ท่าทีของจิ่งหมิงฮ่องเต้ทำให้เจียงซื่อรู้สึกโล่งใจ เพราะทุกสิ่งเป็นไปตามที่คาดไว้
เมื่อนางตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ปิดบังความสามารถของตนเองอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกลให้บุปผาผลิบานในงานเลี้ยง หรือการรักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิง รวมไปถึงเรื่องราวแปลกประหลาดมากมายในอนาคต ล้วนแต่ต้องมีคำอธิบายแก้ต่างเตรียมไว้พร้อม
แต่ในเมื่อนางเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่เกิดและเติบโตขึ้นในจวนหลังใหญ่เช่นนี้แล้วจะแก้ต่างได้อย่างไร คงไม่อาจสร้างเรื่องปรมาจารย์ลึกลับมาตบตาได้
แทนที่จะเล่าเรื่องโป้ปดพวกนั้น สู้นางบอกว่าเป็นศาสตร์วิชาที่ติดตัวมาแต่กำเนิดยังฟังขึ้นมากกว่า เพราะการที่คนฟังจะเชื่อหรือไม่นั้น ก็คงทำได้แค่รับฟังเฉยๆ
โดยมากแล้ว เหล่าผู้บังคับบัญชาหาได้ใส่ใจเหตุผลนานัปการ สิ่งเดียวที่เขาเหล่านั้นให้ความสนใจคือผลลัพธ์
ดูเหมือนเจียงซื่อจะรู้ว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ส่งคนไปตรวจสอบ แต่โชคดีที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของนางมิได้มีความผิดปกติโจ่งแจ้ง จึงไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลใจ
อวี้จิ่นเหลือบมองไปที่เจียงซื่อและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เป็นเพราะเสด็จพ่อทรงมีวิสัยกว้างไกล ถึงได้มอบสะใภ้ที่ดีเช่นนี้ให้แก่ลูก”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หัวเราะร่า
ก็เขาเคยบอกไว้แล้วว่า การมีสะใภ้ที่เล่นกลได้สักคน ในวังหลวงแห่งนี้คงมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นไม่น้อย
องค์หญิงฝูชิงเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าเจียงซื่อ แล้วโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “พี่สะใภ้เจ็ด ขอบพระทัยเพคะ…”
เจียงซื่อยื่นมือมาพยุงตัวองค์หญิงไว้ “องค์หญิงมิจำเป็นต้องทำเช่นนี้เลยเพคะ องค์หญิงเพียงประชวรด้วยโรคตา ประจวบเหมาะกับที่หม่อมฉันสามารถรักษาโรคนั้นได้ นี่คงเป็นประสงค์ของสวรรค์เป็นแน่เพคะ”
“ประสงค์ของสวรรค์งั้นหรือ” องค์หญิงฝูชิงปรารภกับตัวเอง แล้วดวงตาของนางก็เริ่มแดงก่ำขึ้นอีกครั้ง
ตั้งแต่นางจำความได้ นางต่อว่าฟ้าสวรรค์ถึงความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อดวงตาของนางหายดีอาจยืนยันได้ว่าฟ้าสวรรค์มิได้หลงลืมนาง
“ไม่ว่านี่จะเป็นประสงค์ของสวรรค์หรือไม่ แต่อย่างไรผู้ที่รักษาดวงตาของข้าก็คือพี่สะใภ้เจ็ด ฝูชิงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่งเพคะ…” องค์หญิงฝูชิงกล่าวพลางเบนสายตาไปทางฮองเฮา
