บทที่403 ในใจมีเพียงคุณเท่านั้น
การเสนอนี้มันดีต่อบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ป และก็สามารถทำให้โลกภายนอกได้เห็นความสามารถของบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปแล้วก็เงินทุนกับความทระนงอย่างภาคภูมิใจนี้ด้วย
ถึงแม้ว่าผู้ถือหุ้นที่มีความเห็นอื่นก็ไม่กล้าพูดออกมาเท่าไหร่ เพียงเวลาไม่ถึงนาที ผู้ถือหุ้นทุกคนก็แสดงออกมาว่าเห็นด้วย
จากนั้นแผนที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ก็ผ่านทั้งหมด การประชุมนี้กินเวลาไปไม่ถึงสองชั่วโมง ส่วนมากก็มีแต่ลี่จุนถิงที่เป็นคนพูด ส่วนผู้ถือหุ้นก็พยักหน้าตามด้วยความเห็นด้วย
สีของท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง เรื่องส่วนใหญ่ก็จบลงไปแล้ว ขณะที่กำลังจะปิดการประชุมนั้น กลับเห็นว่าลี่จุนถิงไม่ขยับตัว และก็ไม่ได้พูดเพื่อปิดการประชุมอะไรด้วย
เหล่าผู้ถือหุ้นอึดอัดนิดหน่อย คนที่กำลังจะออกไปก็ต้องกลับเข้ามา ส่วนคนที่ยืนขึ้นก็นั่งลงเหมือนเดิม
“ฉันมีเรื่องที่อยากจะบอกกับพวกคุณสักหน่อย” ลี่จุนถิงปิดแฟ้มเอกสาร พลางดันไปไว้ด้านข้าง
นี่ก็บอกได้ทันที ว่าเรื่องที่ลี่จุนถิงกำลังจะพูดนั้นไม่เกี่ยวกับบริษัท แต่เป็นเรื่องส่วนตัว
ลี่จุนถิงลุกขึ้นมา จากนั้นก็เอามือทั้งสองข้างเท้าโต๊ะ “ฉันว่าทุกคนคงจะได้ยินเรื่องของพ่อแล้ว ครั้งนี้ฉันอยากจะขอร้องทุกคนหน่อย” เมื่อได้ยินคำว่าขอร้อง ก็ทำให้ในใจของเหล่าผู้ถือหุ้นเกิดความกดดันขึ้นมา
ความกดดันนี้มันไม่เลวเลย เพราะในแวดวงธุรกิจนั้นถ้าไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่มีทางอยู่ได้
“ประธานลี่คุณบอกมาเถอะ ถ้าพวกเราทำได้จะต้องช่วยอยู่แล้ว”
ลี่จุนถิงเพียงแค่บอกเป็นนัย แต่ไม่ได้บอกอะไรชัดเจน ถึงอย่างนั้นเหล่าผู้ถือหุ้นเองก็เข้าใจได้อย่างชัดเจน
“เรื่องแย่ๆ ของพ่อฉันเองก็รู้สึกแย่ไม่น้อยเลย ถ้าเกิดพ่ออยากจะโอนหุ้น ฉันก็รู้สึกผิดกับพวกคุณผู้ถือหุ้นทุกคน ฉันเองก็ทำได้ยากเหมือนกัน ถ้าเกิดว่าเรื่องนั้นสำเร็จขึ้นมา บริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปจะแย่เอาได้ และอาจจะเสียหน้าเป็นอย่างมากด้วย” ลี่จุนถิงพูดอ้อมๆ แต่ก็พูดจุดประกายมากขึ้นเรื่อยๆ “หุ้นของบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปนั้นเป็นของตระกูลลี่ พวกคุณเองก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลลี่ ทำไมจะต้องให้คนหุ้นไปอยู่ในมือคนนอกด้วย จริงไหม? ”
คนนอกคือใคร เหล่าผู้ถือหุ้นก็ไม่ได้โง่ พวกเขารู้ดีว่าลี่จุนถิงนั้นดูเหมือนจะอ่อนโยนแต่การกระทำนั้นโหดร้ายไม่เบา ตอนนี้ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลลี่ ถ้าเกิดไม่ตกลงตามคำขอของเขา ไม่รู้ว่าจะโดยเตะออกไปเมื่อไหร่
