บทที่ 401 ไปสนุกกันเถอะ

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 401 : ไปสนุกกันเถอะ

บทที่ 401 : ไปสนุกกันเถอะ

มูเอนนั่งแท็กซี่ไปยังเขตกลาง

ในนอร์ซิน ถนนสายต่าง ๆ เชื่อมโยงทุกทิศทางเหมือนใยแมงมุม เพื่อความสะดวกในการเดินทางก็ย่อมมีแท็กซี่หลายคันคอยให้บริการ แต่หลังจากเข้าสู่เขตกลาง

ขนส่งสาธารณะเช่นนี้จะมีน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะในเขตกลางที่มีแต่ผู้ดี แทบทุกตระกูลต่างมีรถที่ยังแพงหูดับจนทุกวันนี้กันทั้งนั้น…

ในทางกลับกัน เด็กสาวในรถแท็กซี่จึงเป็นจุดสนใจ

มูเอนไม่เปลี่ยนหน้า ยังคงนั่งในรถแท็กซี่โทรม ๆ

เธอไม่มีเรื่องให้ต้องใส่ใจมากนัก ในสายตาเธอ เครื่องมือเหล่านี้ต่างเหมือนมนุษย์ ทุกอย่างเท่าเทียมกัน

แต่คนขับรถทั่วไปนั้นแตกต่าง รถแพง ๆ ห้อมล้อมเต็มไปหมด มีกระทั่งรถม้าซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ดีโบราณด้วย หากแตะโดนมันเข้าสักนิด ราคาที่ต้องจ่ายอาจต้องใช้เวลาทำงานอีกสองสามชาติ เขาใช้ผ้าขนหนูปาดเหงื่อ ทนแรงกดดันไม่ไหว สุดท้ายก็จอดรถที่หน้าประตูบ้านใจกลางเขตกลาง

โชเฟอร์หันมองมูเอน เด็กสาวผู้นี้มีการวางตัวที่เฉยชา ดูราวกับคุณหนูใหญ่ตระกูลผู้ดี เขาจึงไม่กล้าดูถูกเธอ

เขาพยักหน้าพร้อมกับโค้งให้เธอ “เอ่อ คุณหนูครับ ผมพารถผุ ๆ ของผมไปข้างหน้าไม่ได้แล้ว คุณลงที่นี่เถอะนะครับ”

ได้ยินเช่นนั้น มูเอนก็หันมามองเล็กน้อย ครุ่นคิดถึงสามัญสำนึกสิ่งที่ต้องทำในเวลาแบบนี้ หยิบเงินจากกระเป๋าส่งให้โชเฟอร์ จากนั้นพยักหน้ากล่าวว่า “ขอบคุณค่ะ ฉันมาถึงแล้ว”

นี่คือครั้งแรกที่มูเอนออกจากร้านหนังสือกลับมาสู่เขตกลาง เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะไม่รู้สึกปั่นป่วนในใจ แต่ด้วยนิสัยสุขุมเฉยเมยของตน มันจึงเป็นความรู้สึกที่เธออธิบายไม่ได้

กว่าครึ่งปีก่อน เธอหนีออกมาจากห้องแล็บของสมาคมแห่งสัจธรรมในเขตกลาง และออกมาในสภาพรุ่งริ่ง

แต่ตอนนี้ เธอสามารถกลับมาที่นี่อย่างเปิดเผยได้แล้ว…

แน่นอน มันเป็นเพียงคลื่นเล็กน้อยในใจ ซึ่งไม่นานก็สงบลง

วัตถุประสงค์หลักของการกลับมาของเธอคือ การเปลี่ยนคฤหาสน์ที่จี้จือซู่โอนให้มาหลังนี้ไปเป็นร้านหนังสือสาขาใหม่ และเริ่มแผนของพวกเธอในท้ายที่สุด…

มูเอนบอกวินเซนต์เกี่ยวกับการเปิดสาขาใหม่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่เมื่อมูเอนออกจากรถมานับหมายเลขบ้าน เธอก็ยังไม่พบวินเซนต์ที่คฤหาสน์ A48

