War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1746
ตอนที่ 1,746 : ทำตัวเองขายหน้า!

เขตแดนหมื่นกระบี่นั้น ถูกต้วนหลิงเทียนควบรวมก่อเกิดขึ้นจากปราณสุริยันแรกกำเนิด

และปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขา ลำพังอานุภาพพลังของมันก็ทัดเทียมได้กับปราณแรกกำเนิดของตัวตนขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นแล้ว!

เช่นนั้นพลังอำนาจของกระบี่สีทองเล่มเขื่อง ที่เกิดจากหมื่นกระบี่รวมหนึ่ง ย่อมไม่ใช่อะไรที่ธรรมดา!!

ปงงงงง!!

เสียงพลังอำนาจมหาศาลระเบิดปะทุดังขึ้น แรงระเบิดนั่นยังซัดร่างพี่น้องสกุลลั่วให้กระเด็นปิดปลิวไปอย่างไร้ต่อต้าน!

คนอื่นนั้น เนื่องจากแสงสีทองของเขตแดนหมื่นกระบี่ทำให้มองไม่เห็นเรื่อวราวภายใน

อย่างไรก็ตาม มองไม่เห็นไม่ใช่หมายความว่าพวกมันจะไม่ได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้น

พอพวกมันได้ยินเสียงกระบี่พุ่งแหวกฝ่าอากาศฉับไว ทั้งเสียงพลังมหาศาลซัดปะทะจนเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ ก็ทำให้พวกมันอดไม่ได้ที่จะหวั่นใจอยู่บ้าง

และครู่ต่อมาพวกมันก็เห็นร่าง 2 ร่างพุ่งทะลุม่านแสงสีทองออกมาด้วยความเร็ว กระทั่งหลังพ้นม่านแสงสีทองไปกว่า 100 หมี่แล้วร่างทั้งคู่ถึงจะสิ้นแรงส่ง! ค่อยลงตกกระแทกลานศิลากลิ้งไถลไปเป็นทาง…

“นั่นมัน…พี่น้องสกุลลั่วมิใช่หรือไง?”

ไม่นานก็มีบางคนที่จดจำซากร่างยับเยิน 2 ร่างนั่นได้ ยังอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาด้วยความตกตะลึง “นี่พวกมันถูกหลิงเทียนซัดปลิวออกมางั้นเหรอ?”

“ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะสิ้นสติไปแบบนั้น…ให้ตายเถอะ นั่นมันพี่น้องสกุลลั่วเชียวนะ! ยามพวกมันร่วมมือกันมิใช่กระทั่งเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วๆไปยังมิใช่คู่มือรึไง..แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”

“นี่หลิงเทียนจะไม่ร้ายกาจเกินไปหรือไร…กระทั่งพี่น้องสกุลลั่วร่วมมือกัน ยังแพ้พ่ายในพริบตา?”

“น่าเสียดายนักที่เขตแดนของหลิงเทียนกลับบดบังทัศนวิสัยหมดสิ้น…หาไม่แล้วพวกเราคงได้เห็นว่าเขาเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วได้อย่างไร”

……

นอกจากเสียงสูดลมหายใจเข้าแรงๆแล้ว ตอนนี้เสียงสนทนาด้วยความอยากรู้ก็ดังขึ้นไปทั่วลานศิลา

สายตาของหลายๆคนตกไปยังร่างไร้สติของพี่น้องสกุลลั่ว ไม่นานพวกมันก็เบนกลับมาจับจ้องสนามพลังที่เหมือนลูกบอลสีทอง พวกมันอยากแลเห็นร่างคนที่อยู่ด้านในนัก

พวกมันอยากรู้ว่าการที่พี่น้องสกุลลั่วเจ็บหนักเช่นนี้ ผู้ที่ลงมือใช่บาดเจ็บสาหัสอะไรด้วยหรือไม่?

“เจ้านั่นมันตัวประหลาด!”

เมื่อเห็นพี่น้องสกุลลั่วถูกซัดปลิดปลิวออกมาด้วยสภาพปานสุนัขตาย หวางเฟยเซวียนถึงกับอึ้งไปไม่น้อย แม้นางจะคิดไว้บ้างว่าชายคนนั้นอาจจะชนะ แต่นางไม่คิดเลยว่าจะเอาชนะได้ง่ายดายขนาดนี้

อยู่ๆเขตแดนก็ปรากฏคลุมครอบพี่น้องสกุลลั่วเอาไว้ในพริบตา

ครู่ต่อมาก็มีเสียงเสมือนมีบางสิ่งจำนวนมหาศาลพุ่งกรีดผ่านอากาศมากมาย สุดท้ายก็เป็นพี่น้องสกุลลั่วที่ถูกซัดปลิวกระเด็นออกมาด้วยสภาพปานสุนัขตาย

