ไทเฮารี่เข้ามา แม้นางจะพาผู้ติดตามมาด้วยอีกจำนวนหนึ่ง ทว่ามิได้พิธีรีตองนัก
จิ่งหมิงฮ่องเต้เร่งฝีเท้าเข้าไปต้อนรับ “เสด็จแม่ เหตุใดถึงเสด็จมาที่นี่”
ไทเฮาสั่งงดเว้นการถวายความเคารพ และเปิดประเด็นถามทันควัน “ดวงตาของฝูชิงหายดีแล้วรึ”
ขณะที่ถามนางก็เดินเข้าไปด้านในตำหนัก องค์หญิงฝูชิงก้าวเท้ามาด้านหน้าแล้วถวายความเคารพอย่างสุดซึ้งแก่ไทเฮา “หลานสาวถวายบังคมเสด็จย่าเพคะ”
ต้าโจวไม่เพียงแต่เปิดกว้างในเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติของราษฎรเท่านั้น แต่สำหรับราชสำนักก็ได้มีการงดเว้นการแสดงความเคารพอย่างสุดซึ้งที่เรียกว่าเคอโถว[1] ฉะนั้นยามที่เหล่าขุนนางเข้าเฝ้าฮ่องเต้เป็นการส่วนตัว หรืออยู่ต่อหน้าสาธารณชนก็แสดงความเคารพแบบจั้วอี[2] ก็เพียงพอ
แต่องค์หญิงฝูชิงเลือกที่จะถวายความเคารพไทเฮาอย่างเต็มรูปแบบเพื่อแสดงออกถึงความจริงใจ
ไทเฮารี่เข้าไปพยุงองค์หญิงพลางบอก “ไหนให้ย่าดูสิ”
องค์หญิงฝูชิงจึงยืนขึ้นพร้อมกับเงยหน้า พลางส่งยิ้มจางๆ ให้ไทเฮา
ไทเฮาเห็นดวงตาที่สดใสกลอกกลิ้งไปมา ความสงสัยทั้งหมดก็พลันหายสิ้น ไทเฮาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ช่างดีเหลือเกิน!”
องค์หญิงยิ้มรับพลางตอบ “หลานไม่เคยนึกมาก่อนว่าเสด็จย่าจะยังทรงอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้”
ไทเฮาสวมกอดองค์หญิงแล้วกล่าวว่า “ในวังนี้ ไม่มีเด็กคนไหนออดอ้อนจนคนรักได้มากเท่าเจ้าอีกแล้ว ที่ตาของเจ้าหายดีได้ ก็เพราะสวรรค์ทรงเมตตา…”
องค์หญิงฝูชิงยังคงส่งยิ้มอ่อนหวาน “หลานโชคดีที่ได้รับความเมตตาจากสวรรค์ แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณพี่สะใภ้เจ็ดเพคะ”
ไทเฮากวาดสายตาคมปลาบไปที่เจียงซื่อซึ่งยืนอยู่ข้างอวี้จิ่น
เจียงซื่อค้อมคำนับ “ถวายบังคมเสด็จย่า”
สายตาของไทเฮาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของเจียงซื่อครู่ใหญ่ น้ำเสียงราบเรียบที่ทั้งไม่ได้แสดงความสงสัยหรือความเมตตา เป็นน้ำเสียงที่ใช้กล่าวกับคนส่วนใหญ่ดังขึ้น “พระชายาเป็นผู้รักษาดวงตาขององค์หญิงงั้นหรือ”
เจียงซื่อยังคงอยู่ในท่าน้อมคารวะ “หม่อมฉันแค่เคราะห์ดีเพคะ”
“เคราะห์ดี?” ไทเฮาเลิกคิ้วแล้วว่าต่อ “โรคของฝูชิงเป็นมานานแรมปี มีหมอมาดูตั้งมากมาย ยังไม่เคยเห็นหมอคนใดเคราะห์ดีเลยสักคน”
ทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบ
อวี้จิ่นเอื้อมมือมาดึงเจียงซื่อพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มเริงร่า “เสด็จย่า ดวงตาของฝูชิงหายดีก็นับว่าเป็นข่าวดี หลานมองว่าแม้นี่จะมิใช่การอภัยโทษครั้งยิ่งใหญ่ ทว่าก็ควรร่วมยินดีเฉลิมฉลองกันทั่วหล้า หากพระองค์ลงโทษเหล่าแพทย์หลวงที่ไม่อาจถวายการรักษาดวงตาของฝูชิงได้ หลานและพระชายาคงกระอักกระอ่วนพอตัวพ่ะย่ะค่ะ…”
ไทเฮาได้ฟังเช่นนั้นก็นึกอยากจะกลอกตาเสียให้รู้แล้วรู้รอด
แล้วที่นางพูด นางหมายความเช่นนั้นหรืออย่างไร
ก่อนที่ไทเฮาจะเอ่ยต่อ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เอ่ยแทรกว่า “เจ้าเจ็ด เจ้าไม่ได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ก็อย่าใช้คำศัพท์ส่งเดช!”
