ในชั่วอึดใจนั้น องค์หญิงฝูชิงพะว้าพะวังใจยิ่งนัก
ดวงตามองไม่เห็นมานานแรมปี ไม่มีผู้ใดเข้าใจรสสัมผัสของการใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิดได้ดีไปกว่านาง และไม่มีผู้ใดถวิลหาแสงสว่างมากเท่านางอีกแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนั้นยิ่งทำให้นางวิตกกังวลกับผลลัพธ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นยิ่งนัก
ลึกลงไปในจิตใจ นางได้แต่โอบกอดความหวังเอาไว้ ไม่อาจเปรยปรายให้ผู้ใดทราบ สุดท้ายจึงบอกเพียงนางไม่รู้เท่านั้น
“ผ้าผืนนี้…” จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปถามเจียงซื่อ
เจียงซื่ออมยิ้มพลางจูงมือองค์หญิงเดินไปที่กลางห้อง
ขณะนั้นเป็นช่วงเวลารุ่งสางที่มีแสงแดดพอเหมาะพอดี หน้าต่างในห้องโถงมีแสงลอดผ่าน ด้านในจึงสว่างไสวไม่ต่างกัน
ภายใต้ผ้าที่ปิดอยู่ องค์หญิงฝูชิงรับรู้ถึงแสงสีแดงคลุมเครืออย่างไม่อาจสาธยายออกมาเป็นถ้อยคำ
“ฝูชิง เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” ฮองเฮารีบเดินมาหาองค์หญิงพลางถามอย่างระมัดระวัง
องค์หญิงฝูชิงยังคงเงียบงัน
ฮองเฮาเหลือบมองไปที่เจียงซื่อ สิ่งที่นางเห็นมีเพียงความสง่าภาคภูมิ “ผ้าที่ปิดตาองค์หญิงจะแกะออกได้เมื่อไหร่กัน”
“ฮองเฮาอย่าเพิ่งร้อนพระทัยไปเพคะ” ประโยคธรรมดาของเจียงซื่อทำให้ฮองเฮาจนด้วยคำพูด
งูพิษมีจุดพิฆาตฉันใด มนุษย์ก็มีจุดอ่อนฉันนั้น ในทำนองเดียวกัน องค์หญิงฝูชิงก็เป็นจุดอ่อนของฮองเฮา
ในขณะนั้นฮ่องเต้มิได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่รอคอยอย่างอดทน
ภายใต้ความเงียบงัน แม้แต่เหล่านางในที่คอยรับใช้อยู่ในวังต่างก็หายใจแผ่วเบาเท่าที่จะทำได้ ประหนึ่งว่าตนไม่ได้อยู่ในที่นั่น
ดวงตาขององค์หญิงมองไม่เห็นมานานแรมปี มีหมอหลวงมารักษาคนแล้วคนเล่า มีหมอชาวบ้านที่ว่าเก่งกาจมาดูอาการอีกนับไม่ถ้วน แต่ทว่าก็ไม่มีผู้ใดรักษาได้ พระชายาเยี่ยนอ๋องได้พบองค์หญิงเพียงครั้งเดียว ก็บอกว่าสามารถรักษาดวงตาขององค์หญิงได้อย่างนั้นหรือ
เป็นดังที่ฮองเฮาตรัสไว้ไม่มีผิด พระชายาเยี่ยนอ๋องละเมอเพ้อพกไปเอง!
นางคงลืมคิดไปว่าฮองเฮาก็ทรงมีอารมณ์โกรธเกรี้ยวเฉกเช่นคนอื่นๆ
พระยาชาเยี่ยนอ๋องมีวิญญาณร้ายสิงร่างหรืออย่างไร ถึงได้อาจหาญทำการไร้สาระถึงเพียงนี้
ผู้คนในที่นั่นต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานา จนกระทั่งเจียงซื่อเริ่มพูด “องค์หญิงอย่าเพิ่งขยับนะเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะแก้ผ้าปิดตาให้เพคะ”
“ข้า…” องค์หญิงฝูชิงคว้าหมับเข้าที่มือของเจียงซื่อ ร่างกายของนางเกร็งสะท้านไปทั้งตัว
นางตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นความสงบนิ่ง
ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาต่างก็มองปฏิกิริยาขององค์หญิงจนลืมหายใจ
องค์หญิงฝูชิงยังคงหลับตาแน่น ร่างกายของนางแข็งทื่อ
“องค์หญิงลองลืมตาดูเพคะ”
เมื่อได้ยินเสียงนุ่มนวลทว่ามั่นคงข้างหู เปลือกตาของนางก็พลันสั่นไหว
นางไม่กล้าลืมตา
หญิงสาวยังคงหลับตาอยู่พักใหญ่ ใบหน้าแฉล้มขาดเลือดไร้สี
จนกระทั่งฮองเฮาอดรนทนไม่ไหวจนต้องเร่งเร้า “ฝูชิง เจ้าลองลืมตาดูเถิด”
ความลังเลใจปรากฏผ่านบนใบหน้าขององค์หญิง
