บทที่ 400 หากยังมีชีวิต ก็ยังมีโอกาสได้พบจริง ๆ ด้วย

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 400 : หากยังมีชีวิต ก็ยังมีโอกาสได้พบจริง ๆ ด้วย

บทที่ 400 : หากยังมีชีวิต ก็ยังมีโอกาสได้พบจริง ๆ ด้วย

ตระกูลคาร์ดาสไม่เป็นที่รู้จักในนอร์ซินเท่าไร

ต้นตระกูลของพวกเขาไม่ได้ยิ่งใหญ่มีชื่อเสียงมาหลายรุ่นแล้ว พูดได้กระทั่งว่าพวกเขาเป็นผู้ดีมือใหม่ที่โชคดีพอจะเป็นผู้ดีได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังไม่รวมว่าตระกูลคาร์ดาสไม่ใช่ตระกูลใหญ่ด้วย

อันที่จริง ตระกูลนี้ไม่ได้ย้ายมาอยู่ในเขตกลางอย่างเป็นทางการจนกระทั่งเมื่อสองสามชั่วอายุคนที่ผ่านมา

ถ้าไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้ดีไร้อำนาจเหล่านั้นกำลังค่อย ๆ เทขายทรัพย์สินกันในช่วงหลัง ๆ นี้ เกรงว่าพวกเขาอาจยังต้องรอต่อไปอีกสักสองสามปี

แต่ถึงเช่นนั้น ตระกูลคาร์ดาสก็กลายเป็นหนึ่งในคนระดับสูงสุดของนอร์ซินไปแล้ว และนั่นก็มากพอจะทำให้คนนับไม่ถ้วนอิจฉา

ซูซาน หัวหน้าสาวใช้ตระกูลคาร์ดาสยืนอยู่ในห้องโถงดูเพล็กซ์วิลล่า เงยหน้ามองตามชั้นบันไดวนไปสู่จุดสูงสุดของห้องโถง

ที่ชั้นบนสุดคือห้องนอนของคุณหนูใหญ่ นับแต่ตอนที่เธอกลับมาจากงานเลี้ยงวันเกิดคุณหนูจี้ เธอก็แทบไม่ได้ออกมาเลย กระทั่งสั่งอาหารเข้าไปกินในห้อง

และนับแต่คุณหนูกลับบ้าน ทั้งตระกูลก็ค่อย ๆ ตายจาก…

ไม่รู้ว่าซูซานคิดไปเองหรือเปล่า แต่เธอมักตื่นกลัวอยู่เสมอ ทุกคนไร้ชีวิตราวกับเป็นหุ่นยนต์ นาน ๆ ครั้งเธอจะเห็นพวกเขาลอบถอนหายใจ และได้ยินเสียงกระซิบแปลก ๆ จากมุมห้อง

และเมื่อเธอคิดสำรวจ ร่องรอยเหล่านั้นก็หายไปราวเกล็ดหิมะต้องแสงแดด

ทุกคนกลับไปทำหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง ทำให้เธอปรับตัวไม่ถูก

ซูซานเม้มปาก รีบเดินขึ้นบันใดวน

ยิ่งเข้าไปใกล้ห้องคุณหนูมากแค่ไหน ซูซานยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจ และสุดท้าย เธอก็มาหยุดลงที่หน้าประตูมะฮอกกานีบานหนัก

ซูซานสูดหายใจลึก ๆ สองสามครั้ง ไม่เป็นไรหรอก…อย่างน้อยคุณหนูก็ต้องไม่มีปัญหา!

เธอมาอยู่บ้านตระกูลคาร์ดาสตั้งแต่คุณหนูอายุหกขวบ ยังระลึกได้ว่าคุณหนูสมัยเด็ก ๆ ฉลาดและน่ารักขนาดไหน จากนั้นความวิตกของเธอก็ผ่อนลงได้เล็กน้อย

งานอดิเรกเดียวของคุณหนูนับแต่เด็กก็คือศึกษาเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติต่าง ๆ แต่เรื่องพวกนี้กระทั่งนายท่านยังหัวเราะบอกปัด มองว่ามันเป็นเพียงงานอดิเรกเท่านั้น