ต้องทราบด้วยว่าหวางเฟยเซวียนคิดไว้แล้วว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะเอาชนะได้หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเผยความมั่นใจออกมาให้เห็น แต่พอนางคิดเช่นนั้นจิตใต้สำนึกของนางก็เลือกที่จะปฏิเสธมัน เพราะคิดว่าต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วได้…

แต่นางไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นแล้วจริงๆ

เมื่อฉากนี้อุบัติขึ้นมา ก็มากพอจะอธิบายให้ทุกคนกระจ่าง ว่าไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเท่านั้น แต่ยังมีพลังฝีมือเหนือกว่าเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วไปอีกด้วย!

เพราะสุดท้ายแล้วการที่สามารถเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วที่ร่วมมือกันได้ง่ายดาย ไม่ใช่อะไรที่เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วๆไปจะกระทำได้!

ท่ามกลางสายตาของผู้คน ต้วนหลิงเทียนพลันถอนรั้งเขตแดน เผยตัวให้เห็นอีกครั้ง

ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!

……

แม้จะพอคาดเดากันได้แล้วว่าต้วนหลิงเทียนยังคงอยู่ในเขตแดน แต่ทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความตะลึงเมื่อเห็นเขาปรากฏตัวอีกครั้ง

“แข็งแกร่ง! ช่างแข็งแกร่งนัก!!”

“ที่แท้หลิงเทียนเป็นตัวประหลาดอันใดกันแน่? สมควรพึ่งทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้เมื่อ 2 เดือนมิใช่หรือไง? ไฉนแข็งแกร่งถึงขั้นเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วที่ร่วมมือกันได้ง่ายดายเลยเล่า?!”

“ตอนแรกพี่น้องสกุลลั่วคงคิดว่าหลิงเทียนพึ่งทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ไม่ทันไร พวกมันคงสามารถรังแกเขาได้ง่ายดาย…พวกมันคงไม่ทันคิดกระทั่งหลับยังมิเคยฝัน ว่าพวกมันจะสู้เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดที่พึ่งทะลวงมาไม่ได้!!”

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนหลิงเทียนถึงยอมรับคำท้าพวกมัน ที่แท้มิได้วู่วามหรือประมาทอะไร แต่เขามั่นใจจริงๆ!”

“ครั้งนี้พี่น้องสกุลลั่วนับว่าทุ่มหินทับเท้าตัวเองแล้วจริงๆ”

……

เหล่าศิษย์ของตำหนกฟ้าลี้ลับที่มารวมตัวกันอยู่บนลานศิลากล่าวจ้อกันไม่หยุด บทสนทนาล้วนแต่ชื่นชมพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน บ้างก็หยามเหยียดพี่น้องสกุลลั่วเอาสะใจ

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าศิษย์น้องหลิงเทียนสมควรมิใช่คนหุนหันพลันแล่น อย่างไรก็ตามข้าคิดมิถึงจริงๆว่าพลังฝีมือของศิษย์น้องจะร้ายกาจถึงขั้นเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วที่ร่วมมือกันได้…”

กัวลู่ที่ยืนอยู่ไกลๆ มองต้วนหลิงเทียนพักหนึ่งค่อยระบายลมหายใจออกมาพร้อมกล่าวพึมพำ

ครั้งแรกที่มันพบกับต้วนหลิงเทียน ก็ได้ประมือกันและเป็นต้วนหลิงเทียนที่เมตตาออมมือ จงใจให้ผลออกมาเป็นเสมอ

ตั้งแต่วันนั้นมันก็คิดไว้แล้วว่าต้วนหลิงเทียนสมควรบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด

เพราะการที่ต้วนหลิงเทียนสามารถลงมือได้อย่างไร้แรงกดดัน พลิกแพลงกระบวนท่าให้อยู่ในระดับเดียวกับมัน แม้แต่กระทั่งถอนคืนกระบวนท่าที่ใช้ออกในฉับพลันจนกลายเป็นแลดูสูสีกับมันอย่างแยบคายนั้น ไม่ใช่อะไรที่เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญจะทำได้เลย มีแต่เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเท่านั้น

‘สมควรเป็นผลของสระวิญญาณที่ทำให้พลังฝีมือศิษย์น้องก้าวหน้าขึ้นถึงขนาดนี้’

กัวลู่ลอบคาดเดา

“แข็งแกร่งยิ่ง!”