เสียงนุ่มนวลข้างหูดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง “องค์หญิงมิได้ตรัสเองหรือเพคะว่า อย่างแย่ที่สุดก็แค่กลับไปเป็นดังเช่นที่ผ่านมา ดังนั้นยังทรงหวั่นพระทัยเรื่องใดกันเพคะ”
ประโยคนั้นกระตุ้นให้นางตกลงปลงใจได้เสียที ท้ายที่สุดนางก็ลืมตาขึ้น
นางค่อยๆ หรี่ตาปรับภาพตรงหน้าให้ชัดเจน สิ่งที่นางเห็นคือเสาสลักลายมังกรคู่หงส์ที่ถูกลงสีอย่างวิจิตรบรรจง
ครั้นเคลื่อนสายตามองไปรอบๆ ก็สบเข้ากับใบหน้าที่ทรงสง่ากอปรกับริ้วรอยที่ผ่านกาลเวลาของฮองเฮา
น้ำตาขององค์หญิงฝูชิงก่อตัวเป็นเม็ดใหญ่ก่อนจะร่วงหล่นลงมา
ฮองเฮาร้อนใจรีบเข้าไปคว้ามือของนางมากุมไว้ “อาเฉวียน เกิดอะไรขึ้น”
องค์หญิงฝูชิงร้องไห้เสียงดัง
ต่อหน้าฮ่องเต้ ฮองเฮา อวี้จิ่น เจียงซื่อ และบรรดาข้ารับใช้ที่อยู่ในเหตุการณ์ องค์หญิงฝูชิงร้องห่มร้องไห้แทบขาดใจ ประหนึ่งว่าลืมสถานะการเป็นเชื้อพระวงศ์ไปเสียสนิท
เนื่องด้วยความตื่นตระหนกทำให้ฮองเฮาพ่นคำถามออกมาไม่หยุด “อาเฉวียน เกิดอะไรขึ้น อย่าทำให้แม่ใจไม่ดีเช่นนี้…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ดันตัวฮองเฮาออกไป แล้วเข้าไปโอบไหล่องค์หญิง “อาเฉวียน นี่เจ้ามองเห็นแล้วงั้นหรือ”
ฮองเฮาคนเซ่อ ด้วยนิสัยของฝูชิงแล้ว หากนางมองไม่เห็นจะร้องไห้ขนาดนี้ได้อย่างไร เพียงแค่รอยยิ้มของนางก็บอกได้ว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว…
แม้ว่าจะคาดเดาเช่นนั้น ทว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ยังเฝ้ารอคำตอบยืนยันจากองค์หญิงฝูชิงอย่างร้อนใจ
องค์หญิงฝูชิงกอดจิ่งหมิงฮ่องเต้แน่นพลางร้องไห้ฟูมฟายจนลมหายใจขาดห้วง “เสด็จพ่อ ลูกมองเห็นแล้วเพคะ… เคราของเสด็จพ่อช่างยาวเหลือเกิน…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กระตุกมุมปากหนหนึ่งก่อนคลี่ยิ้มด้วยความยินดี หยดน้ำตาหลั่งไหลเป็นสาย “มองเห็นก็ดีแล้ว มองเห็นก็ดีแล้ว ข้ารู้ว่าฝูชิงเป็นเด็กดีจะต้องมีโชคดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน…”
เสียง ตุ้บ ดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของเหล่านางใน “ฮองเฮา ฮองเฮา…”
เพราะความตื่นเต้นจนเกินจะรับไหวทำให้ฮองเฮาเป็นลมล้มลงไป
ฝ่ายองค์หญิงฝูชิงก็ตกใจไม่แพ้กัน นางรีบวิ่งเข้าไปพลางร้องตะโกน “เสด็จแม่ ฟื้นสิเพคะ…”
เหล่านางในและขันทีหันไปมองทางฮ่องเต้เป็นตาเดียว ต่างก็รอคำสั่งให้ตามแพทย์หลวง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ก้าวฉับไปหาฮองเฮา แล้วยื่นมือไปหยิกร่างของนาง
จะเรียกหมอหลวงมาทำไมกัน ฮองเฮาก็เก่งแต่สร้างเรื่อง
จากน้ำหนักมือที่หยิกเข้าเต็มแรง ทำให้ฮองเฮารู้สึกตัวโดยพลัน ทันทีที่ลืมตามาเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้ นางก็รีบถามขึ้นว่า “ฝูชิงล่ะเพคะ”
นางลุกพรวด “ฝ่าบาท นี่หม่อมฉันฝันอยู่รึเพคะ”
องค์หญิงฝูชิงจับแขนฮองเฮาด้วยน้ำตานองหน้า “เสด็จแม่ ท่านมิได้ฝันไป ลูกมองเห็นแล้วจริงๆ เพคะ…”
ฮองเฮาเริ่มรู้สึกได้ถึงความเป็นจริง นางสวมกอดบุตรสาวพลางร้องไห้ด้วยความขมขื่น
เสียงร้องไห้ของสองแม่ลูกดังกังวานไปทั่วห้อง ส่วนบรรดานางในรับใช้ต่างก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างเงียบเชียบ