บางที…นี่อาจเป็นเรื่องที่คุณหนูทำหลอกเล่นขึ้นมา

“คุณหนูชาร์ล็อตต์คะ?” ซูซานเรียกพลางเคาะประตูเบา ๆ “คุณหนูไม่ได้ทานอะไรมาหลายวันแล้ว นายหญิงเรียกคุณไปทานอาหารเย็นข้างล่างค่ะ”

หลังประตูเงียบอยู่เนิ่นนาน หัวใจของซูซานเต้นไม่เป็นจังหวะ

“ทานอาหาร?” เสียงงดงามของเด็กสาวดังมาจากหลังประตู เธอพูดเบา ๆ แต่เสียงแปร่ง ๆ เล็กน้อย “อย่างนี้นี่เอง…ฉันก็หิวอยู่จริง ๆ ซูซาน เข้ามาช่วยฉันแต่งตัวหน่อยสิ”

“เฮ้อ…”

ซูซานถอนหายใจโล่งอก หัวใจที่ดีดขึ้นมาถึงคอร่วงกลับลงไปที่อก

อะไรเนี่ย ไม่ใช่ว่าปกติดีทุกอย่างเหรอ?

เพราะถึงอย่างไร นี่ก็เป็นคุณหนูใหญ่ที่เธอเฝ้ามองการเติบโตมาแต่เล็กแต่น้อย

ซูซานเผยยิ้ม ผลักประตูเข้าไป

ประตูส่งเสียงเอี๊ยด และซูซานก็เห็นเทียนไขสองสามเล่มจุดส่องสว่างอยู่ในห้องมืด ๆ หน้าต่างถูกปิดแน่น…

“คุณหนูคะ?” เธอเรียกอย่างสงสัย

ปัง!

ประตูปิดเสียงดังปังโดยอัตโนมัติทันที

ซูซานกรีดร้องโดยไม่ได้ตั้งใจ หันกลับไปมองประตูที่อยู่ ๆ ก็ปิดเอง เสียงหายใจอันเย็นชาดังมาจากเบื้องหลัง และเสียงบางอย่างคืบคลานก็ดังสู่โสตประสาท

เธอตัวสั่นไปทั่วกาย ดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าซีดเซียว สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงสิ่งที่ยืนอยู่เบื้องหลังเธอ และค่อย ๆ หันหน้ากลับไปมองอย่างกวาดกลัว…

“อ๊าาาาา!!!”

ดวงตาของซูซานเบิกกว้างราวเห็นปีศาจ

ห้องทั้งหมดมีก้อนเนื้อที่แยกไม่ออกระหว่างเนื้อกับเลือดปรากฏขึ้น เส้นหนวดยุ่บยั่บราวกับหนวดปลาหมึกยักษ์ปัดป่ายไปทั่วห้อง ราวกับจะเปลี่ยนห้องนี้เป็นรังของมัน

ใจกลางก้อนเนื้อนั้นโอบรัดร่างของเด็กสาวผิวสีซีดผู้มีสีหน้าบิดเบี้ยวไว้คนหนึ่ง เด็กสาวผู้นี้ไม่ใช่ชาร์ล็อตต์ แต่เป็นไดแอนน์ เพื่อนสนิทของเธอ

ก่อนที่ซูซานจะทันตั้งตัว เธอก็ถูกเส้นหนวดสีดำโอบล้อมจนจมหายไปทันที

กองก้อนเนื้อค่อย ๆ ส่งเสียงกลืนเอื๊อกออกมา และไม่นานศีรษะหนึ่งก็เผยออกมาจากภายใน

ใบหน้าอัปลักษณ์นี้ไม่ใช่ชาร์ล็อตต์ แต่เป็นชายชราหน้าเป็นแผลอย่างไวลด์

“เกือบลืมแน่ะ” ไวลด์ลืมคู่เนตรอสรพิษสีเขียวเข้มอันเย็นชา พลางพูดกับตนเอง “สาวใช้คนนี้น่าจะเป็นคนสุดท้ายแล้วที่ไม่ได้อยู่ใต้บัญชาของฉัน”

ทันทีที่พูดจบ ก้อนหนวดที่ดิ้นยุกยิกก็คลายตัว ร่างของซูซานร่วงลงพื้นราวซากศพ ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทราวหลุมดำ และทันใดนั้นก็เริ่มขยับตัวเหมือนหุ่นยนต์

