เล่ม 1 ตอนที่ 117-1 บุกมาหาถึงบ้าน

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 117-1 บุกมาหาถึงบ้าน

เฉียวเวยมีวินัยในการทำงานและพักผ่อนอย่างยิ่ง เด็กๆ จึงใช้ชีวิตอย่างมีวินัยไปด้วย ถึงยามใดควรทำสิ่งใด ไม่เคยโอ้เอ้แม้แต่น้อย

ยามเฉิน (เจ็ดโมงเช้า) ของทุกวันเป็นเวลาทานอาหารเช้าของครอบครัวสามแม่ลูก เด็กๆ ยังเล็กจึงกินช้า ใช้เวลาราวหนึ่งเค่อกว่าๆ จึงทานเสร็จ หลังจากนั้นเฉียวเวยจะเก็บชามตะเกียบ แล้วพาเด็กๆ ออกจากบ้าน ไปถึงสำนักศึกษาประมาณยามเฉินกับอีกสี่เค่อ ทันเวลาที่ซิ่วไฉเฒ่าเริ่มชั้นเรียนพอดี

แต่วันนี้แผนที่วางไว้ถูกรบกวนจนยุ่งเหยิง

โต๊ะที่สมควรวางอาหารอยู่เต็มโต๊ะกลับถูกบรรดาตุ๊กตาตัวน้อยสีทองวิบวับจนตาแทบบอดยึดครอง ด้านหน้ากองทัพตุ๊กตาที่ ‘เกาะกลุ่มกันสร้างไออุ่น’ คือกุหลาบขาวสดสวยดูไม่ธรรมดากระถางหนึ่ง ข้างใต้กระถางดอกกุหลาบขาวคือกระดาษที่มีลายมืองดงามเขียนอยู่สองใบ ใบหนึ่งคือใบที่เฉียวเวยได้มาในคืนวันเกิด ส่วนอีกใบหนึ่งคือใบที่พบพร้อมกับของขวัญเช้าวันนี้ ใบที่ลงท้ายว่า “จากท่านพ่อ”

กระดาษทั้งสองแผ่นลายมือเหมือนกันทุกประการ สิ่งนี้บ่งบอกอะไร มิต้องกล่าวก็รู้

มุมปากของเฉียวเวยขยับยกขึ้น เจ้าหมอนี่บุ่มบ่ามรับเด็กๆ เป็นลูกโดยไม่ผ่านการเห็นชอบของนางได้อย่างไร

ตอนมาสารภาพกับนางไม่ยอมเอ่ยถึงเรื่องยอมรับเด็กๆ เป็นลูกสักนิด จนนางคิดว่าเขายังไม่มีแผนสำหรับเรื่องนี้ ที่แท้ก็เตรียมจะทำสิ่งนี้อยู่นี่เอง

ความจริงหากพูดกันให้ชัด เรื่องในวันนี้มิใช่ว่าจะทำอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้ ด้วยความสามารถของจีหมิงซิว หากอยากหลบเฉียวเวย จะให้สือชีนำสิ่งของเข้าไปไว้ในห้องของวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นโดยตรงเลยก็ย่อมได้ หากสือชีใช้วิชาตัวเบาอันล้ำเลิศของเขา เฉียวเวยย่อมไม่รู้ตัวอย่างแน่นอน

สาเหตุที่วางไว้ตรงสวนด้านหน้าก็คงเพราะต้องการมอบสิทธิการตัดสินใจให้เฉียวเวย

เพียงแต่ผู้ใดก็คงไม่คาดคิดว่า เฉียวเวยผู้ลุกจากที่นอนเป็นคนแรกเสมอกลับมิได้พบของขวัญเป็นคนแรก แต่วั่งซูผู้รักการนอนอุตุบนเตียงอยู่เสมอกลับจับพลัดจับผลูมาเจอก่อน

