เล่ม 1 ตอนที่ 116-2 จากท่านพ่อ!

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 116-2 จากท่านพ่อ!

ฮูหยินสามสะบัดผ้าเช็ดหน้า “มิต้องแสแสร้งแกล้งโง่แล้วพี่สะใภ้รอง พวกเราเห็นภาพเหมือนของคุณหนูใหญ่เฉียวแล้ว ดูเหมือนนางกับลูกชายของท่านจะสนิทกันมากอยู่นะ ท่านสอนให้เขาทำเช่นนั้นหรือ พี่สะใภ้รอง”

สวีซื่ออดกลั้นโทสะ อธิบายว่า “อวี้ฉีมีวาสนาพบหน้านางไม่กี่หนเท่านั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางเป็นใคร!”

ฮูหยินสามไม่เชื่อแม้แต่น้อย “ไม่รู้จักยังวาดภาพเหมือนไว้มากมายเช่นนั้น แล้วยังชื่นชมนางไม่ขาดปาก”

“เจ้าหลอกถามลูกชายข้าหรือ” สวีซื่อหน้าถมึงทึง

หากเป็นเสิ่นซื่อทำหน้าถมึงทึง ฮูเหยินสามอาจกลัวอยู่สักหน่อย แต่สวีซื่อน่ะหรือ ฮูหยินสามหนังตาไม่กระตุกแม้แต่น้อย “พี่สะใภ้รอง อย่าพูดไม่น่าฟังเช่นนั้นสิ ข้าก็แค่ใส่ใจอวี้ฉี กลัวว่าเขาจะถูกหลอก วันนี้ดูท่าข้าจะเป็นห่วงมากไปเอง ก่อนหน้านี้พี่สะใภ้รองเอ็นดูคุณหนูใหญ่เฉียวยิ่งนัก ดูท่าความผูกพันที่เลี้ยงดูกันมาหลายปีคงทำให้พี่สะใภ้รองทอดทิ้งนางไม่ลง พี่สะใภ้รอง หากท่านบอกควาจริงกับพวกเรามา พวกเราก็มิกล่าวโทษพี่สะใภ้รองหรอก เงินพวกนั้น…เอาไปจุนเจือคุณหนูใหญ่เฉียวแล้วใช่หรือไม่”

สวีซื่ออยากจะกระอักเลือดจริงๆ ให้นางเอาเงินไปจุนเจือสตรีต่ำช้าที่แย่งลูกเขยของนาง นางเอาไปบริจาคให้ขอทานข้างถนนเสียยังดีกว่า!

“แต่เดิมหอหลิงจือก็เป็นของมารดานาง ท่านจะมอบเงินจากหอหลิงจือให้นางจริงๆ พวกเราก็ไม่มีคำใดจะกล่าว แต่พี่สะใภ้รองท่านปิดบังเรื่องนี้กับพวกเรา ทำเช่นนี้คนจะคลางแคลงได้ว่าท่านส่งมอบของคืนเจ้าของหรือว่าแอบเก็บเข้ากระเป๋าตนเองกันแน่”

ประโยคสุดท้ายถึงจะเป็นใจความสำคัญสินะ

นางขบคิดสมองแทบแตกเพื่อครอบครัวนี้ แต่สุดท้ายกลับถูกสงสัยว่ายักยอกเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ช่างน่าเสียใจนัก!