อวี้จิ่นตอบรับอย่างเก้อเขิน “กระหม่อมจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จแม่ อย่าไปใส่อารมณ์กับเด็กนี่เลย…”
ไทเฮายิ้มจางๆ “ตาของฝูชิงหายดีเช่นนี้ช่างเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก ข้าเองก็มีความสุขไม่น้อย…”
ขณะที่กล่าวเช่นนั้น สายตาของนางก็สอดส่ายไปทางเจียงซื่ออย่างพินิจพิเคราะห์ “แต่ไม่ทราบว่าพระชายาใช้ศาสตร์ใดรักษางั้นหรือ ข้าเพียงแต่รู้ว่าพระชายาเป็นคุณหนูแห่งจวนตงผิงปั๋วเท่านั้น ไม่รู้ว่าเคยร่ำเรียนศาสตร์การแพทย์กับเขาด้วย”
ต่อให้นางเคยร่ำเรียนด้านนี้มา แต่เรื่องที่เด็กสาววัยสิบกว่าจะเก่งกาจกว่าเหล่าแพทย์หลวงที่คร่ำหวอดด้านการรักษาก็คงเป็นเพียงเรื่องลวงโลก
ใบหน้าของเจียงซื่อสงบนิ่ง “หม่อมฉันมิเคยร่ำเรียนด้านนี้มาเพคะ แต่ที่รักษาองค์หญิงได้ คงเป็นเพราะสวรรค์ทรงเมตตาต่อองค์หญิง ถึงได้หยิบยืมมือของหม่อมฉันก็เท่านั้นเองเพคะ”
ไทเฮาขมวดคิ้ว “เอ่ยวาจาอะไรของเจ้า”
“เสด็จแม่ แค่นางเห็นดวงตาของฝูชิง นางก็รู้ทันทีว่าต้องรักษาอย่างไร นี่คงเป็นประสงค์ของสวรรค์เป็นแน่แท้” จิ่งหมิงฮ่องเต้หัวเราะพลางบอก
ไทเฮาหันไปมองฮ่องเต้ด้วยสายตาพิลึกพิลั่น ในใจพลางคิด ถ้อยคำพวกนี้ฝ่าบาทก็ทรงเชื่อได้ลงงั้นหรือ ฮ่องเต้ที่นางเลี้ยงดูจนเติบใหญ่เพี้ยนไปแล้วหรืออย่างไร
จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้มีอาการประหม่า
เขาเป็นโอรสของสวรรค์ การที่สวรรค์จะเมตตาสงสารบุตรสาวของเขา แล้วได้ยืมมือผู้อื่นมารักษาก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ขนาดพวกผู้ที่ดำรงตำแหน่งสูงศักดิ์อยากจะได้หลักฐานพิสดารมาพิสูจน์ว่าตนเองแตกต่างจากผู้อื่น เป็นเหตุให้ตามพงศาวดารมักมีบันทึกว่า ยามประสูติมีแสงสีแดงวับวาบขึ้นที่ฟากฟ้าบ้างล่ะ ในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมละมุนบ้างล่ะ หรือแม้แต่เรื่องไร้สาระอย่างความฝันว่ามีทวยเทพนำยาอายุวัฒนะมาป้อนใส่ปากผู้เป็นมารดาบ้างก็มี
ทว่าไทเฮาไม่ทราบความคิดของฮ่องเต้ จึงถามซ้ำ “หมายความว่า พระชายาเยี่ยนอ๋องมีวิชานี้ติดตัวมาแต่กำเนิดงั้นหรือ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หัวเราะพลางเอ่ย “ก็นั่นน่ะสิ”
ก็นั่นน่ะสิพระแสงอะไรกัน!
ไทเฮาเลิกสนใจฮ่องเต้ แล้วหันไปซักไซ้จากเจียงซื่อ “เช่นนั้นพระชายาเยี่ยนอ๋องรักษาอาการใดได้อีกเล่า”
เจียงซื่อไม่มีวี่แววหวาดกลัวแต่อย่างใด นางยังคงดูนอบน้อม ไร้พิรุธจะจับได้ “เรื่องนั้นหม่อมฉันก็ไม่อาจทราบได้เพคะ ต้องรอได้เห็นโรคพิสดารนั้นก่อนถึงจะบอกได้เพคะ”
“ช่างพิลึกเสียจริง” น้ำเสียงของไทเฮาไม่อาจรับรู้ได้ว่ายินดีหรือยินร้าย
เจียงซื่อตอบเสียงเรียบ “หม่อมฉันเคยได้ยินเรื่องที่คุณหนูใหญ่ชุยเฉือนเนื้อตัวเองมารักษาพระองค์ หม่อมฉันก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกันเพคะ”
ชุยหมิงเย่ว์ที่ยืนนิ่งอยู่นานฉายแววเคลือบแคลงในตา
นางยังไม่ทันเอ่ยอะไร พระชายาเยี่ยนอ๋องก็พุ่งเป้ามาที่นางแล้วงั้นหรือ
ทว่าชุยหมิงเย่ว์ไม่เคยสัมผัสความรู้สึกแปลกประหลาดและเดือดดาลเช่นนี้มาก่อน แววตาของนางจึงค้างแข็งอยู่เช่นนั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้หัวเราะร่า “พักนี้มีเรื่องดีมาเยือนไม่หยุดหย่อน ทั้งอาการของไทเฮา ทั้งดวงตาของฝูชิง อีกทั้งเหล่าองค์ชายทั้งหลายก็ได้เป็นฝั่งเป็นฝา ข้าว่าเจ้าเจ็ดพูดถูก เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ก็ควรเฉลิมฉลอง…”
“ฝ่าบาท!” ไทเฮาตัดบทฮ่องเต้
“เสด็จแม่?”