หากมีเพียงของขวัญประหลาดเหล่านี้ก็แล้วไปเถิด เฉียวเวยยังบอกปัดกับเด็กๆ ได้ว่านางสั่งทำมา แต่จิ่งอวิ๋นดันเปิดหนังสือไปเจอกระดาษแผ่นนั้น เฉียวเวยอยากจะโกหกก็อับจนหนทางแล้ว

“ท่านพ่อส่งมาให้พวกเราจริงหรือเจ้าคะ” วั่งซูกอดตุ๊กตาผ้าตัวใหม่ของนางไม่ยอมวางพลางถามขึ้นมา

สัญชาตญาณของเฉียวเวยอยากปฏิเสธ แต่เมื่อประจันหน้ากับดวงตาเปี่ยมความคาดหวังของเด็กๆ นางก็พูดไม่ออก

“ใช่ท่านพ่อหรือไม่เจ้าคะ ท่านแม่” วั่งซูกะพริบตาปริบๆ ถาม

“เรื่องนี้…” เฉียวเวยเม้มปาก “แม่ไม่ได้ติดต่อกับพ่อของเจ้ามาหลายปีแล้ว แม่ก็ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่…”

วั่งซูหลุบตาลงอย่างผิดหวัง มือน้อยอวบอูมลูบเสื้อของตุ๊กตาป้อยๆ เฉียวเวยเห็นความเงียบงันแฝงท่าทางหดหู่นั่นก็ใจอ่อน

นางรู้มาตลอดว่าเด็กๆ ปรารถนาบิดา นางพยายามอีกเท่าใด เก่งกาจอีกเท่าใดก็เติมเต็มช่องว่างนั้นในหัวใจพวกเขาไม่ได้

เพียงแต่เรื่องทุกอย่างเข้ามากะทันหันเกินไป นางจึงปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง

แต่นางจะเอาความไม่คุ้นชินของตนมาพรากความปรารถนาในหัวใจของลูกๆ ไปไม่ได้

“แม้จะไม่ได้ข่าวมาหลายปีแล้ว แต่ดูจากตัวอักษรก็เหมือนบิดาของพวกเจ้าพอสมควร” เฉียวเวยยิ้มจางๆ ตอบ

ดวงหน้าน้อยที่หดหู่ของวั่งซูกลายเป็นรอยยิ้มเจิดจ้าในพริบตา “ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าเป็นท่านพ่อ!”

นับตั้งแต่วันนี้นางเป็นเด็กที่มีพ่อแล้ว นางไม่ต้องอิจฉาเด็กในหมู่บ้านเหล่านั้น แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าผู้ใดจะมาด่านางว่าเป็นลูกชู้แล้ว

เพราะนางไม่ใช่

นางมีท่านพ่อ

วั่งซูกอดตุ๊กตาผ้า ยิ้มอย่างเบิกบานใจ

เฉียวเวยเห็นลูกสาวยิ้ม ฉับพลันก็รู้สึกว่าทุกสิ่งคุ้มค่าแล้ว

เฉียวเวยลูบศีรษะน้อยของนางเบาๆ “เอาล่ะ เก็บโต๊ะให้สะอาด ของขวัญของใครก็เอาไปเก็บไว้ในห้องของคนนั้น”

“เจ้าค่ะ!” วั่งซูตอบรับอย่างฉับไวยิ่งนัก นางกอดตุ๊กตาผ้ากระโดดลงไปบนพื้นแล้วคว้าอีกตัวหนึ่งวิ่งตึงตังกลับไปยังห้องของตนเอง

“จิ่งอวิ๋น” เฉียวเวยหันไปมองลูกชาย

จิ่งอวิ๋นกระโดดลงมาบนพื้นเบาๆ แล้วอุ้มหีบกลับไปที่ห้อง

ไม่รู้ว่าเฉียวเวยคิดไปเองหรือไม่ แต่ลูกชายแหมือนจะไม่ตื่นเต้นดีใจเท่าลูกสาว

แต่เดิมทีจิ่งอวิ๋นก็มีนิสัยเงียบขรึมอยู่แล้ว ดีใจหรือไม่ดีใจไม่แสดงออกทางสีหน้าสักนิด เฉียวเวยจึงไม่เก็บมาใส่ใจ รอจนกระทั่งวั่งซูขนตุ๊กตาผ้าบนโต๊ะไปไว้บนเตียงจย้าจื่อของตนหมดแล้ว เฉียวเวยจึงเข้าไปในห้องครัวยกอาหารเช้าออกมา