สิ่งที่น่าเสียใจยิ่งกว่าก็คือเหล่าไท่ไท่ผู้นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานมิกล่าวอันใดสักคำ ปล่อยให้ฮูหยินสามเล่นงานสวีซื่อ สวีซื่อเข้าใจแล้ว ฮูหยินสามเพียงใช้ปากของตนกล่าวความคิดของเหล่าไท่ไท่ออกมาก็เท่านั้น

สวีซื่อโกรธจนปวดหัว

ข่าวเรื่องเฉียวเวยรับสมัครคนงานมาถึงหูสวีซื่อตอนนี้พอดี

ตอนแรกหลินมามาไม่ได้ตั้งใจไปสืบสถานการณ์ของเฉียวเวย ครั้งก่อนสวีซื่อใส่ไฟจีเหล่าฮูหยินไป หลินมามาจึงตั้งใจจะไปดูว่าจีเหล่าฮูหยินจัดการเฉียวเวยแล้วหรือไม่ แต่กลับกลายเป็นว่าได้ยินข่าวนางรับสมัครคนงาน

ยังจะมีกะจิตกะใจรับสมัครคนงานอีก นั่นบ่งบอกว่าจีเหล่าฮูหยินไม่ได้จัดการกับนางแต่อย่างใด!

สวีซื่อยิ่งปวดหัว

แม้แต่จีเหล่าฮูหยินก็ทำอันใดนางมิได้ นางเป็นปีศาจชัดๆ!

แต่แล้วหลินมามาก็คิดอะไรบางอย่างออก “ฮูหยิน ตอนนี้เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมที่พวกเราจะคว่ำคุณหนูใหญ่เฉียวแล้วเจ้าค่ะ!”

มือที่นวดคลึงขมับของสวีซื่อชะงัก “อย่างไร”

หลินมามาถามกลับ “ท่านจำมิได้หรือว่านางขายสิ่งใด”

“ไข่เยี่ยวม้าหรือ” สวีซื่อจดจำสิ่งนี้ได้ดียิ่งนักเพราะถูกหลอกเสียยับเยิน ตอนนี้นึกขึ้นมาหัวใจก็ยังหลั่งเลือด

หลินมามาถามชักนำให้คิดตาม “ท่านทราบหรือไม่ว่าไข่เยี่ยวม้าขายให้ที่ใด”

“ที่ใด”

“ในวัง”

สวีซื่อตกตะลึง “อะไรนะ ในวังก็เริ่มกินไข่เยี่ยวม้าของนางแล้วหรือ”

หลินมามาพยักหน้า “เถ้าแก่ของหรงจี้พูดเองกับปากว่าวันฉลองสมภพของรัชทายาทก่อนหน้านี้ หรงจี้ได้รับเชิญไปปรุงอาหารให้ฮ่องเต้กับรัชทายาท คิดว่าคนในวังคงได้ชิมไข่เยี่ยวม้าของนางตอนนั้น บ่าวเดาว่านางรับคนงานก็เพื่อทำการค้ากับในวัง”

สวีซื่อลุกขึ้นมานั่งตัวตรง แล้วพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “ทำการค้ากับในวัง นั่นเป็นการค้าขายใหญ่โตมากเท่าใดกัน”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยิน ตอนนี้ข้างนอกขายไข่เยี่ยวม้ากันอย่างบ้าคลั่ง” หลินมามาเอ่ยต่อ “ขอเพียงพวกเราเอาสูตรของนางมาไว้ในมือได้ ยังจะกลัวหาเงินไม่ได้อีกหรือ กิจการที่ตนเองทำย่อมไม่เหมือนกับหอหลิงจือที่ต้องแบ่งเงินให้กับเรือนอื่น เงินทุกอีแปะล้วนเป็นของท่านคนเดียว!”

เมื่อนึกภาพก้อนเงินสีขาววิบวับ สวีซื่อก็พลันตาวาว “นางกล้าหลอกเอาเงินของบุตรสาวข้า รอข้าได้สูตรมาไว้ในมือก่อน ดูสิว่านางยังจะโอหังได้อีกหรือไม่!”