อารมณ์ของฮองเฮาในขณะนั้นยังคงไม่สงบดี
นางมีบุตรสาวเพียงคนเดียว การที่บุตรสาวของนางมองไม่เห็นก็ทำให้นางทุกข์ระทมเป็นที่สุด แต่เมื่อดวงตาของนางกลับมาเป็นปกติ ก็นับว่าได้ขจัดโรคทางใจของนางให้หายสิ้นดุจกัน
ส่วนเรื่ององค์ชาย… การที่ได้เห็นองค์ชายแต่ละพระองค์เติบโตขึ้นจนเป็นคนเต็มคน หรือแม้แต่องค์ชายแปดที่อายุน้อยที่สุดก็ใกล้จะได้ออกเรือน ทำให้ฮองเฮาตัดใจเรื่องที่จะให้ประสูติองค์ชายไปนานแล้ว
ทั้งนางและฮ่องเต้ต่างก็อายุมากแล้ว อย่าว่าแต่เรื่องที่ร่างกายไม่พร้อมจะมีบุตร เพราะครั้นนางจะมีบุตรชายตอนนี้ก็หาได้มีประโยชน์ไม่
การที่โอรสองค์โตสุดหรือไท่จื่อได้ขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่นก็เท่านั้น แต่หากไม่ราบรื่นแล้ว ชาตะขององค์ชายที่จะเกิดมาอาจไม่ง่ายดายเหมือนเหล่าองค์ชายคนอื่นๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นอ๋อง ที่สามารถเอ้อระเหยลอยชาย และเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทอง
ฮองเฮารี่เข้าไปคว้ามือของเจียงซื่อมาจับไว้ “ฝูชิงเป็นเด็กกตัญญูรู้คุณ ส่วนเจ้าก็เป็นเด็กมีเหตุผล อีกหน่อยเจ้าก็มาที่ตำหนักคุนหนิงบ่อยๆ จะได้มาสนทนาเป็นเพื่อนข้า…”
ฮองเฮากล่าวพลางหันไปขยิบตาให้หมัวมัวคนสนิท “ไปนำกำไลดอกหลิงเซียวมาที”
หมัวมัวคนสนิทผงะไปครู่หนึ่งก็จะรีบออกไปตามคำสั่ง
เหล่านางในและข้าหลวงคุกเข่าลงพลางส่งเสียงโห่ร้อง “ถวายพระพรฮ่องเต้ ถวายพระพรฮองเฮา ถวายพระพรองค์หญิง…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ผาสุกอย่างยิ่งยวด “ตกรางวัลให้ทุกคนในที่นี้!”
ฮองเฮายิ้มพลางพยักศีรษะเล็กน้อย
เมื่อเหล่านางในที่อยู่ด้านนอกตำหนักได้ยินเสียงถวายพระพรกึกก้องเช่นนี้ต่างก็มองหน้ากันด้วยความสงสัย
วันนี้เยี่ยนอ๋องพาพระชายามาคารวะน้ำชาแก่ฝ่าบาทและฮองเฮา ไม่ทราบว่าด้านในเกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงได้มีเสียงยินดีเอิกเกริกถึงเพียงนี้
ก่อนหน้านี้ที่หลู่อ๋องพาพระชายามา อยู่สนทนากันเพียงหนึ่งก้านธูปก็ถวายบังคมลาเสียแล้ว
เมื่อเห็นขันทีที่คอยปรนนิบัติอยู่ในตำหนักเดินออกมา นางในที่เฝ้าอยู่ด้านนอกจึงถามด้วยความอาจหาญ “เถากงกง ไม่ทราบว่าด้านในมีเรื่องยินดีอะไรกันรึ”
ขันทีเก็บความปลื้มปริ่มนั้นไว้ไม่อยู่ “พระเนตรขององค์หญิงหายดีแล้ว ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้ข้าไปแจ้งข่าวดีที่ตำหนักฉือหนิง”
ขันทีผู้นั้นว่าเสร็จก็จากไป แม้แต่ฝีเท้าแต่ละย่างก้าวก็เก็บซ่อนความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่
คนในวังที่ได้ทราบข่าวนี้ต่างก็เปรมปรีดิ์กันถ้วนหน้า