ไทเฮาตอบแผ่วเบา “ข้าว่าเรื่องเฉลิมฉลองน่ะไม่จำเป็น การทำให้ราษฎรต้องตรากตรำและสิ้นเปลืองเงินคลังมีแต่จะทำให้พรประเสริฐหนีหาย”
ทว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่คิดเช่นนั้น “เพื่อเป็นการอำนวยพรแก่เสด็จแม่ จะเรียกว่าเป็นการทำให้ราษฎรต้องตรากตรำและสิ้นเปลืองเงินคลังได้อย่างไร”
ไทเฮาฉงน
เหตุใดต้องอวยพรแก่นางด้วยเล่า
ครั้นเห็นท่าทียืนกรานของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ไทเฮาจึงตอบเพียงว่า “ตาของฝูชิงหายเป็นปกติก็นับว่าเป็นเรื่องดี ควรแก่การเฉลิมฉลอง ข้าว่าจัดงานเลี้ยงเฉพาะในเหล่าราชวงศ์เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ฝูชิงจะได้ทำความรู้จักกับคนอื่นๆ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า “เอาตามที่เสด็จแม่ว่าก็แล้วกัน”
ไทเฮาขยับคิ้วของนางพลางยืดเหยียดมือออกมา “ฮองเฮา งานเลี้ยงฉลองนี้ข้าขอมอบหมายให้เจ้าเป็นแม่งาน อย่าให้ฝูชิงต้องเสียหน้า ข้าเหนื่อยแล้ว พระชายาเยี่ยนอ๋อง เจ้ามาพยุงข้ากลับตำหนักที เพราะข้ายังอยากฟังเรื่องพรสวรรค์พิสดารของเจ้าต่อ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ นางก็กวาดตาไปทางอวี้จิ่น พร้อมกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เยี่ยนอ๋องไม่จำเป็นต้องตามไปด้วย ไว้เดี๋ยวข้าจะให้คนมาส่งพระชายาเอง”
ครั้นอวี้จิ่นจะพูดบางอย่าง แต่กลับถูกดึงเบาๆ
เจียงซื่อก้าวไปประคองไทเฮา “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ หม่อมฉันถวายบังคมลาเพคะ”
ถูกพาตัวไปต่อหน้าฮ่องเต้เช่นนี้ เจียงซื่อจึงไม่มีความจำเป็นต้องกังวลว่าไทเฮาจะลงโทษนาง
ก็แค่คำวาจาประทุษร้าย มีผู้ใดใส่ใจกันเล่า
ตลอดทางจนไปถึงตำหนักฉือหนิง ไทเฮามิได้ปริปากพูดสิ่งใด นางรอจนเข้าไปในตำหนักและสั่งให้คนอื่นๆ ออกไปแล้ว นางถึงจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พระชายาเยี่ยนอ๋อง ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะมีความสามารถเก่งกาจเพียงใด แต่ครั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเชื้อพระวงศ์แล้ว เจ้าต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด อย่าได้พลาดพลั้งผิดทางเป็นอันขาด”
“หม่อมฉันจะจำไว้เพคะ”
“อีกเรื่อง อย่าได้พูดเรื่องไร้สาระจนคนหลงผิดอีก”
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”
ไม่ว่าไทเฮาจะพูดอย่างไร เจียงซื่อก็เพียงแต่รับฟังนิ่งๆ นางเพียงแต่แสดงท่าทีนอบน้อม เพื่อไม่ให้ถูกตำหนิ
ในที่สุด ไทเฮาที่พูดจนปากแห้งจึงต้องยกถ้วยชามาจิบให้ชุ่มคอหันไปสั่ง “หมิงเย่ว์ เจ้าพาพระชายาเยี่ยนอ๋องไปส่งที”
ชุยหมิงเย่ว์หันไปส่งยิ้มให้เจียงซื่อ “ท่านพี่สะใภ้ ให้หม่อมฉันไปส่งนะเพคะ”
เจียงซื่อหันไปทางชุยหมิงเย่ว์พลางตอบเสียงเรียบ “รบกวนเจ้าด้วย”
———————
[1]เคอโถว คือ การแสดงความเคารพโดยคุกเข่าลง เอามือยันพื้น และโน้มศีรษะให้ติดกับพื้น
[2]จั้วอี คือ การน้อมคำนับโดยเอามือประสานไว้ด้านหน้า