ทว่าเธอก็ยังมาเร็วกว่าเวลานัดหมายนิดหน่อย ดังนั้นจึงไม่รีบร้อน

คฤหาสน์ A48 นี้แต่เดิมคือคฤหาสน์ตระกูลเฟร็ด แต่โชคร้ายที่ลูกชายคนรองของตระกูลเฟร็ดดันไปรบกวนเจ้าของร้านหลินเข้า

ตระกูลเฟร็ดผู้โด่งดังในเขตกลาง แม้แต่ตระกูลจี้ยังต้องไว้หน้าถูกทำลายลงในพริบตา ครึ่งคฤหาสน์ลุกโชนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านไปในบัดดล

ทว่าคฤหาสน์ตระกูลเฟร็ดตรงหน้ามูเอนได้ถูกจี้จือซู่ซื้อไปตกแต่งใหม่ คืนสภาพอันงดงามของมันกลับมาแล้ว ดูไม่ต่างจากก่อนการตายนายเก่าของมันเลยสักนิดเดียว

บางครั้ง เจ้าของร้านหลินก็โหดร้ายจริง ๆ…

แต่ความโหดร้ายของเขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่มนุษย์ เขาโหดร้ายและอ่อนโยนตามช่วงเวลา

มูเอนยืนครุ่นคิดที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลเฟร็ด

จากกล้องส่องทางไกล เอลิซ่า หญิงสูงศักดิ์จากตระกูลมอร์แกนดีบ้านข้าง ๆ เห็นเด็กสาวอายุราว ๆ สิบห้าถึงสิบหกปีมายืนอยู่ตรงหน้าบ้านตระกูลเฟร็ดซึ่งกลายเป็นบ้านร้าง

สีหน้าของเธอปรากฏความสงสัย

“ปัวซง เกิดอะไรขึ้นกับบ้านตระกูลเฟร็ดตอนนี้เหรอ?” เอลิซ่าถามพ่อบ้านข้าง ๆ ตัวเธออย่างสงสัย พลางเลิกคิ้วขึ้น “ในฐานะผู้ดี ฉันจำเป็นต้องรู้ว่า ว่าที่เพื่อนบ้านเราเป็นคนดีหรือเปล่า?”

“ฉันจำได้ว่าคฤหาสน์ตระกูลเฟร็ดถูกซื้อโดยบริษัทโรลล์ของตระกูลจี้นะ พวกเขาขายมันอีกครั้งแล้วเหรอ?”

พ่อบ้านตอบว่า “ไม่ใช่ครับ ตามที่คุณทราบเลย คฤหาสน์นี้ยังคงเป็นของตระกูลจี้ ไร้ข่าวการโอนครับ”

เอลิซ่าขมวดคิ้ว

แต่ว่าเด็กสาวผิวขาวผู้สะอาดหมดจดในชุดซอมซ่อคนนี้เป็นพนักงานของบริษัทโรลล์หรือ?

เธอดูไม่เหมือนแม่บ้านหรือคนใช้เลย คนใช้มีรูปลักษณ์สูงส่งแบบนี้ไม่ได้หรอก

และในขณะเดียวกัน คนรวย ๆ ที่ไหนมาใส่ชุดคนใช้ซอมซ่อกันบ้าง? คนใช้เป็นสมบัติสำคัญของผู้ดี มันสื่อถึงหน้าตาในสังคม…

“เด็กคนนี้มาจากตระกูลจี้เหรอ?”

