บทที่ 368 ตู้เหิงมาหาเรื่อง
บทที่ 368 ตู้เหิงมาหาเรื่อง
คนตระกูลเหยาล้วนมีนิสัยเด็ดเดี่ยว
เมื่อเหยาซูมั่นใจทำเลของร้านขายผ้าแล้ว เหยาเฟิงก็ทำการเช่าร้านอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตกแต่งภายในร้านใหม่อีกครั้ง ไม่นานก็จัดการทุกอย่างเรียบร้อย
หลังผ่านพ้นเทศกาลตวนอู่ บรรยากาศที่ร้อนอบอ้าวในเมืองหลวงยังไม่ทันบางเบา ร้านขายผ้าเหยาจี้ก็เปิดให้บริการแล้ว
เหยาซูได้ประกาศเปิดร้านขายผ้าในร้านอาหารไว้ล่วงหน้า ทั้งยังแจกส่วนลดให้กับลูกค้าในภัตตาคารไม่น้อยอีกด้วย
แค่วันแรกของการเปิดร้าน ร้านขายผ้าเหยาจี้ก็มีลูกค้าแวะเวียนกันเข้ามาเยี่ยมชมในร้านไม่ขาดสาย และกลายเป็นสัญญาณแห่งความเฟื่องฟูอย่างรวดเร็ว
เหยาซูและเซวียหรงเฝ้าร้านกับเหยาเฟิง ต้อนรับลูกค้าพลางสอดส่องดูเถ้าแก่และลูกจ้างในร้านใหม่อย่างเงียบ ๆ ไม่นานก็เห็นเจี่ยงฉีพาเถิงเอ๋อเข้ามา
เหยาซูจึงรีบเดินออกจากหลังตู้วางสินค้า เข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “พี่เจี่ยง ไหนบอกว่าจะมาตอนเที่ยงเจ้าคะ? เหตุใดถึงได้มาเช้าเพียงนี้?”
เถิงเอ๋อโตแล้ว คงไม่อยากให้มารดาคอยจูงมือ จึงเดินอยู่ข้างเจี่ยงฉีแล้วกล่าวทักทายเหยาซูอย่างสุภาพหนึ่งครั้ง
เจี่ยงฉีพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ามาแสดงความยินดีแต่เช้าไม่ดีหรืออย่างไร? จริง ๆ ข้านั่งอยู่บ้านไม่ติดแล้วต่างหาก เลยอยากมาดูผลลัพธ์ในสองสามวันนี้ของพวกเจ้า”
เถ้าแก่เนี้ยเซวียเดินออกมาเช่นกัน กระทั่งได้ยินบทสนทนาของทั้งสองจึงพูดว่า “วันนี้ฮูหยินเจี่ยงของเราตั้งใจจะมาถลุงเงินเท่าไรดี? บอกไว้ก่อนเลย ต่อให้ใช้สถานะของท่านและมิตรภาพของเรา ถ้าจะซื้อแค่อย่างสองอย่างกลับไปเหมือนลูกค้าทั่วไป เช่นนั้นคงไม่พอ”
เจี่ยงฉีหัวร่อจนตัวงอ ก่อนจะส่ายหน้าและพูดว่า “แม่ค้า แม่ค้า! เจ้าคงได้กลิ่นความกระหายเงินของตัวเองแล้วกระมัง ถึงได้มาเริ่มทำกิจการกับข้า?”
เซวียหรงรุดหน้าเข้าไปคว้าแขนของนาง จากนั้นก็จูงเจี่ยงฉีเข้าไปในร้านอย่างยิ้มแย้มพลางพูดว่า “ปากบอกว่าข้ากระหายเงิน เจ้าคงจะไม่ได้เหมารวมอาซูไปด้วยอีกคนกระมัง? ถ้าวันนี้ไม่หวังอยากได้เงินของเจ้า ข้าคงรู้สึกผิดกับอาซูที่ยอมทุ่มเงินไปกับร้านขายผ้าในช่วงสองสามวันนี้แน่!”