ทานอาหารเช้าเสร็จ เฉียวเวยก็ปลูกกุหลาบขาวกระถางนั้นลงในแปลงที่เพิ่งไถพรวนเสร็จในสวนด้านหน้า

เฉียวเวยพาลูกๆ ไปส่งที่สำนักศึกษา เมื่อกลับมาบนเขาก็พบว่ามีชาวนามารอสมัครงานไม่น้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุรุษ สตรีมีเพียงสามสี่คน แต่เดิมป้าจ้าวอยากมาด้วย แต่ป้าหลัวห้ามเอาไว้

ถึงอย่างไรป้าจ้าวก็อายุมากแล้ว ทำอาหารวันละสองมื้อไม่เป็นอะไร แต่หากต้องทำงานยุ่งตั้งแต่เช้าจรดค่ำเหมือนอากุ้ยกับกู้ชีเหนียง แล้วตกกลางคืนยังต้องทำงานเพิ่มอีก ร่างกายน่าจะรับไม่ไหว

มารดาของเอ้อร์โก่วจื่อก็คิดจะมาเช่นกัน แต่นางทำได้แต่งานระยะสั้น ทำระยะยาวไม่ได้ บ้านของนางทำนา ช่วงที่ยุ่งกับการทำนาไม่มีเวลาผละตัวมาได้

กลายเป็นว่าภรรยาของสวีต้าจ้วงต่างหากที่มาสมัคร น่าเสียดายที่นางไม่ถูกเลือก

มิใช่เพราะเฉียวเวยดูถูกหญิงสาว แต่ความจริงก็คือภรรยาของต้าจ้วงผอมเกินไปจนเหมือนมนุษย์กระดาษ เฉียวเวยกลัวว่าให้ทำงานเหนื่อยตลอดช่วงเช้า แม่นางผู้นี้ก็คงเป็นลมล้มพับแล้ว

สิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดก็คือน้าหลิวก็มากับเขาด้วย

เฉียวเวยกับน้าหลิวทะเลาะกันรุนแรงมาก ทั้งเคยตบหน้า ทั้งเคยโยนลงจากรถม้า เป็นเช่นนี้แล้ว นางยังมีหน้ามาอีกหรือ

น้าหลิวเดิมทีไม่คิดจะมา แต่เจ้าหนี้บีบคั้นจนหนทางแล้วจริงๆ อีกทั้งปีนี้ยังแล้ง ผลผลิตไม่ดี หากนางไม่ทำงานสักหน่อย ที่บ้านคงไม่มีข้าวกินแล้ว

แผนการแรกของนางคือเข้าไปในเมือง แต่เมืองไกลเกินไป ทำงานคู่กับดูแลบ้านไม่ได้ คิดมาคิดไป งานของเสี่ยวเฉียวเหมาะสมที่สุด

แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญที่สุดก็คือค่าจ้างมาก

มารดาของเอ้อร์โก่วจื่อกับป้าจ้าวทำอาหารอยู่บนเขาสองเดือนก็ได้ห้าตำลึงแล้ว ต้องบอกก่อนว่าสตรีออกมาทำงานข้างนอกอย่างมากก็ได้เงินเดือนละหนึ่งตำลึงเท่านั้น ค่าจ้างของเสี่ยวเฉียวมากกว่าสองเท่าของผู้อื่น นางขาดเงินเช่นนี้ นางจะไม่หวั่นไหวได้เช่นไรเล่า