จู่ ๆ เธอก็บิดแขนตัวเองอย่างที่มนุษย์ทำไม่ได้ พลิกตัวลุกขึ้นมาอย่างแข็งทื่อ

“ท่านนักบวชสูงสุด” ซูซานคุกเข่าลงกับพื้น สีหน้าของเธอคลั่งไคล้

ไวลด์พยักหน้า ผละเส้นหนวดของเขาออกช้า ๆ ร่างโชกเลือดของเขาถูกบีบกลับเหมือนถอดชุดเดรส เผยให้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าอันงดงามของผู้หญิงคนหนึ่ง

นี่คือรูปลักษณ์ของชาร์ล็อตต์ คาร์ดาส

ไวลด์เดินไปยืนที่หน้ากระจกบานใหญ่ที่กินพื้นที่ตั้งแต่พื้นจรดเพดาน มองตัวเองในกระจกอย่างเฉยเมย แต่มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าพลางพูดด้วยเสียงผู้หญิงใสกระจ่าง “ยินดีด้วยค่ะ คุณฟื้นตัวได้ดี ปรับตัวได้เต็มที่ในร่างกายนี้แล้ว”

นี่คือเสียงจากสติของชาร์ล็อตต์ ตอนนี้เธอและไวลด์แทบจะเป็นตัวตนเดียวกันแล้ว สติของทั้งสองยังไม่หลอมรวมกันโดยสมบูรณ์ แต่มันทับซ้อนกัน และความคิดความอ่านของทั้งคู่สอดประสานกัน

“ถ้าไม่ใช่เพราะจดหมายจากอาจารย์ เกรงว่าฉันคงตายไปแล้ว”

ไวลด์ถอนหายใจ จากนั้นก็เริ่มคิดอย่างรวดเร็วอีกครั้ง…

สงครามครั้งนั้นเจ้าของร้านหลินควบคุมอยู่ และที่เรายังมีชีวิตก็เพราะคำแนะนำของเจ้าของร้านหลินด้วยเช่นกันใช่ไหม?

พอคิดแบบนี้แล้ว บางทีเราอาจจะยังสามารถทำงานเพื่อเจ้าของร้านหลินได้ แต่ก่อนหน้านั้น เราต้องให้โจเซฟชดใช้เสียก่อน

ไวลด์หันไปมองซูซานที่ถูกเปลี่ยนวิญญาณเป็นสาวกคนหนึ่งที่เขาเคยกินเข้าไป

“ถ้าจะโค่นโจเซฟ ฉันยังต้องเพิ่มพูนความแข็งแกร่งกว่านี้ ซึ่งการมีอยู่ของนิกายกลืนศพก็ยังจำเป็น”

‘ซูซาน’ กล่าวตอบไวลด์อย่างนอบน้อมด้วยเสียงผู้ชาย “ท่านนักบวชสูงสุด นับแต่การต่อสู้ที่ซอย 67 สาวกส่วนใหญ่ของนิกายกลืนศพตายไปแล้วครับ…ส่วนใหญ่สละชีพ และที่เหลือก็ถูกล้อมจับ”

ไวลด์แค่นเสียงอย่างเย็นชา กล่าวว่า “เจ้าของร้านหลินกะไว้นานแล้วว่าฉันจะร่วมมือกับแม่มดแชปแมนของหอการค้าแอชในนามเจ้าของร้านหลิน และได้ย้ายสาวกบางคนไปอยู่ในหอการค้าแอชมาก่อน ตอนนี้ได้เวลาใช้มันซะที”

“ไปติดต่อพวกเขาซะ ฉันกำลังจะไปหาเชอร์รี่ แชปแมนเดี๋ยวนี้แหละ”

เชอร์รี่ แชปแมนมองออกไปนอกหน้าต่างรถ

ดวงตาอันไร้ประกายสะท้อนภาพตรอกซอยต่าง ๆ เธอไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมต้องไปหาเจ้าของร้านหลินโดยไม่จำเป็นด้วย…

เป็นเพราะความรักที่พูดไม่ได้ในใจหรือเปล่านะ? แต่เธอก็ได้เห็นความห่างชั้นระหว่างตัวเองกับเจ้าของร้านหลินครั้งแล้วครั้งเล่า

คนเราเคารพรักพระเจ้าได้ แต่อย่ารักพระเจ้า

หรือเป็นเพราะว่าเธออยากได้ความช่วยเหลือจากเจ้าของร้านหลิน?