เหยาซูยิ้มพลางมองพวกนางสองคนพากันฉุดกระชากเข้ามาในร้าน ก่อนจะหันกลับไปพูดกับเถิงเอ๋อด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ไป เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
หญิงสาวยื่นมือไปทางเด็กชายอย่างเป็นธรรมชาติ ในเสี้ยวนาทีที่เถิงเอ๋อกำลังลังเลโดยไม่มีใครเห็นนั้น ก็ได้คว้ามือของเหยาซู แล้วปล่อยให้หญิงสาวจูงตัวเองเข้าไปในร้านขายผ้าเหมือนผู้อาวุโส
พริบตาต่อจากนั้นก็ได้ยินเหยาซูถามเขาว่า “คุ้นชินกับเมืองหลวงแล้วหรือยัง? ได้ยินว่าอาหารของพ่อครัวที่แม่เจ้าหามาล้วนมันเลี่ยนเกินไปหน่อย เจ้ากินได้หรือไม่? สองสามวันนี้ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง?”
เถิงเอ๋อตอบคำถามของเหยาซูอย่างชัดถ้อยชัดคำและจริงจัง “เคยชินแล้วขอรับ และไม่ป่วยแล้วด้วย อาหารที่พ่อครัวคนนั้นทำ จริง ๆ ก็อร่อยสู้อาหารในร้านของท่านอาซูไม่ได้หรอกขอรับ”
เหยาซูยิ้ม แล้วพูดอย่างอบอุ่น “ไม่อร่อยก็นับว่าไม่ดีแล้ว ถ้าเจ้าชอบอาหารที่พ่อครัวในร้านอาหารของข้า วันหน้าข้าจะให้ลูกจ้างไปส่งอาหารให้เจ้าสักสองอย่างทุกวัน”
เถิงเอ๋อรีบโบกมือทันที “ไม่ต้องขอรับ ลำบากเกินไป เราเปลี่ยนพ่อครัวก็ได้…”
เหยาซูไม่ได้คัดค้านเขา แค่จดจำเรื่องนี้ไว้เงียบ ๆ ก่อนจะถามอีกว่า “ช่วงนี้ได้ออกกำลังกายบ้างหรือไม่? เคลื่อนตัวมากขึ้น กินมากขึ้น ร่างกายจะได้ดีขึ้น”
เถิงเอ๋อพยักหน้า แล้วพูดอย่างจริงจัง “ข้ารำมวยทุกวัน แล้วช่วงนี้ข้าก็ยังกินมากขึ้นอีกด้วยขอรับ”
เหยาซูแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อเถิงเอ๋ออย่างจริงใจ ซึ่งทำให้เด็กชายสัมผัสได้ ทั้งยังทะนุถนอมความอบอุ่นที่นางมีต่อตัวเองเป็นพิเศษอีกด้วย
ที่เขามาวันนี้ นอกจากจะตามมารดามาชื่นชมร้านขายผ้าแล้ว ยังตั้งใจมาหาอาซือด้วย
ทว่าเด็กชายค่อนข้างขี้อาย จึงไม่ยอมปริปากถาม
ตอนนี้หลังจากที่อยู่คุยกับเหยาซูมาครึ่งค่อนวันก็ยังไม่เห็นอาซือเลยแม้แต่น้อย คิดว่าวันนี้นางคงไม่มาด้วย
เขาจึงอดผิดหวังไม่ได้ สายตาที่เขาใช้มองซ้ายแลขวาได้ถูกเก็บกลับไปอย่างรวดเร็ว
ครั้นเหยาซูเห็นเถิงเอ๋อดูเหม่อลอย จึงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วก็ได้เข้าใจ อดยิ้มในใจไม่ได้
เมื่อเห็นเด็กชายไม่ยอมปริปากถามมาตลอด นางก็ไม่ยอมพูดก่อน ทำได้แค่จูงมือเถิงเอ๋อพลางชวนคุยสบาย ๆ อยู่เนิ่นนาน
ครั้นเจี่ยงฉีเลือกผ้าได้แล้ว ก็เดินมาหาเหยาซูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ร้านขายผ้าเหยาจี้แห่งนี้เป็นของแซ่เหยาหรือของแซ่เซวียกันแน่? เหตุใดข้าถึงไม่เห็นคุณหนูตระกูลเหยาพาลูกค้าไปช่วยเลือกผ้าเลย แต่กลับเป็นแม่ค้าขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพียงผู้เดียวที่กลายเป็นเจ้าของที่นี่แทนเสียเอง”
เซวียหรงคว้าแขนข้างหนึ่งของเจี่ยงฉี “นี่ พอเลย ตระกูลเซวียผู้ตกต่ำอย่างข้าก็เลือกผ้าผืนงามเหล่านี้ให้เจ้าตั้งมากมาย ยังอุดปากเจ้าไม่ได้อีกหรือ?”