เพียงแต่จนสุดท้ายนางก็ยังวางศักดิ์ศรีไม่ลงอยู่บ้าง

นางยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่สบอารมณ์ รู้สึกเหมือนทุกคนกำลังมองนางด้วยแววตาที่แฝงสารพัดความนัย ชี้มือชี้ไม้มาทางนาง

“น้าหลิว ขออภัยด้วย เกรงว่าเจ้าคงไม่เหมาะ” เฉียวเวยกล่าว

น้าหลิวตกตะลึงถามว่า “ข้าไม่เหมาะตรงไหน เสี่ยวเฉียว เจ้าคงไม่ได้เห็นข้าขัดตาเลยจงใจไม่รับข้าหรอกนะ”

น้าหลิวคนนี้ก็นับว่าไม่ได้โง่เกินไปนักนี่ แต่หากไม่โง่ไฉนจึงมาสมัครงานกับนางที่นี่เล่า นางไม่รู้หรือว่าตนไม่มีทางรับนางเข้าทำงาน

ด่านางว่าเป็นผู้หญิงร่าน ด่าลูกสองคนของนางว่าเป็นลูกชู้ แล้วยังเคยถีบลูกชายนางอีก สมองนางคงน้ำเข้าแล้วหากข้ามคนโขยงใหญ่ไปเลือกคนที่ตนเองเกลียด

มันก็จริงอยู่ที่หลิวชุ่ยฮวาน่าสงสาร รายได้ไม่ดี แล้วยังถูกคนทั่วสารทิศไล่ทวงหนี้ แต่แล้วอย่างไรเล่า เกี่ยวอันใดกับนาง คนก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มิใช่เด็กน้อยอายุสามขวบเสียหน่อย อีกฝ่ายย่อมสมควรแบกรับผลลัพธ์จากการกระทำของตนสิ ผลลัพธ์ของการรังแกพวกนางสามแม่ลูกครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือนางไม่มีวันยื่นมือไปช่วยอีกฝ่ายยามตกระกำลำบาก

น้าหลิวร้องไห้วิ่งลงจากเขา

มีคนมองมาหาเฉียวเวยด้วยแววตาสงสัย แต่เฉียวเวยไม่สนใจ

เรื่องของน้าหลิว นางถามตนเองดูแล้วรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดให้ละอายใจ ฉะนั้นนางย่อมไม่สนใจว่าผู้อื่นจะคิดเช่นไร

อย่ามาพูดอะไรทำนองว่าเกิดเป็นคนต้องรู้จักใจกว้าง นางไม่ทำ

ตอนนางสิ้นไร้ไม้ตอก หลิวชุ่ยฮวาเคยมอบอาหารให้นางกินหรือ หลิวชุ่ยฮวาข่มเหงนาง ด่าทอดูถูกนางอย่างสาแก่ใจนัก แล้วตอนนี้มาร่ำไห้เล็กน้อย คร่ำครวญนิดหน่อยก็กลายเป็นความผิดของนางหรือไร

อยากคิดอย่างไรก็คิดกันตามสบาย!

ป้าหลัวใจอ่อนเล็กน้อย นางเป็นคนใจอ่อนง่าย คิดว่าหลิวชุ่ยฮวาเองก็ลำบาก ก่อนหน้านี้วางอำนาจบาตรใหญ่แต่ตอนนี้คงสำนึกผิด กลับตัวจากใจจริงแล้วจึงขึ้นเขามาหางานทำ นี่เป็นโอกาสดียิ่งนักที่เฉียวเวยกับหลิวชุ่ยฉวาจะคืนดีกัน วันหน้าคนในหมู่บ้านเห็นเฉียวเวย จะได้ชื่นชมว่านางจิตใจดีเมตตาอารี