เอลิซ่าขมวดคิ้ว

ปัวซงค้อมตัวก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าว จ้องมองมูเอนอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงส่ายหน้ากล่าว “เรียนคุณนาย เด็กคนนี้ไม่ได้มาจากตระกูลจี้ครับ”

ได้ยินเช่นนั้น เอลิซ่าก็กางพัดขนนกออกปิดบังใบหน้า ยกชายกระโปรงขึ้นพลางพูดยิ้ม ๆ “ออกไปสนุกกันเถอะ”

วันคืนที่เอาแต่นั่งเบื่อในห้องมันจืดชืดเกินไป

พฤติกรรมแสวงหาความเร้าใจนี้เป็นการกระทำฆ่าเวลาเดียวของเอลิซ่า

มูเอนจ้องมองคฤหาสน์อย่างเหม่อลอย รอคอยวินเซนต์และผู้ช่วยของเขามาถึง

แม้ว่าคฤหาสน์เดิมจะงดงามตระการตา แต่มันก็ไม่เหมาะจะทำร้านหนังสือ และต้องปรับโฉมใหม่

“อากาศดีจริง ๆ นะคะวันนี้”

อยู่ดี ๆ เสียงผู้หญิงที่ดัดจริตจนโอเวอร์ก็อุทานขึ้น…

เอลิซ่าผู้สวมหมวกขนนกอย่างผู้ดีเดินออกมาพร้อมคนรับใช้ตามมาเป็นขบวน ตรงเข้ามาหามูเอนแล้วพูดยิ้ม ๆ “เป็นเด็กสาวที่สวยจริง ๆ มาทำอะไรที่นี่เหรอคะ? ต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า?”

มูเอนเงยหน้ามองเธอ แต่เมินเฉยทุกคำพูด

หยาบคายจัง!

เอลิซ่าเลิกคิ้ว เส้นเลือดปูดเขียวขึ้นบนหน้าผาก แต่ด้วยกิริยาผู้ดีสูงศักดิ์…และความงามอันน่าเหลือเชื่อของเด็กสาวตรงหน้าทำให้เธออดทนไว้

“คุณหนูจ๊ะ มาทำอะไรที่นี่เหรอ? ถ้าอยากดูบ้าน ราคามันแพงมากเลยนะคะ” เอลิซ่าพูดยิ้ม ๆ “อืม แต่ก็นะ สาวน้อยยังช่างฝันได้แหละ…”

มูเอนตัดคำพูดเพ้อเจ้อของเธอออกไปจากสมองโดยอัตโนมัติ แต่เธอก็นึกถึงคำพูดที่เจ้าของร้านหลินกล่าวไว้ได้ สร้างสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้านก็เป็นเคล็ดลับธุรกิจเช่นกัน

ดังนั้นเธอจึงลังเล และกล่าวขึ้นว่า “ฉันมาเปิดสาขาร้านหนังสือของเราให้เจ้านายค่ะ”

“หือ?” เอลิซ่าดูจะได้รับคำตอบที่ไม่คาดฝัน “ฉันเพิ่งพูดไปเองนะคะ ราคาบ้านแพงมากเลยนะ…”

“บ้านหลังนี้ คุณจี้จือซู่ให้เจ้านายฉันไว้ค่ะ”

มูเอนไม่อยากคุยกับเธอต่อแล้วจริง ๆ จึงตัดบทห้วน ๆ

มือที่กระพือพัดของเอลิซ่าค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็จำคำพูดของพ่อบ้านได้ แล้วกล่าวขึ้นยิ้ม ๆ ว่า “การโกหกเป็นนิสัยไม่ดีนะคะ ถ้ามีใครจากตระกูลจี้ได้ยินเข้า เรื่องจะแย่เอาได้ ระวังคำพูดและการกระทำไว้ด้วยนะคะ”

มันโง่เง่าเกินไปถ้าจะมาพูดไร้สาระในเขตกลาง…

แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งเจ้าของร้าน เด็กสาวตรงหน้าเป็นแค่ผู้ช่วย ถ้าอย่างนั้นคนที่ยั่วยุเด็กสาวไม่รู้ตาสีตาสาคนนี้มาก่อเรื่องระรานคนก็คงเป็นเจ้าของร้านสินะ?

เอลิซ่าพึมพำในใจ เจ้าของร้านคนนี้นี่แย่จริง ๆ ปล่อยเด็กผู้ใสซื่อคนนี้มาได้ ถ้าไม่ใช่เธอ แต่เป็นผู้ดีคนอื่น เด็กคนนี้อาจเจอเรื่องยุ่งก็ได้ใช่ไหม?

