแย่งข้าวกิน จวงไทเฮากินอย่างมีความสุข
หลังจากกินข้าวเสร็จ กู้เจียวก็หยิบพู่ขึ้นมา “ท่านย่า ท่านเคยเห็นผู้ใดประดับพู่เช่นนี้หรือไม่”
จวงไทเฮามองพู่แล้วก็ขมวดคิ้ว “พู่อัปลักษณ์เช่นนี้ ไม่เคยเห็นหรอก!”
ก็ไม่ได้น่าเกลียดเสียหน่อย กู้เจียวคิดในใจ
“เดี๋ยวก่อน เหมือนจะเคยเห็นนะ” จวงไทเฮาแหงนหน้ามองฟ้า พลางนึกย้อนความทรงจำอยู่พักหนึ่งแล้วโบกมือปัด “นึกไม่ออกแล้ว”
เอาเถอะ เบาะแสที่เพิ่งได้มาอยู่ในมือกลับเจอทางตันเสียได้
“เจ้าเอาพู่นั่นมาจากไหน” จวงไทเฮาถาม
“เก็บได้น่ะ” กู้เจียวเอ่ยหน้านิ่ง “พู่นี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับมือสังหารที่ลอบฆ่าฝ่าบาท”
“เหอะ” จวงไทเฮาส่งเสียงฮึดฮัด สีหน้าไม่พอใจ “ฆ่าคนทั้งทียังทิ้งร่องรอยไว้อีก!”
กู้เจียว “…”
ช่วงบ่ายกู้เจียวไปที่สวนผึ้งอีกหน แต่ก็คว้าน้ำเหลวเช่นเดิม
ยามย่ำค่ำ นางถึงออกจากวังหลวง
นางสะพายตะกร้าใบน้อย ร่างเล็กบางเดินไปตามถนนใหญ่ที่ผู้คนพลุกพล่าน
ในหัวของนางยังคงคิดถึงเรื่องของมือสังหาร ทันในนั้นก็มีเสียงโครมครามดังออกมาจากในตรอก นางบังเอิญเหลือบไปเห็นพอดี
ภาพที่เห็นคือชายฉกรรจ์สี่ห้าคนกำลังรุมกระทืบชายผอมกะหร่องคนหนึ่ง
ชายคนนั้นกำลังกอดบางอย่างในอ้อมอกไว้แน่น แม้จะถูกทุบตีอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย
กู้เจียวเดินเข้าไปใกล้ มือข้างหนึ่งกระชายชายฉกรรจ์ พริบตาเดียวก็นอนหมอบราบไปกับพื้น
เมื่อคนที่เหลือเห็นว่าของกู้เจียวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตัวเอง ก็พากันวิ่งหนีฉี่แทบเล็ด
กู้เจียวนั่งย่อตัวลงข้างชายคนนั้น ชายผู้นั้นไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นึกว่าจะถูกทุบตีอีกครั้ง เขายกมือขึ้นกุมศีรษะ มืออีกข้างหนึ่งกอดห่อผ้าไว้แน่น
กู้เจียวยื่นนิ้วชี้ออกมาแล้วสะกิดไหล่เขา “ข้าเอง”
หลิ่วอีเซิงได้ยินดังนั้นก็ลดมือที่กุมหัวลง ก่อนจะมองนางอย่างสงสัย
กู้เจียวทอดถอนใจ “เหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้คนรังแกอีกแล้ว”
หลิ่วอีเซิงพยุงร่างของตัวเองขึ้นมาด้วยสีหน้าชอกช้ำ พลางเอ่ยเสียงเรียบ “ก็ปกติไม่ใช่หรอกหรือ ใช่ว่าเจ้าเพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรกเสียหน่อย”
คนพูดเรื่องถูกทุบตีได้อย่างเฉยชาเช่นนี้จะมีผู้ใดอีก
กู้เจียวมองห่อผ้าในอ้อมอกของเขา ก่อนจะร้องอ๋อออกมา “สุดท้ายเจ้าก็ตัดสินใจเรียนหนังสือแล้วอย่างนั้นรึ”
หลิ่วอีเซิงเอ่ยเสียงนิ่ง “ก็แค่อ่านไปอย่างนั้น”
กู้เจียว “อ๋อ”
หลิ่วอีเซิง “…”
หลิ่วอีเซิงอ้าปากเอ่ย “หากไม่มีอะไรข้าไปก่อนล่ะ”
“ให้เจ้า” กู้เจียวยื่นยาทาแผลขวดหนึ่งให้เขา
หลิ่วอีเซิงรับมาตามสัญชาตญาณ ก่อนจะชะงักไปแล้วคืนให้นาง “ข้าไม่มีเงินติดตัวแล้ว”
กู้เจียวตอบ “ข้าให้ ไม่คิดเงิน”
หลิ่วอีเซิงยังคงไม่ยอมรับยาของนางพลางครุ่นคิด เขาเลือกหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากกองราวกับสมบัติล้ำค่าแล้วยื่นให้นาง “ค่ายา”
กู้เจียวเอ่ย “ทายาแผลไม่ได้แพงขนาดนั้น”
หลิ่วอีเซิงตอบ “คิดรวมกับของเมื่อก่อนด้วย”
คนผู้นี้หยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเป็นอย่างมาก ไม่ยอมรับของจากใครมาโดยไม่ให้ค่าตอบแทน ไม่เช่นนั้นป่านนี้เขาคงกลับไปแคว้นเฉินแล้วเกาะท่านปู่กินไปแล้ว
“เช่นนั้นก็ได้” กู้เจียวรับหนังสือจากเขา
ทั้งสองบอกลากันทั้งอย่างนั้น
ฝีเท้าของกู้เจียวชะงักลง แล้วหยิบพู่ในเสื้อขึ้นมาก่อนจะเอ่ยรั้งเขา “สิ่งนี้ เจ้าเคยเห็นหรือไม่…”
“เอ๊ะ นี่มันพู่ของข้า…” หลิ่วอีเซิงเอ่ย ก้มหน้าลูบป้ายหยกในเสื้อของตัวเอง
เมื่อเขาล้วงป้ายหยกออกมาแล้วเห็นพู่ที่เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนห้อยอยู่ เขาจึงเอ่ยขอโทษขอโพย “จำผิดน่ะ ไม่ใช่ของข้า ของข้ายังอยู่”
กู้เจียวชี้ไปที่พู่ของเขา “เจ้าห้อยพู่นี้มาตลอดเลยหรือ”
หลิ่วอีเซิงพยักหน้า “ใช่แล้ว ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้า ห้อยไว้กับป้ายหยกมาโดยตลอด”