ห่างออกไป หลิวเจี้ยนกับเริ่นเฟยหันมามองตากันอีกครั้ง พวกมันต่างแลเห็นถึงความตกใจในแววตาของอีกฝ่าย ยังอุทานออกมาด้วยความพร้อมเพรียง

“พลังฝีมือที่หลิงเทียนเผยออก หากเทียบกับลี่เฟยที่ปรากฏตัวในเขตคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง น่ากลัวว่าจะไม่ต่างกันมาก…”

เริ่นเฟยกล่าวออกเสียงขรึม

“ถูกแล้ว! ลี่เฟยเองก็เห็นว่าคล้ายพึ่งทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดมาเหมือนกันกับหลิงเทียน…หากทั้งคู่ประมือกันจริงก็ยากที่จะบอกได้ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ!”

หลิวเจี้ยนหยักหน้า มันเองก้เห็นด้วยกับวาจาของเริ่นเฟย

“ทว่าวิธีลงมือของหลิงเทียนกลับคล้ายลี่เฟิงที่พวกเราได้ยินมา…ดูเหมือนเขาจะรู้จักกับลี่เฟิงจริงๆ เจ้าว่าที่เขาคิดตอบแทนผู้อาวุโสของพวกเรา ใช่มีอันใดเกี่ยวข้องกับลี่เฟิงหรือไม่?”

หลิวเจี้ยนกล่าวพึมพำออกมา ค่อยหันไปมองถามเริ่นเฟย

“พอเจ้าพูดขึ้นมาแบบนี้…ข้าคิดว่าอาจเป็นเช่นนั้นจริงๆ! ตอนนั้นลี่เฟิงได้อาวุโสของพวกเราคอยยืนหยัดเคียงข้าง ทั้งได้รับการปกป้องอย่างดีระหว่างการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง บางทีลี่เฟิงอาจรู้สึกติดค้าง…หลิงเทียนสมควรสนิทสนมกับลี่เฟิงเป็นแน่ถึงได้คิดตอบแทนบุญคุณแทนลี่เฟิงเช่นนี้…”

เริ่นเฟยพยักหน้า มันเองก็เห็นด้วย

หลังจากที่เริ่นเฟยกับหลิวเจี้ยนหารือกันไปสักพัก ก็คิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆ

ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบพวกมันไม่เคยคิดถึงเรื่องที่ลี่เฟยที่ปรากฏตัวในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กับหลิงเทียนที่อยู่เบื้องหน้าจะเป็นคนๆเดียวกันเลย

เหตุผลนั้นเป็นเพราะพวกมันมั่นใจว่าหลิงเทียนไม่ได้ปลอมแปลงรูปโฉมอะไรมา และในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องตอนนั้น อาวุโสของพวกมันก็ยืนยันแล้วว่าลี่เฟิงไม่ได้ปลอมแปลงหน้าตาเช่นกัน

นอกจากนี้ถึงแม้พวกมันจะไม่เคยเห็นลี่เฟิงตัวจริง แต่พวกมันก็ได้ดูภาพเหมือนลี่เฟิงมาแล้ว และหลิงเทียนตรงหน้ามองมุมไหนก็ไม่คล้ายลี่เฟิงเลย

ลี่เฟิงต่างจากหลิงเทียนที่แลดูหล่อเหลานัก เพราะใบหน้าลี่เฟิงค่อนไปทางเย็นชาไม่รับแขก ให้ความรู้สึกคล้ายหมาป่าเดียวดายที่ชมชอบการพเนจร

“เจ้าว่า…หลิงเทียนกับลี่เฟยจะเป็นศิษย์ร่วมสำนักกันรึเปล่า?”

เริ่นเฟยมองหลิวเจี้ยน พร้อมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสงสัย

“อาจเป็นได้!”

หลิวเจี้ยนเองก็ไม่แน่ใจ แต่พอคิดดูก็มีความเป็นไปได้อยู่บ้าง

ในขณะที่เริ่นเฟยกับหลิวเจี้ยนพยายามโยงต้วนหลิงเทียนเข้ากับลี่เฟิง หวางเฟยเซวียนก็ยกต้วนหลิงเทียนขึ้นมาเทียบกับลี่เฟิงด้วยเช่นกัน “พลังฝีมือที่เจ้าทึ่มเผยออกวันนี้น่ากลัวว่าต่อให้เทียบลี่เฟิงไม่ได้แต่ก็ไม่ควรด้อยกว่ามากมายอะไร…ข้าไม่คิดเลยว่าพลังฝีมือของเจ้าทึ่มจะก้าวหน้าขึ้นถึงขนาดนี้หลังเข้าตำหนักฟ้าลี้ลับได้ไม่ทันไร”

ขณะเดียวกันสายตาที่หวางเฟยเซวียนใช้มองต้วนหลิงเทียนก็เผยความซับซ้อนทั้งลึกซึ้งขึ้นไม่น้อย

เรื่องนี้เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่ทันเห็น

ด้านหวังพีที่มาหยุดอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์น้องหลิงเทียนข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าการเข้าไปใช้สระวิญญาณ จะยกระดับพลังฝึกปรือเจ้าครั้งใหญ่…พี่น้องสกุลลั่วคู่นี้ขึ้นชื่อในวังนภานัก ว่าไร้เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดที่พึ่งทะลวงผ่านเอาชัยได้…”

“แต่เจ้ากลับทำลาย ‘ตำนาน’ ที่พวกมันร่วมกันสร้างมานานปีลงได้!”