ในตำหนักคุนหนิงมิได้จัดงานรื่นเริงเช่นนี้มานานแล้ว ยังไม่จำเป็นต้องสนใจว่าจะมีของกำนัลมากมายเพียงใดที่ตกมาถึงฮองเฮา เพียงแค่ได้ทำงานอยู่ในบรรยากาศผ่อนคลายในช่วงสองสามเดือนข้างหน้าโดยมิต้องกังวลว่าจะถูกลงโทษหากทำผิดก็เป็นเรื่องดีมากแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือ องค์หญิงฝูชิงจิตใจงดงามปานนั้น การที่ดวงตามืดมิดยิ่งทำให้ผู้พบเห็นเกิดความรู้สึกสงสารจับใจ
ทั่วทั้งตำหนักคุนหนิงถูกห่อหุ้มไปด้วยบรรยากาศแห่งความชื่นชมยินดี ทุกๆ ใบหน้าต่างระบายด้วยรอยยิ้มเริงร่าเสียยิ่งกว่าความเปรมปรีดิ์ยามขึ้นศักราชใหม่เสียอีก
ภายในตำหนักฉือหนิง ไทเฮากำลังสดับฟังเรื่องเล่าขำขันจากชุยหมิงเย่ว์ ขณะนั้นข้าหลวงในตำหนักของนางก็เข้ามารายงานว่า “เถากงกงจากตำหนักคุนหนิงมารายงานข่าวดีให้ไทเฮาทรงทราบเพคะ”
รายงานข่าวดี?
ไทเฮาปรับสีหน้าเคร่งขรึมพลางนึกสงสัยในใจ
ตำหนักคุนหนิงมีเรื่องใดให้น่ายินดีงั้นหรือถึงต้องส่งคนมาแจ้งข่าว
ครั้นคิดขึ้นได้ว่าในขณะนั้นเป็นช่วงที่เยี่ยนอ๋องและพระชายามาคารวะน้ำชาที่ตำหนักคุนหนิง ในใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้
หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับทั้งสอง
เพียงแต่นางไม่คิดมาก่อนว่าทั้งคู่จะมีความสามารถถึงขั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับข่าวดี
ครั้นเกิดความสงสัยเช่นนี้แล้วจึงรีบรับสั่งให้ไปพาตัวขันทีผู้นั้นเข้ามา
เถากงกงเดินเข้าพร้อมคุกเข่าลง เสียงสูงแหลมเอื้อนเอ่ย “กระหม่อมขอถวายพระพรไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ!”
“มีเรื่องยินดีอะไรรึ” ไทเฮาถามเสียงเข้ม
แม้ว่าเถากงกงไม่อาจเงยหน้าขึ้นมามอง แต่ทว่าคนฟังก็รับรู้ได้ถึงความตื่นเต้นจากน้ำเสียงนั้น “กราบทูลไทเฮา พระเนตรขององค์หญิงฝูชิงหายดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
ไทเฮาลุกพรวดทันใด “ว่าอย่างไรนะ”
ข่าวที่ขันทีนำมาแจ้งดูห่างไกลความจริงยิ่งนัก นางจึงหลงคิดว่าตนเองฟังความพลาดไป
“ไทเฮา พระเนตรขององค์หญิงฝูชิงหายดีเป็นปลิดทิ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เถากงกงย้ำเสียงดังฟังชัด
ไทเฮาเดินเข้าไปประชิดตัวเถากงกงโดยมีนางในช่วยพยุง และถามอย่างจริงจัง “เจ้าทราบดีใช่หรือไม่ว่าการหลอกลวงข้าจะมีโทษเช่นไร”
เถากงกงรีบก้มศีรษะลงถึงพื้น “ข้าน้อยมิบังอาจหลอกลวงพระองค์เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทและฮองเฮาทรงมีรับสั่งให้ข้าน้อยนำข่าวดีนี้มากราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮายังคงติดใจไม่เชื่อ “แล้วดวงตาขององค์หญิงฝูชิงหายดีได้อย่างไรกัน”
“พระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นผู้รักษาพ่ะย่ะค่ะ!”