แต่เจ้าของร้านหลินก็ไม่ได้ให้อะไรเธอมา นอกจากคำพูดว่า ‘เราจะได้พบกันอีก’

เชอร์รี่ยกยิ้มเย้ยหยัน เธอมองมือน้อย ๆ ของตนแล้วพึมพำ “เชอร์รี่ต้องใช้ชีวิตให้ดี ไม่ว่าจะพบอุปสรรคอะไร นี่คือบททดสอบที่เจ้าของร้านหลินมอบให้…ถึงอย่างไร ฉันก็ยังอยากพบเจ้าของร้านหลินอีก”

ในตอนที่เธอยังอยู่ในร้านหนังสือของเจ้าของร้านหลิน อากาศยังคงสดชื่นดี แต่พอแยกทางกลับออกมา ฝนฟ้าก็เริ่มคะนองหนัก ชั้นน้ำฝนชะลงมาที่หน้าต่างรถ โลกถูกจมลงไปในทะเลลึก

ความรู้สึกอึดอัดแน่นในจมูก

ทันใดนั้น…

เอี๊ยด!!

รถเบรคกะทันหัน แต่โชคดีที่เชอร์รี่คาดเข็มขัดนิรภัย ไม่อย่างนั้นร่างน้อย ๆ ของเธอคงได้ปลิวออกนอกหน้าต่างเป็นแน่

“เกิดอะไรขึ้น?” เชอร์รี่ขมวดคิ้ว ยื่นหน้าไปมองกระจกหน้ารถทางที่นั่งคนขับ พบเด็กสาวในชุดเดรสสีขาวเจิดจรัสถือร่มยืนขวางรถอยู่ตรงหน้า เธอดูเหมือนกำลังถือหนังสือเล่มหนึ่ง มีกลิ่นกุหลาบลอยอยู่ในสายลมจาง ๆ แต่ดวงตาทั้งสองนั้นก้มมองพื้น

มีเพียงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติรอบ ๆ เท่านั้นที่จะรู้ว่าอีเธอร์รอบข้างกำลังเดือดพล่าน บรรยากาศเต็มไปด้วยภัยคุกคาม

“คุณ…”

เบลล่าจำได้ว่าอีกฝ่ายดูอย่างไรก็เป็นคุณหนูจากตระกูลผู้ดีไร้พลังพิเศษ ในขณะที่เธอกำลังจะพูดอย่างระแวดระวัง เชอร์รี่ก็หยุดเธอไว้

ดวงตาของเชอร์รี่สบเข้ากับเด็กสาว และพลันพบว่าอีกฝ่ายมีเนตรอสรพิษสีเขียวเข้มคู่หนึ่ง

ตลอดมา เธอได้พบเนตรอสรพิษแบบนี้จากคน ๆ เดียวเท่านั้น หรือจะเป็น…?

ดวงตาของเชอร์รี่เบิกกว้าง เห็นเด็กสาวคนนั้นพยักหน้าให้เธอ จากนั้นก็เดินมาที่ข้างรถ เปิดประตูอย่างไม่มีพิธีรีตอง เตรียมเข้ามานั่งในรถโดยไม่รับเชิญ

เชอร์รี่หัวใจเต้นแรง คอแห้งผาก สูดหายใจลึก ๆ แล้วพูดว่า “ไม่เจอกันนานเลยนะคะ…คุณไวลด์”

ไวลด์ผู้ดูเหมือนชาร์ล็อตต์อ้าปากตอบรับทันที แต่เสียงที่ออกมาเป็นเสียงแหบต่ำของชายชรา “ไม่เลวเลย เธอจำฉันได้ด้วย”

เชอร์รี่ทำได้เพียงสะกดกลั้นความปรีดาในใจ

ไวลด์ยังไม่ตาย! เจ้าของร้านหลินส่งเขามาช่วยฉัน!

เขาไม่เคยพูดผิด หากยังมีชีวิตก็ยังมีโอกาสได้พบจริง ๆ ด้วย…!