เหล่าผู้ถือหุ้นสบตากัน “รู้แล้วล่ะ แน่นอนว่าไม่ควรให้คนนอกมาถือหุ้น พวกเราจริงจังและจริงใจกับบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปเป็นอย่างมากเลยล่ะ”
นี่ถือเป็นการตอบตกลงไปแล้ว ว่าจะไม่ช่วยตามคำขอของลี่เจี้ยนหวา
ภายในคฤหาสน์หลังหนึ่ง
มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งลงกับชายหนุ่ม จากนั้นก็ทำเรื่องของตัวเอง อย่างไม่มีการพูดคุยอะไรเลย
บนเพดานมีแสงไฟเรืองรองสีทองสาดส่องลงมา ทำให้เงาของทั้งสองคนนั้นเหมือนกับมีชีวิตชีวา
ชายหนุ่มที่อายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี เซตผมจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะดูจากทางไหนก็ดูสมบูรณ์แบบไปหมด เขาไม่มีที่ติเลยด้วยซ้ำ ส่วนผิวพรรณก็ดูดีละเอียดไม่น้อยเลย
ในมือนั้นถือหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดอยู่ เหมือนกำลังอ่านอย่างตั้งใจ ก่อนจะนิ่งเงียบไปสักพัก ชายคนนั้นเลยวางคอลัมน์ล่าสุดลง จากนั้นก็พูดขึ้นมาเบาๆ “เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินเสียงของชายหนุ่มคนนั้น หญิงวัยกลางคนก็หันมา จากนั้นก็พูดเสียงอ่อนโยนออกมา “เป็นอะไรไป เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
“คุณอ่านหนังสือพิมพ์เอาเองเถอะ” เมื่อได้ยินคำถามของหญิงวัยกลางคน ชายหนุ่มกลับไม่ได้มีอารมณ์ดีขึ้นเลย แต่ยังปาหนังสือพิมพ์ลงบนพื้นอีกด้วย
ขมวดคิ้วเป็นปมเล็กน้อย จากนั้นหญิงวัยกลางคนหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาดู
ในคอลัมน์นั้นรายงานข่าวล่าสุดของวันนี้ สิ่งแรกที่เข้ามาในแววตาก็คือ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลี่จุนถิงที่ขึ้นเป็นประธานคนใหม่ของบริษัทลี่ซื่อ บนนั้นมีรูปอันหล่อเหลาของเขาอยู่ด้วย
แต่ผู้ชายที่อยู่ในรูปนั้นมีท่าทีเหมือนกับชายหนุ่มตรงหน้าเป็นอย่างมาก ถึงอย่างไรแววตาก็ยังมีความยิ้มแย้มด้วย
เมื่อเห็นคอลัมน์นี้ หญิงคนนี้ก็ชะงักไป หว่างคิ้วก็มีความตึงเครียดเป็นอย่างมาก ส่วนคอก็ตีบลง จนพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน
“ช่วงนี้ถือว่าให้ลี่จุนถิงได้ออกหน้าออกตาไปก่อน ตั้งแต่เรื่องซื้อขายในตอนนั้น ก็มีคนกลุ่มหนึ่งพยายามเข้ามาเพราะเรื่องเงิน คุณดูสิ คุณว่าจริงไหม?” ชายหนุ่มมีท่าทีเนิบๆ แต่ทระนง
……
“ถึงอย่างไรวิธีที่เขาตัดสินใจทำนั้นก็ไม่เลวเลย พวกเราเองก็ไม่มีอะไรจะพูด” หญิงวัยกลางคนเอาผมทัดหูของตัวเอง ก่อนจะเอาหนังสือพิมพ์วางลงอย่างช้าๆ
ชายหนุ่มคนนั้นอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียดสีออกมา “แล้วจะทำอะไรได้อีกล่ะถ้าเกิดให้โอกาสฉัน ฉันก็ทำได้ดีแบบนั้นเหมือนกัน และอาจจะดีกว่าเขามากหลายร้อยเท่าเลยก็ได้”