ประกาศรับคนงานของเฉียวเวยบอกไว้ชัดเจนว่าไม่จำกัดชายหญิง สวีซื่อรู้สึกว่าสตรีน่าจะได้รับความไว้วางใจจากแม่ม่ายสาวคนหนึ่งมากกว่าบุรุษ ดังนั้นจึงส่งสาวใช้ที่ภักดีสองคนเดินทางไปสมัคร

เฉียวเวยกำลังไถพรวนแปลงดินอยู่ในคฤหาสน์ ตอนนั้นเองเงาคนร่างหนึ่งก็หยุดอยู่ตรงประตู นางเอ่ยโดยที่ไม่เงยหน้า “รับสมัครงานตอนเช้าวันพรุ่งนี้”

“ข้าไม่ได้มาสมัครงาน”

จู่ๆ เสียงของยิ่นอ๋องก็ดังขึ้นตรงประตู เฉียวเวยขมวดคิ้วทันใด มือสองข้างวางทับกันอยู่บนด้ามจอบ แล้วมองยิ่นอ๋องอย่างพูดไม่ออก “ยิ่นอ๋องที่เคารพ ท่านมาหาข้าที่บ้านอีกด้วยเรื่องอันใด”

ยิ่นอ๋องกล่าวว่า “ข้ามาพบลูก”

เฉียวเวยกลอกตาในใจ “ข้าบอกท่านกี่ครั้งแล้วท่านฟังไม่เข้าใจหรือ วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นไม่ใช่ลูกของท่าน!”

ยิ่นอ๋องเถียงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเขาเป็นลูกข้า ข้าส่งคนไปสืบมาแล้ว คืนนั้นผู้หญิงที่ร่วมราตรีกับข้าคือเจ้า!”

เฉียวเวยหมดปัญญาจะอธิบายกับคนบ้าผู้ดื้อดึงคนนี้แล้ว “ได้ ต่อให้คนที่อยู่บนเตียงท่านคือข้า แล้วอย่างไรเล่า ข้าหลับนอนกับท่านแล้วจะต้องตั้งท้องแน่นอนหรือ สตรีในจวนของท่านมีมากมายปานนั้น เหตุใดไม่เห็นมีผู้ใดตั้งท้องสักคน ยิ่นอ๋องไม่ใช่ข้าจะสาปแช่งท่านหรอกนะ แต่ข้าว่าความสามารถในด้านนั้นของท่านอาจจะ…มีปัญหาหรือไม่”

ยิ่นอ๋องหน้าดำเป็นถ่านในพริบตา!

สตรีในจวนเขาไม่ตั้งท้องบุตรเพราะว่าหลังเสร็จกิจ เขาจะมอบน้ำแกงห้ามครรภ์ให้พวกนางเสมอ แต่ครั้งนั้นกับคุณหนูใหญ่เฉียว เขาขุ่นเคืองยิ่งนัก หลังจากแทงนางหนึ่งกระบี่ก็ลืมให้นางกินน้ำแกงห้ามครรภ์

แต่ก็โชคดีที่ลืม มิเช่นนั้นคงไม่มีเด็กน้อยน่ารักสองคนนี้

ยิ่นอ๋องไหนเลยจะรู้ว่า คุณหนูใหญ่เฉียวไม่เพียงดื่มลงไปแล้ว แต่ยังดื่มอย่าง ‘เต็มใจ’ อย่างยิ่ง แต่ผลสุดท้ายก็ยังให้กำเนิดเด็กน้อยน่ารักสองคนออกมาอยู่ดี

ไม่อาจไม่พูดว่าใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีน้ำยาดียิ่งนัก!

เฉียวเวยคร้านจะวุ่นวายกับยิ่นอ๋องจึงแบกจอบเดินเข้าบ้าน

ยิ่นอ๋องไล่ตามมา แต่ถูกเฉียวเวยขวางไว้นอกประตู “ที่นี่คือบ้านของข้า บ้านข้าไม่ต้อนรับท่าน!”

“เจ้าไม่มีสิทธิห้ามไม่ให้ข้าพบลูก!”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ถ้าเช่นนั้นท่านก็ฟ้องข้าสิ!”