กล่าวถึงท้ายประโยคหวังพีอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมา แววตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนยังเผยความชื่นชมเพิ่มหลายส่วน

อย่างน้อยๆตอนที่มันอายุเท่าต้วนหลิงเทียน ก็ยังมีพลังฝีมือห่างไกลจากต้วนหลิงเทียนมากมายนัก!

ด้วยความสามารถนี้ของต้วนหลิงเทียน คงเป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้นกว่าที่อีกฝ่ายจะก้าวข้ามหวังพี หากไม่ตกตายไปเสียก่อน…เรื่องนี้หวังพีย่อมไม่คิดสงสัยเลย

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? ไฉนแลดูผู้คนทำท่าแปลกๆกันนัก?”

“เฮ่ย! นั่นมิใช่พี่น้องสกุลลั่วรึไร? ไฉนไปนอนเป็นสุนัขป่วยใกล้ตายบนพื้น สภาพดูไม่ได้เช่นนั้นเล่า?”

……

ไม่นานศิษย์วังนภาและศิษย์วังอื่นๆที่พึ่งมาถึงก็สังเกตเห็นว่าบรรยากาศในลานศิลาสมควรมีอะไรผิดปกติ และยังมีศิษย์วังนภาหลายคนที่จดจำร่างที่นอนสิ้นสภาพบนพื้นได้ว่าเป็นพี่น้องสกุลลั่ว

พี่น้องสกุลลั่วนั้น กล่าวไปแล้วพวกมันถือเป็น ‘คนดัง’ ของวังนภาก็ว่าได้ เพราะยามพวกมันร่วมมือผนึกกำลังกัน กลับมีพลังฝีมือสู้กับเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วไป!

แม้ศิษย์ของอีกทั้ง 3 วังจะเคยได้ยินเรื่องราวของพี่น้องสกุลลั่วมาบ้าง แต่มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่เคยเห็นหน้าค่าตาพวกมัน

อยางไรก็ตามพอพวกมันได้รับการกระตุ้นเตือนจากศิษย์วังนภา ว่าผู้ที่นอนสิ้นสภาพอยู่เป็นใคร พวกมันก็อดตกใจเสียไม่ได้

“นี่น่ะหรอสองคนที่เป็นยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ทั้งยามผนึกกำลังร่วมมือสามารถต่อกรกับเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วไปได้? พวกมันแข็งแกร่งถึงขั้นนั้นเชียว?”

ไม่นานศิษย์ของอีก 3 วังที่เหลือที่ไม่เคยได้รับทราบเรื่องราวของพี่น้องสุลลั่ว ก็ได้รู้จักพวกมัน

“แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกมันเล่า?”

“วันนี้มิใช่วันที่วังนภาจะคัดเลือกคนเข้าแดนลับเซียนหรือไร? ไฉนพี่น้องสกุลลั่วมานอนหมดสภาพอยู่ที่พื้นได้ เท่าที่ข้ารู้มาพวกมันแต่ละคนล้วนมีอายุเกิน 50 ปี มิมีสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนแล้วนี่?”

“ถามคนที่มาก่อนเถอะ ว่าไฉนพวกมันมานอนเป็นสุนัขตายเช่นนี้ได้”

……

ครู่ต่อมาเหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่พึ่งมาถึง ก็เริ่มถามไถ่สหายที่มาก่อน และผู้ที่มาก่อนก็ล้วนคันปากอยากจะเล่ากันทั้งสิ้น ทำให้พวกมันได้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด และรู้ว่าหลิงเทียนเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วอย่างไร

“อะไรนะ!?”

“แค่พริบตาหลิงเทียนก็ซัดพวกมันปลิวละลิ่วออกมาเป็นสุนัขตายเช่นนี้?”

“เฮ่ย! นั่นหมายความว่าหลิงเทียนทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วจริงๆ?”

“เรื่องนั้นมิใช่ประเด็นแล้ว…ที่สำคัญคือหลิงเทียนสมควรพึ่งทะลวงผ่านไปยังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้แค่ 2 เดือน แต่กลับเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วที่ผนึกกำลังกันได้ง่ายดายต่างหาก! นั่นหมายความว่าพลังฝีมือของหลิงเทียนเหนือกว่าเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วไป!!”

……