ไทเฮาตะลึงไปในทันใด
ชุยหมิงเย่ว์ที่ยืนนิ่งอยู่นานก็แสดงท่าทีประหลาดใจออกมาเช่นกัน
เจียงซื่อรักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิงงั้นรึ ลวงโลกสิ้นดี!
ต่อให้บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องลวงโลก แต่กระนั้นอาการตกใจของนางก็แสดงออกชัดว่านี่เป็นความจริง
นางยังเฉือนเนื้อตัวเองรักษาโรคของไทเฮาได้ แล้วเจียงซื่อจะรักษาดวงตาขององค์หญิงจนหายดีได้บ้างไม่ได้หรือ
นางประเมินลูกสาวของซูซื่อต่ำเกินไปจริงๆ!
ขณะที่ชุยหมิงเย่ว์ตรึกตรองเพียงลำพัง ไทเฮาก็หันไปสั่งการ “รีบไปเชิญองค์หญิงฝูชิงและพระชายาเยี่ยนอ๋องมาที่นี่เดี๋ยวนี้…”
ครั้นออกคำสั่งแล้ว ไทเฮาก็เปลี่ยนใจเอาเสียดื้อๆ “ไม่ดีกว่า พาข้าไปที่ตำหนักคุนหนิงเดี๋ยวนี้”
เดิมที ฮองเฮาจะต้องมาน้อมทักไทเฮาที่ตำหนักฉือหนิง ไทเฮาไม่เคยมีความคิดที่จะไปที่นั่นเลยสักครั้ง แต่การที่ไทเฮาเสด็จไปเพราะอยากเห็นด้วยตาตนเองก็มิได้ทำให้คนอื่นรู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
ต่อให้เป็นเพียงความสงสัยก็ควรไปดูที่ตำหนักคุนหนิงด้วยตาตัวเอง
คนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนขบวนไปที่ตำหนักคุนหนิง
จิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังหันไปหัวเราะพลางบอกกับฮองเฮา “ไม่รู้ว่าถ้าเสด็จแม่ทราบเรื่องนี้เข้าแล้วจะทรงยินดีเพียงใด”
ฮองเฮายิ้มตอบเป็นเชิงเห็นด้วย แต่ทว่าในใจกลับมิได้คิดเช่นนั้น
เพราะแม้ฝูชิงจะเกิดจากนาง แต่อย่างไรเสียก็เป็นเพียงองค์หญิง ในสายพระเนตรไทเฮาคงสู้เหล่าองค์ชายไม่ได้
หากพูดกันตามจริงแล้ว นอกจากแม่แท้ๆ ที่ให้กำเนิดก็คงไม่มีผู้ใดรักและหวงแหนฝูชิงได้เท่านี้อีก
ดังนั้นเมื่อเห็นว่าองค์หญิงฝูชิงดูสนิทสนมกับเจียงซื่อ ฮองเฮาจึงรู้สึกดีต่อนางมากขึ้นเป็นเท่าตัว
ที่ฝ่าบาทพูดเป็นความจริงแน่แท้ เจ้าเจ็ดช่างหาสะใภ้ได้ดีจริงเชียว ไม่เสียแรงที่นางมอบกำไลดอกหลิงเซียวให้
ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสุข ขันทีก็เปล่งเสียงรายงานฉะฉาน “ไทเฮาเสด็จ…”
ทั้งจิ่งหมิงฮ่องเต้และฮองเฮาต่างก็ตื่นตะลึงจนต้องหันมามองหน้ากัน
ทั้งคู่รีบจับมือกันเดินไปต้อนรับไทเฮา
ฝ่ายอวี้จิ่นก็ยื่นมือให้เจียงซื่อพลางยิ้มกริ่ม “เมื่อครู่ไปหาก็มิให้เข้าเฝ้า พอมาตอนนี้กลับถ่อมาหาเองถึงที่ อาซื่อ เจ้านี่ช่างมีความสามารถเหลือล้นจริงๆ”
เจียงซื่อยื่นมือไปให้อวี้จิ่นจับพลางยิ้มตอบ
แล้วทั้งคู่ก็เดินเคียงกันออกไปด้านนอก