จริง ๆ เลย…

ยิ่งกว่านั้น การจะมาเปิดร้านหนังสือที่นี่ไม่ต่างกับความคิดไร้สมอง ผู้ที่อาศัยแถวนี้ไม่ใช่ตระกูลคนทำงาน บ้านใครบ้างจะไม่มีห้องสมุดกว้างเป็นร้อยเป็นพันตารางเมตร ใครจะมาสนใจซื้อหนังสืออีกกัน?

จากคำพูดไม่กี่คำของมูเอน เอลิซ่าได้พรรณาในใจเป็นล้าน ๆ คำเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง ‘เจ้านายใจจืดใจดำลักพาตัวเด็กไปใช้แรงงาน แล้วจงใจรังแกเธอให้เสียหน้าเป็นที่สนุกสนาน’ เป็นที่เรียบร้อย

ทว่าโชคดี เป็นเธอที่ได้พบเด็กสาวคนนี้ ขอเพียงเปิดโปงคำโกหกของเจ้าของร้านได้ เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้ก็จะรู้สึกขอบคุณเธอมาก ๆ ใช่ไหม? แล้วตอนนั้น…

มุมปากของเอลิซ่ายกขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างหยุดไม่อยู่ รีบยกพัดขนนกขึ้นบังใบหน้า

“ฉันบอกแล้วแท้ ๆ แต่คุณนี่เจอคนเลวเข้าจริง ๆ นะคะ…”

เอลิซ่ายังคงยิ้มเหยียด แต่โชคร้ายที่เธอถูกขัดจังหวะอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่มูเอน แต่เป็นแขกไม่ได้รับเชิญกลุ่มหนึ่ง เธอกะพริบตามองผู้คนที่จู่ ๆ ก็แห่กันมาหา

วินเซนต์ผู้แต่งกายด้วยชุดขาวเดินมาหาจากที่ไหนไม่รู้ บนชุดของเขาปักลายดวงอาทิตย์ด้วยด้ายทอง มีสาวกหลายสิบคนติดตามมาข้างหลัง เมื่อสาวกเหล่านั้นเดินมาอยู่ตรงหน้ามูเอน พวกเขาก็คุกเข่าลงคำนับ ร่ายคำทักทายเสียงต่ำ

“ดวงจันทร์อันยิ่งใหญ่ ขอท่านโปรดส่องสว่างคู่รัตติกาลตราบนาน”

เอลิซ่าเบิกตาเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง “…เอ๊ะ?”

วินเซนต์เดินมาหามูเอน มือทาบอกคำนับเธอเช่นกัน กล่าวว่า “ขออภัยด้วยจริง ๆ ครับคุณมูเอน จู่ ๆ ผมก็ได้รับข่าวการปรากฏกลิ่นอายของไวลด์ เลยล่าช้าไปครู่หนึ่ง”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันมาเร็วเอง”

มูเอนที่ดูจะคุ้นเคยมากต่อการคำนับของวินเซนต์ จึงพยักหน้าตอบ

เอลิซ่าอ้าปากน้อย ๆ ของเธอ ดวงตาทรงอัลมอนด์เบิกกว้าง ซ่อนความประหลาดใจไว้ไม่มิด เธอรู้จักวินเซนต์ สังฆราชของศาสนาแห่งตะวันซึ่งเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน ด้วยการเผยแผ่ศาสนาอย่างรวดเร็วของศาสนาแห่งตะวัน เขาจึงกลายเป็นที่จับตามองของเหล่าขุนนางในเขต A อย่างร้อนแรง และแน่นอนว่ามีบางคนที่เกลียดเขาสุด ๆ ด้วย

แต่กระทั่งสามีของเอลิซ่า ผู้นำตระกูลมอร์แกนดี ยังต้องลำบากยากเย็นกว่าจะสามารถนัดหมายพบเขาได้

ทว่าบุคคลเช่นนี้กลับคำนับเด็กสาวจน ๆ ตรงหน้าเสียใหญ่โต ในขณะที่เอลิซ่ากำลังอึ้งค้าง แขนของเธอก็ถูกกระชากอย่างแรงและเสียมารยาท

“ใครเนี่ย?” เอลิซ่าเบิกตากว้าง แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ฟาดงวงฟาดงา ก็พบว่าเป็นสามีผู้ไม่เคยยิ้มของเธอนั่นเอง

“ใครบอกให้คุณออกมาเนี่ย?”