เขาจะฟ้องอย่างไรเล่า

องค์ชายแห่งแคว้นหนึ่งฟ้องสตรีคนหนึ่งว่าแย่งชิงบุตรไป นี่ไม่ใช่ประกาศให้ใต้หล้าทราบเรื่องน่าขายหน้าหรอกหรือ เขาคงยอมเสียหน้าเช่นนั้นไม่ได้!

แต่ตอนนี้เขามิอาจใช้ไม้แข็ง

ประการที่หนึ่งเขายังสืบเรื่องเมื่อห้าปีก่อนอยู่ หากยังไม่ได้ผลลัพธ์ คำกล่าวเมื่อครู่ความจริงแล้วก็เป็นเพียงการขู่คุณหนูใหญ่เฉียว ผู้ใดจะคิดว่าสตรีคนนี้ไม่ยอมติดกับแม้แต่น้อย!

ประการที่สองเด็กๆ เหมือนจะไม่พอใจเขาอยู่พอสมควร หากเขาทะเลาะกับนางอีก เด็กๆ ต้องไม่สนใจเขามากกว่าเดิมแน่

“ข้าเพียงอยากพบพวกเขา” เขาผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนลง

หากไม่รู้นิสัยของเขาดี เฉียวเวยคงถูกภาพลักษณ์บิดาผู้เมตตาที่เขาเสแสร้งสร้างขึ้นมาทำให้หวั่นไหวแล้ว “ท่านพบพวกเขาแล้วจะทำอันใด ลักพาตัวไปไม่สำเร็จ จึงเตรียมจะเอาน้ำตาลเคลือบกระสุนมาหลอกล่อหรือไร ข้าขอบอกท่าน ข้าไม่มีวันให้ท่านพบพวกเขา! ท่านตัดใจเสียเถอะ!”

ยิ่นอ๋องลำบากนักกว่าจะทำใจสนทนากับนางด้วยดีได้ แต่นางกลับไม่รับรู้เจตนาดี “เจ้าทำเช่นนี้มากเกินไปหรือไม่”

เฉียวเวยยิ้มหยัน “เทียบกับตอนนั้นที่ท่านแทงข้าหนึ่งกระบี่เปล่าๆ ข้ารู้สึกว่าข้าเกรงใจท่านมากแล้ว”

ยิ่นอ๋องหรี่ตาลง “เรื่องตอนนั้นเป็นความเข้าใจผิด หากเจ้าต้องการ ข้าจะชดเชยให้เจ้า ตำแหน่งชายารองยังเป็นของเจ้าอยู่ เจ้ากลับจวนไปพร้อมกับลูกๆ ได้”

พูดจาหมาๆ!

ผู้ใดอาลัยอาวรณ์ตำแหน่งชายารอง

นางบอกตั้งแต่แรกแล้วว่านางไม่ต้องการ เขาก็เอาแต่พูดเหมือนมันเป็นทองคำก้อนหนึ่ง ไม่เห็นหรือว่าในสายตานางมันคือก้อนอาจม

เฉียวเวยยิ้มอย่างเฉยชาแล้วตอบว่า “ท่านอ๋อง ท่านกลัวขายหน้าผู้อื่นแต่ข้าไม่กลัว หากท่านยังไม่ไปอีก ข้าจะฟ้องทางการแล้ว”

ยิ่นอ๋องจากไปพร้อมกับสีหน้าเย็นยะเยือก

เฉียวเวยเดาถูกแล้ว เขาไม่ได้ขึ้นเขามาเพื่อมาหาลูกจริงๆ เขามาเพราะว่าทางฝั่งเจียงหนานสืบหาข้อมูลไม่พบ จึงคิดจะมาสืบถามจากฝั่งคุณหนูใหญ่เฉียว จีหมิงซิวกล้าเอ่ยวาจาเช่นนั้นกับเขา หรือจะเป็นเพราะจีหมิงซิวสืบพบสิ่งใดมา แต่หากจีหมิงซิวสืบพบเบาะแสแล้ว เขาไม่มีทางไม่บอกคุณหนูใหญ่เฉียว