แม้จะเห็นภาพน่าอับอายของฮองเฮาและองค์หญิง รวมถึงเหล่านางในที่ร้องไห้ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์จะทำเช่นนั้น แต่จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับมิได้รู้สึกงุ่นง่านเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ครั้นความตื่นเต้นทั้งหลายผ่านพ้นไปแล้ว ทุกสายตาก็หันไปจับจ้องที่เจียงซื่อ
ความคิดของฮองเฮาเปลี่ยนไป สายตาที่มองไปทางเจียงซื่อในขณะนี้เป็นความเมตตาอย่างเหลือล้น “พระชายาเยี่ยนอ๋อง ข้าไม่คิดมาก่อนว่าเจ้าจะรักษาดวงตาของฝูชิงได้จริงๆ ข้า… ข้าขอบใจเจ้ามาก…”
เจียงซื่อคุกเข่าลงต่อหน้าฮองเฮา “หม่อมฉันมิบังอาจรับคำขอบคุณนั้นได้เพคะ แค่เพียงได้รักษาพระเนตรขององค์หญิง หม่อมฉันก็รู้สึกสุขใจล้นพ้นแล้วเพคะ”
เมื่อชาติที่แล้ว ในตอนที่นางกลับมาจากหนานเจียงพร้อมอวี้ชี แม้จะรู้ว่าองค์หญิงฝูชิงป่วยด้วยโรคใด แต่กลับไม่กล้าบอกว่าตนสามารถรักษาให้หายได้
นางรู้สึกผิดอย่างยิ่ง
นางอยู่ในสถานะของอาซังผู้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับซานเซ่าไหน่ไนแห่งอันกั๋วกงที่หายตัวไป นางกลัวว่าการกระทำของนางจะกลายเป็นที่สนใจและมีคนมาพบเบาะแสเข้า
ด้วยเหตุนี้นางจึงพยายามเก็บตัว และใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบกับอวี้ชีเท่านั้น
แต่หลังจากนั้น นางได้ทราบข่าวว่าองค์หญิงฝูชิงสะดุดล้มจากแท่นสูงจนเป็นเหตุให้นางเสียชีวิตในเวลาต่อมา…
แม้ว่าการตายขององค์หญิงฝูชิงจะมิได้เกี่ยวข้องกับนางโดยตรง แต่นั่นก็ทำให้นางหนักใจอยู่นาน บางครั้งนางก็อดคิดไม่ได้ว่า หากตอนนั้นนางรักษาดวงตาขององค์หญิงจนหายดี เด็กสาวคงไม่เสียชีวิตลงอย่างน่าอนาถเช่นนี้
เมื่อได้กลับมาอยู่ในสถานการณ์แบบเดิมเป็นครั้งที่สอง เจียงซื่อจึงไม่ขอตกอยู่ในห้วงความรู้สึกเช่นนั้นอีกแล้ว เมื่อนางได้ใช้ความสามารถของตนรักษาดวงตาขององค์หญิง ในอนาคตฮองเฮาที่รักบุตรสาวอย่างสุดหัวใจก็จะคอยเข้าข้างนางเป็นแน่
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่เจียงซื่อด้วยความสงสัยใคร่รู้และถามว่า “เจ้ารักษาดวงตาของฝูชิงได้อย่างไร”
เจียงซื่อเตรียมใจสำหรับคำถามไว้อยู่แล้วจึงตอบอย่างใจเย็น “หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบเพคะ เพียงแต่แค่ได้เห็นพระเนตรขององค์หญิงก็ทราบได้ทันทีว่ามีปรสิตฝังตัวอยู่ด้านใน ซึ่งอาการเช่นนี้สามารถรักษาให้หายได้เพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ประหลาดใจ “เป็นศาสตร์ความรู้ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดงั้นรึ”
ในยุคนี้มีเรื่องพิสดารที่เกิดจากศาสตร์ความรู้ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ผู้คนจึงไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องหลอกลวง แม้แต่คำพูดของปราชญ์ยังเคยกล่าวไว้ว่า “บุคคลผู้รู้รอบแต่กำเนิดถือเป็นยอดคน บุคคลผู้รู้รอบจากการร่ำเรียนถือเป็นผู้รองลงมา”
สำหรับเจียงซื่อแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้เชื่อทุกสิ่งที่นางพูด แต่ครั้นเห็นว่านางมิได้มีท่าทีโป้ปดจึงหัวเราะร่าพลางบอก “เจ้าเจ็ด เจ้านี่หาสะใภ้ได้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน”
ไม่ว่าสิ่งที่นางพูดจะเป็นเรื่องโกหกหรือไม่ อย่างไรเสีย เรื่องที่นางรักษาดวงตาของฝูชิงจนหายดีก็เป็นความจริงอย่างที่สุด