เฉียวเวยอธิบายอย่างอดทน “แม่บุญธรรม ชื่อเสียงเหล่านั้นล้วนแต่เป็นสิ่งจับต้องไม่ได้ ตนเองใช้ชีวิตสบายจึงสำคัญที่สุด ท่านดูวันนี้ข้าเพียงพูดประโยคเดียวว่านางไม่เหมาะ หลิวชุ่ยฮวาก็คิดว่าข้าจงใจเล่นงานนางแล้ว หลังจากนี้หากมีเรื่องไม่พอใจในโรงงานขึ้นมาสักเรื่อง นางจะบอกว่าข้าจงใจเล่นงานนางอีกหรือไม่ นางนิสัยขี้โมโหเช่นนี้ หากทะเลาะกับผู้ใดขึ้นมา จะคิดว่าอีกฝ่ายมีข้าถือหางอยู่หรือไม่ ท่านว่าหากข้ารับนางเข้าโรงงานมา ทุกคนจะยังมีวันคืนอันสงบสุขอยู่อีกหรือ”

ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น หากพูดถึงนิสัยของหลิวชุ่ยฮวาแล้ว นางก็อาจจะทำเรื่องเหล่านี้ได้จริงๆ

ป้าหลัวพยักหน้า “ข้าไตร่ตรองไม่ดีเอง”

สุดท้ายเฉียวเวยก็รับคนหนุ่มสาวเข้ามาสองคน คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลา คนหนึ่งเป็นแม่นางผู้วางตัวเรียบร้อยและดูสะอาดสะอ้าน

มือของทั้งสองคนล้วนมีหนังด้านอยู่เต็มไปหมด น่าจะเพราะใช้แรงงานมาเป็นเวลานาน ทนความลำบากได้คือคุณสมบัติพื้นฐานของแรงงาน ไม่ว่าอย่างไรทำงานในโรงงานก็เป็นงานใช้แรง นางจึงใส่ใจเรื่องนี้มาก

เสี่ยวเว่ยถูกเลือกจากท่ามกลางคนหลายสิบคนก็ดีใจยิ่งนัก ในที่สุดก็ไม่ผิดต่อความคาดหวังของหัวหน้าค่าย แฝงตัวเข้ามาในค่ายของศัตรูได้สำเร็จ

ปี้เอ๋อร์ก็ถูกรับเลือกเช่นกัน หัวใจนางเปี่ยมไปด้วยความยินดี ไม่ว่าสิ่งใดนางก็ทำได้แย่กว่าพี่สาวที่ทำงานเดียวกันเสมอ ครั้งนี้ชนะพี่สาว ได้รับเลือกเข้ามาแล้ว นางจะพยายามขโมยสูตรลับให้ฮูหยินให้จงได้!

วันนี้ยังไม่ถึงเวลาล้างดินพอกกับเคลือบขี้ผึ้ง ปริมาณงานของโรงงานจึงพอให้กู้ชีเหนียงกับอากุ้ยทำเสร็จได้เจ็ดถึงแปดส่วน แบ่งอีกคนหนึ่งไปก็ทำงานก็พอแล้ว เฉียวเวยครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนพักหนึ่งก็ให้เสี่ยวเว่ยเข้าไปในโรงงาน ส่วนปี้เอ๋อร์รับผิดชอบงานนอกจากส่วนของโรงงาน คือทำอาหารสามมื้อในแต่ละวัน รวมถึงปัดกวาดฝั่งคฤหาสน์

ปี้เอ๋อร์ตาค้าง ‘นางมาขโมยสูตร ถูกส่งไปฝั่งคฤหาสน์แล้วจะทำเช่นไรเล่า’

เสี่ยวเว่ยยิ่งตาค้าง ‘เขามาขโมยเงิน ทว่าแม้แต่ประตูคฤหาสน์ยังไม่ได้เข้า เช่นนี้จะทำอย่างไรเล่า’

เฉียวเวยพูดขึ้นว่า “ช่วงทดลองงานหนึ่งเดือน ค่าจ้างหนึ่งตำลึง หลังผ่านช่วงทดลองงาน หากไม่มีคุณสมบัติก็จะให้ออก หากได้อยู่ต่อจะได้เงินเดือนละสองตำลึงรวมอาหารกับที่พัก ทางที่ดีที่สุดพวกเจ้าพักอยู่ที่นี่เสีย ไม่พักก็ไม่เป็นอะไร แต่ทุกวันยามเฉินสี่เค่อต้องเริ่มงาน ห้ามมาสาย หากไม่มีคำถามอื่นวันนี้ก็ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมไปก่อน วันพรุ่งนี้ค่อยเริ่มทำงานจริงๆ”