เผชิญหน้ากันหนหนึ่ง แต่เขากลับหลอกถามข้อมูลที่มีประโยชน์อะไรมิได้เลย ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่เฉียวไม่รู้สิ่งใดทั้งสิ้นหรือเก็บซ่อนไว้ลึกเกินไป ดีเกินไปกันแน่

ภายในห้องหนังสือของเรือนสี่ประสาน จีหมิงซิวได้รับสารผ่านพิราบสื่อสารของไห่สือซานอีกหน

เขาให้ไห่สือซานค้นหาตัวหมอพเนจรอย่างเต็มกำลัง แต่สิ่งที่ทำให้คนผิดหวังก็คือไห่สือซานใช้ลูกน้องทั้งหมดแล้วก็ยังหาตัวหมอพเนจรไม่พบ

แม้แต่คนลึกลับที่ลบร่องรอยทั้งหมดเมื่อห้าปีก่อนทิ้งคนนั้นยัง ‘กำจัด’ หมอพเนจรมิได้ เห็นได้ว่าร่องรอยของหมอพเนจรลึกลับมากเพียงใด

จีหมิงซิวนั่งอยู่ในห้องหนังสืออีกพักหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงลูกขึ้นมา

ก่อนหน้านี้มิทราบว่าเป็นลูกแท้ๆ ของตน ยามไปเยี่ยมเยียนจึงไม่หวาดกลัวแต่อย่างใด แต่ตอนนี้พอทราบแล้วกลับกลัวเสียได้

ทุกคนจดจำเรื่องราวในตอนนั้นฝังใจกันไปแล้ว หากยังหาพยานหรือหลักฐานที่น่าเชื่อถือไม่พบ การจะปล่อยให้ผู้อื่นทราบว่าเขากับเฉียวเวยเคยเป็นสามีภรรยากันหนึ่งราตรีย่อมมิใช่เรื่องดีนัก

หากพิสูจน์ไม่ได้ว่าสตรีของยิ่นอ๋องไม่ใช่เฉียวเวย แล้วเปิดเผยว่าเขาเคยหลับนอนกับเฉียวเวยมาก่อน คุณหนูใหญ่เฉียวคงกลายเป็นสตรีสองผัวในสายตาคนทั้งใต้หล้า

หากถูกน้ำสกปรกถังนี้สาดใส่ สถานะของเฉียวเวยกับลูกทั้งสองย่อมกระอักกระอ่วน

เขาไม่เคยเป็นห่วงมากมายเช่นนี้มาก่อน

พวกเขากินข้าวแล้วหรือไม่ อาบน้ำแล้วหรือยัง กำลังทำสิ่งใดอยู่ ทะเลาะกันหรือเปล่า…

หัวใจถูกอารมณ์อันยากจะพรรณนาสายหนึ่งอัดแน่น ลมหายใจที่สูดเข้าปอดเหมือนมีความขมขื่นอันเย็นเฉียบแฝงอยู่เลือนราง

“นายท่าน” หมิงอันยกขนมถาดหนึ่งเดินเข้ามา “ท่านทานอาหารเย็นน้อยนัก ทานอะไรอีกสักหน่อยเถิดขอรับ”

นับตั้งแต่จีเหล่าฮูหยินสั่งลงโทษบ่าวรับใช้ในเรือน หมิงอันก็ทำหน้าที่แทนลี่ว์จูชั่วคราว

“ไม่ล่ะ”

จีหมิงซิวลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังเรือนตะวันออก

บนกำแพงแขวนภาพวาดของวั่งซูเอาไว้ ทุกภาพล้วนเหมือนยันต์ปราบผี แต่ในสายตาของจีหมิงซิว ภาพทั้งหมดล้วนน่ารักอย่างยิ่ง