คุณมอร์แกนดีสบถ

เขาปาดเหงื่อ รีบกล่าวขอโทษมูเอนด้วยรอยยิ้ม “ผมต้องขออภัยความไม่รู้ของภรรยาผมด้วย ผมรบกวนคุณหญิงแล้ว”

มูเอนเหลือบมองเขาอย่างไม่ได้ถือสาเลยสักนิด เธอส่ายหน้า “ไม่หรอกค่ะ แค่คุยกันเฉย ๆ”

เมื่อคุณมอร์แกนดีเห็นมูเอนเมินเขา จึงไม่อยากเสียหน้า ลากเอลิซ่ากลับบ้านทันที

ทันทีที่เขากลับเข้าไปในบ้าน เขาก็แบกเอลิซ่าขึ้นบ่า นั่งลงที่โซฟา ถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “คุณรู้ไหม? ผมเพิ่งได้ข่าวมาว่าบ้านตระกูลเฟร็ดเพิ่งถูกทำลายไป ตระกูลจี้มอบมันให้คน ๆ หนึ่งชื่อหลินเจี๋ย และผู้ช่วยของคน ๆ นั้นคือนักบุญในตำนานของศาสนาแห่งตะวัน! คนพวกนั้นมาจากศาสนาแห่งตะวัน ถึงพวกคนทั่วไปจะไม่รู้ แต่พวกเรารู้ดีว่าคนพวกนั้นก็คือโรคจิตที่พังโบสถ์แห่งจุดสูงสุดในชั่วพริบตา!”

คุณมอร์แกนดีสูดหายใจลึก ๆ พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “บอกผมที เมื่อกี้คุณอยากรังแกคนอีกแล้วใช่ไหม? เหมือนพวกเด็กสาวที่คุณเคยเลี้ยงน่ะ?”

ใช่แล้ว ในสังคมผู้ดีมีเรื่องเสื่อมทรามเสมอ และคุณหญิงเอลิซ่าก็มีงานอดิเรกเป็นการเลี้ยงเด็กสาวหน้าตาสวยงาม…ไว้เป็นเครื่องมือรองรับอารมณ์ข่มเหงนั่นเอง

“ฉันไม่รู้ ฉันเพิ่งเห็นว่าเด็กสาวคนนั้นสวยมาก ๆ…”

เอลิซ่าเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างขุ่นเคือง กล่าวว่า “หลินเจี๋ยคนนั้น…ใครเหรอคะ?”

คำถามนี้ทำคุณมอร์แกนดีชะงักเกาหัว เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าของร้านหนังสือจะสำคัญต่อตระกูลจี้ขนาดนั้น และทำไมเขาถึงกลายมาเป็นนายใหญ่ของนักบุญประจำศาสนาแห่งตะวันผู้สูงส่งได้ “ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นคนที่ทรงอำนาจมาก ๆ! เรายุ่มย่ามกับเขาไม่ได้เลย!”

“อีกอย่าง ผมได้ยินว่าเขาร่วมมือกับตระกูลจี้เพื่อขายหนังสือห้าเล่มมาก่อน งานประมูลกำลังจะเริ่มแล้ว ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดี…”

เอลิซ่านั่งลงบนโซฟาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง แต่หัวใจของเธอลุกโชนอีกครั้ง…

ใครคือเจ้าของร้านหนังสือคนนี้? เพราะหนังสือที่เขาขายแตกต่างจากหนังสือทั่วไปมากเหรอ?

การประมูลครั้งนี้ เธอต้องไปดูให้จงได้!