ปี้เอ๋อร์กับเสี่ยวเว่ยเดิมคิดจะให้เฉียวเวยสลับตำแหน่งให้ แต่ทั้งสองคนเกิดใจฝ่อ กลัวว่าหากเอ่ยขึ้นมาเฉียวเวยจะมองออก จึงได้แต่ทำงานอย่างซื่อตรง

อากุ้ยเรียกเฉียวเวยไว้ “เหตุใดค่าแรงของพวกเขาจึงเท่ากับพวกเราเล่า”

คนงานเก่าไม่พอใจเสียแล้ว เฉียวเวยลูบคาง “ไม่เท่ากันเสียหน่อย พวกเจ้าไม่มีช่วงทดลองงาน มาถึงก็สองตำลึง แต่พวกเขาผ่านช่วงทดลองงานแล้วค่าจ้างรายเดือนจึงจะเท่ากับพวกเจ้า”

อากุ้ยไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เขาคิดว่าพวกเขาที่เป็นทาสขายชีวิตมาแล้วยังได้สองตำลึง คนที่เป็นอิสระพวกนั้นก็สมควรได้สี่ตำลึงมิใช่หรือ

สตรีนางนี้โง่ใช่หรือไม่!

อากุ้ยกลอกตา แล้วไปทำงาน

ตอนบ่ายเฉียวเวยเดินทางเข้าเมือง ไปหาชาวนาที่ขายไข่เป็ดสองสามเจ้านั้น บอกให้พวกเขาเพิ่มปริมาณของที่ส่งให้สักหน่อย ทุกคนเห็นว่ากิจการของนางดำเนินไปดีเช่นนี้จึงรับปากอย่างฉับไวยิ่ง

เฉียวเวยซื้อหาวัตถุดิบทำไข่เยี่ยวม้าอีกเล็กน้อย ซื้ออาหารอีกนิดหน่อย วันแรกของการรับเข้าทำงาน อย่างไรก็ต้องกินดีๆ

เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน เจ้าตัวน้อยก็กำลังเลิกเรียนพอดี เฉียวเวยรับเด็กๆ กลับบ้าน

หลังจากนั้นก็ส่งเนื้อหมูสามชั้นสดใหม่ ปลาที่ยังเป็นๆ กับผักอีกเล็กน้อยให้กู้ชีเหนียง

ปี้เอ๋อร์ไม่เคยพบคุณหนูใหญ่มาก่อน สวีซื่อเองก็ไม่เคยบอกว่าเจ้าของคฤหาสน์บนเขาคือคุณหนูใหญ่แห่งจวนเอินปั๋ว นางคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงแม่ม่ายสาวธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

แม่ม่ายสาวหน้าตางดงามยิ่งนัก นี่คือความประทับใจแรกของปี้เอ๋อร์

แม่ม่ายสาวใจกว้างยิ่งนัก นี่คือความประทับใจที่สองของปี้เอ๋อร์

กู้ชีเหนียงพาปี้เอ๋อร์ไปทำอาหารที่ห้องครัว นับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ห้องครัวก็คือความรับผิดชอบของปี้เอ๋อร์

ปี้เอ๋อร์ทำงานฉับไว เป็นลูกมือก็ทำงานได้เข้าขาอย่างยิ่ง ประเดี๋ยวเดียวทั้งสองคนก็ทำหมูสามชั้ั้นน้ำแดงใส่มันฝรั่ง มะเขือผัดซีอิ๊วหนึ่งถ้วย ผัดผักกาดขาวหนึ่งจานกับปลาไนราดพริกหนึ่งตัวจนเสร็จ