“โอเค ไม่พูดเรื่องนี้แล้วล่ะ ฉันขอถามคุณหน่อย……” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องพูด
“พ่อคิดจะพาพวกเรากลับไปที่ตระกูลลี่เมื่อไหร่กัน พวกเราหลบซ่อนมายี่สิบกว่าปีแล้ว เขาควรบอกเวลาที่ชัดเจนกับพวกเราได้แล้วนะ ฉันรอได้ แต่รอเวลาไม่เคยรอใคร ฉันเสียโอกาสไปมากแล้ว ฉันอยากได้อะไรชดเชยกลับมาบ้าง” ชายหนุ่มชะงักไป ก่อนจะพูดออกมาจนหมดจด
หลายปีมานี้เขาเจอโอกาสดีๆ มามาก ถ้าว่ากันตามสติปัญญาของเขาแล้ว การหางานดีๆ นั้นมีมากมายถมเถ แต่กลับถูกเขาปฏิเสธไปทั้งหมด
มันไม่น่าแปลกใจเลย ทั้งหมดเป็นเพราะศักดิ์ศรีและความไม่แยแสของเขา เขาคิดว่า ของพวกนี้ไม่อยู่ในสายตาของเขาเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาอยากได้ คืออำนาจและความสามารถ ก็คือบริษัทลี่ซื่อในวันนี้นี่เอง
นี่เป็นเป้าหมายสูงสุดของเขา แต่พ่อของเขากลับยังคงสัญญาแค่ปากเปล่า แต่ไม่ได้ทำให้มันเกิดขึ้นจริงเลย นี่ทำให้เขารู้สึกเจ็บใจ
“คุณเองก็รู้ ว่าช่วงนี้งานของเขาไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่ มีหลายๆ เรื่องที่ไม่ได้จัดการไม่ได้ พวกเราสัญญาว่าจะให้เวลากับเขา ให้เขาค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องร้อนใจมาก โอเคไหม?” หญิงวัยกลางคนลุกขึ้นมา ก่อนจะพูดอย่างอ่อนโยน
“ทำไม?” ผู้ชายคนนั้นมีแววตาประกายสีเทาขึ้นมา และความโกรธเคืองบนใบหน้า
“ทำไมฉันต้องให้เวลาเขาด้วย หรือเขาไม่เคยคิดถึงพวกเราสองคนเลย?พวกเราลำบากมาเพื่อเขามามากขนาดไหนแล้วรู้ไหม?ถ้าเกิดว่าไม่ยอมรับตั้งแต่แรก ก็อย่ามีฉันออกมาเลย” ชายหนุ่มตวาดเสียงดัง……
“ทำไมฉันต้องมารับกรรม แล้วมาใช้ชีวิตจนๆ อยู่ที่นี่ แต่ลี่จุนถิงกลับอยู่เหนือขึ้นไปอีกอย่างไร้ที่ติล่ะ?แถมยังได้รับการยกย่องจากคนมากมาย ฉันไม่ยอมหรอก เกิดมาจากพ่อคนเดียวกัน ทำไมฉันถึงออกหน้าไม่ได้?” ผู้ชายคนนั้นพูดออกมาด้วยความตื่นตัว
เขาเดินไปมาอย่างหุนหัน
หญิงวัยกลางคนขยับผมสีทองของตัวเอง จากนั้นก็ถอนหายใจด้วยความทำอะไรไม่ได้ “คุณเองก็ไม่ต้องร้อนรนขนาดนั้น คุณต้องเข้าใจด้วยนะ ไม่ว่าอย่างไรในใจของพ่อก็มีเพียงแค่คุณเท่านั้นแหละ”
ชายวัยรุ่นไม่ได้พูดอะไรต่อ ส่วนหญิงวัยกลางคนก็ชะงักไปสักพัก ก่อนจะพูดต่อ
“ในสถานการณ์แบบนี้ต้องรู้ด้วยนะลูกรัก พวกเรารอมาหลายปีแล้ว รออีกไม่นานจะเป็นอะไรไปล่ะ?ฉันบอกคุณตั้งหลายครั้งแล้ว ว่าคนจะประสบความสำเร็จต้องรู้จักอดทน พวกเรารออีกหน่อย คุณต้องเชื่อคุณพ่อนะ” หญิงวัยกลางคนยิ้มขึ้นมา
เมื่อพูดออกไป ผู้หญิงคนนั้นเอามือขาวสวยทั้งสองข้างจับบ่าทั้งสองของชายหนุ่ม ก่อนจะพูดด้วยความจริงจังในใจ