บนโต๊ะหนังสือก็มีหนังสือที่จิ่งอวิ๋นเคยอ่าน อายุน้อยๆ ก็เริ่มอ่านบันทึกภูมิศาสตร์เสียแล้ว ฉลาดยิ่งกว่า พากเพียรยิ่งกว่าเขาสมัยอายุห้าขวบเสียอีก

บนโต๊ะเครื่องแป้งวางแป้งและชาดของผู้หญิงเอาไว้ เขาเคยเห็นนางแอบหยิบไปใช้ แต่นางเจ้าเล่ห์นักแต่งให้เหมือนกับไม่แต่ง แต่กลับงดงามขึ้นหลายส่วน

หากทราบก่อนว่านางเป็นคนน่าสนใจเช่นนี้ เมื่อห้าปีก่อนเขาก็ไม่ควรหลบเลี่ยงนางสินะ หากแต่งนางเข้าจวนมาเสียตั้งแต่ต้น ตอนนี้ก็คงมีครอบครัวสุขสันต์แล้ว

แต่ได้ยินมาว่านิสัยเมื่อห้าปีก่อนของนางมิใช่เช่นนี้ หากเวลานั้นได้พบกันจริง บางทีอาจไม่ได้มีสถานะเช่นตอนนี้ก็เป็นได้

“ควรดื่มยาแล้วขอรับ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเคาะประตู

จีหมิงซิวรับถ้วยยามาแล้วดื่มจนหมดโดยไม่พูดพร่ำสักคำ

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเห็นแล้วตาโตอ้าปากค้าง เวลาดื่มยานายน้อยดื้อที่สุดแล้ว แต่ละครั้งล้วนเถียงว่าดื่มไปก็ไร้ประโยชน์ มิสู้ไม่ดื่มเสียดีกว่า จะให้เขาดื่มยาสักถ้วย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยต้องพูดจนปากคอแห้ง

“ไห่สือซานบอกสิ่งใดกับท่านกันแน่ พักนี้ท่านเชื่อฟังยิ่งนัก!”

แปลกนักชียว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยเสริมในใจอีกคำ

จีหมิงซิวมองลายเส้นยึกยือที่แขวนอยู่บนกำแพง แววตาพลันทอประกายลึกล้ำ “ลุงเยี่ยน ข้าอยากมีชีวิตอยู่ อยากมีชีวิตอยู่ยิ่งกว่าเวลาไหนๆ”

ท้องฟ้าทอแสงรำไร เจ้าตัวน้อยมุดออกมาจากผ้าห่ม

จิ่งอวิ๋นตื่นขึ้นมาเอง แต่วั่งซูตื่นขึ้นมาเพราะปวดปัสสาวะ

นางจดจำเรื่องที่เคยถูกขังอยู่นอกบ้านสมัยก่อนมิได้แล้ว แต่ในหัวใจยังมีปมฝังอยู่ว่าห้ามฉี่รดกางเกง ห้ามฉี่รดที่นอน

วั่งซูลงจากเตียงอย่างสะลึมสะลือ แล้วเดินโงนเงนออกไปด้านนอกทั้งที่ดวงตายังหลับอยู่

นางมีกระโถนน้อยของตนวางไว้ท้ายเรือน

นางนั่งบนกระโถนน้อยแล้วปัสสาวะจนเสร็จ จากนั้นใช้ ‘กระดาษทิชชูแบบดึง’ ที่วางอยู่บนกระโถนเช็ดก้น แล้วเดินกลับห้องอย่างสะลึมสะลือ

แต่ครั้งนี้นางเดินผิดทาง จึงเดินไปถึงสวนด้านหน้า

ทันใดนั้นบางสิ่งก็เกี่ยวขาจนนางถลาลงไปที่พื้น

นุ่มนัก สบายจริงเชียว…

วั่งซูกรนเบาๆ แล้วหลับไป

เมื่อเฉียวเวยทำอาหารเช้าในห้องครัวเสร็จ นางก็เข้าไปในห้องเพื่อปลุกวั่งซู แต่พบว่าบนเตียงไม่มีผู้ใดอยู่

หรือว่าจะ…ไปห้องหนังสือแล้ว

“จิ่งอวิ๋น ตามน้องสาวเจ้ามากินข้าว!” เฉียวเวยตะโกนเรียก

จิ่งอวิ๋นคิดว่ามารดาต้องการให้เขาไปปลุกน้องสาวจึงปิดหนังสือแล้วไปที่ห้องนอนของเฉียวเวย “เอ๋ น้องสาวไม่อยู่หรือ ท่านแม่! น้องไม่อยู่ในห้อง!”

ห้องหนังสือก็ไม่มีหรือ

เฉียวเวยรีบค้นหาทุกห้องจนครบ แต่ไม่เห็นเงาของลูกสาว เฉียวเวยตกใจ หัวใจเต้นรัวจนแทบจะขึ้นมาจุกที่คอ

“ท่านแม่ๆ ! น้องอยู่นี่ขอรับ!”

เฉียวเวยเดินตามเสียงของลูกชายไปจนถึงสวนหน้าบ้าน แล้วก็เห็นผืนหญ้าเขียวขจีมีตุ๊กตาผ้าสีทองอร่ามกองหนึ่งงอกออกมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ แต่ละตัวน่ารักยิ่งนัก แล้วยังสวมกระโปรงคนละแบบ กระโปรงเองก็ทำอย่างประณีต รูปแบบมีเอกลักษณ์ มองปราดแรกนี่มันตุ๊กตาบาร์บี้แบบฉบับโบราณชัดๆ

ลูกสาวของนางเกาะอยู่บน ‘ตุ๊กตาบาร์บี้’ ตัวหนึ่ง ในอ้อมแขนก็กอด ‘ตุ๊กตาบาร์บี้’ อีกตัวหนึ่ง น้ำลายยืดไหลย้อย

“ตุ๊กตามากมายเช่นนี้ ผู้ใดส่งมาให้กัน” จิ่งอวิ๋นเบิกตาโตแล้วถามขึ้นมา

ไม่รู้สิ นางเป็นห่วงเรื่องรับสมัครงานจึงคิดแต่จะทำอาหารเช้าให้เสร็จเร็วหน่อยแล้วไปส่งลูกๆ ที่สำนักศึกษา ทำให้ไม่มีเวลามาแวะดูสวนหน้าบ้าน ไม่รู้ว่า ‘ตุ๊กตาบาร์บี้’ ตัวน้อยที่งดงามประณีตเหล่านี้ มาปรากฏที่คฤหาสน์อย่างไม่ให้สุ่มให้เสียงได้เช่นไร

ไม่นานสองแม่ลูกก็พบว่าไม่ได้มีแต่ตุ๊กตาผ้าเท่านั้น ด้านข้างยังมีกล่องหุ้มผ้าไหมใบหนึ่ง เมื่อเปิดออกก็พบว่าเป็นหนังสือบันทึกภูมิศาสตร์หลายเล่ม

ด้านข้างกล่องบุไหมมีดอกไม้งามสีสดจนแทบจะกลั่นเป็นน้ำได้วางอยู่หนึ่งกระถาง

เฉียวเวยมองตาค้าง ผู้ใดขนสิ่งของมากมายเช่นนี้มาให้ตั้งแต่เช้าตรู่

กระดาษชิ้นหนึ่งร่วงลงมาจากหนังสือบันทึกภูมิศาสตร์ เมื่อจิ่งอวิ๋นอ่านจบ ปากก็อ้ากว้างกลายเป็นรูปตัวโอ “จากท่านพ่อขอรับ!”