เหยาซูหัวเราะจนแทบหงายหลัง น้ำตารื้นขอบตา จากนั้นก็เห็นเซวียหรงหอบวัสดุผ้าห้าถึงหกรูปแบบตามเจี่ยงฉีไปด้านหลัง ก็ยิ่งทำให้ขบขันเข้าไปใหญ่
กระทั่งได้ยินเจี่ยงฉีพูดว่า “อาหรง ช่วยขนของเหล่านี้ขึ้นรถม้าให้ข้าด้วยนะ”
เซวียหรงชำเลืองมองนางด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนจะพูดกับเหยาซูว่า “เดิมทีคิดว่านางชอบก็เลยเสนอให้ เราหรือก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ตอนนี้เจ้าก็คงเห็นแล้วว่าฮูหยินเจี่ยงใช้ข้าเหมือนกับลูกจ้าง เหมือนกับสาวใช้อย่างนั้นแหละ ค่าบริการนี้ไม่น้อยเลยนะ!”
ทั้งสามคนพากันหัวเราะในทันที
เจี่ยงฉีเดินมาใกล้เถิงเอ๋อ จากนั้นก็ใช้วัสดุผ้าผืนที่อยู่บนสุดในอ้อมแขนของเซวียหรงออกมาวัดตัวให้กับลูกชาย ก่อนจะพยักหน้า แล้วเอ่ยถามโดยไม่คิดอะไรว่า “เถิงเอ๋อ เจ้าชอบผ้าสีน้ำเงินผืนนี้หรือไม่? มันขับผิวพรรณเจ้าให้ผ่องขึ้น งดงามยิ่งนัก ข้าอยากจะตัดชุดคลุมยาวให้เจ้าสักตัว หรือจะทำเป็นเสื้อตัวนอกดี…”
เถิงเอ๋อจนปัญญา ปล่อยให้ผู้เป็นแม่ทำไป “ได้ทั้งนั้น ท่านแม่”
เหยาซูมองออกว่าจิตใจของเถิงเอ๋อไม่ได้อยู่ที่นี่
ภายในร้านที่กำลังคึกคัก ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติเด็ก ๆ คงจะตื่นเต้นไปนานแล้ว แต่เขากลับเงียบนิ่ง ได้แต่พูดคุยกับเหยาซูโดยที่ไม่มีความอยากรู้อยากเห็นแม้แต่น้อย
เจี่ยงฉีนำวัสดุผ้าอีกสองประเภทมาเทียบเคียงกัน สุดท้ายก็พูดกับเซวียหรงว่า “สายตาเจ้าใช้ได้จริง ๆ วัสดุผ้าที่เลือกมาเหล่านี้ข้าชอบทั้งนั้นเลย”
หญิงสาวกำลังจะถามความคิดเห็นของเหยาซู แต่กลับเห็นคนหลังขมวดคิ้วตั้งแต่เมื่อใด พร้อมทั้งเหม่อมองออกไปข้างนอกโดยไม่กล่าวสิ่งใด
เจี่ยงฉีถือโอกาสมองตามสายตาของเหยาซูออกไป กระทั่งเห็นหญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีขาวทั้งตัวพร้อมกับปิดผ้าคลุมหน้าเดินกรีดกรายเข้ามา มีสาวใช้เดินตามผู้เป็นนายต้อย ๆ อยู่ด้านหลัง
หญิงสาวผู้นี้เดินตรงมาหาเหยาซู
ปมคิ้วของเหยาซูคลายจากกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา พูดกับผู้มาเยือนว่า “แม่นางตู้ ไม่เจอกันนานทีเดียว”
คนที่สนิทกับเหยาซูต่างรู้ดีว่านางไม่ใช่ผู้ที่จะโจมตีใคร แต่ทุกครั้งที่แสดงสีหน้าเช่นนี้ก็มั่นใจได้เลยว่านางไม่ชอบอีกฝ่ายถึงขั้นสุด
เซวียหรงกวักมือ นำวัสดุผ้าที่อยู่ในอ้อมแขนยื่นให้กับลูกจ้าง แล้วสั่งให้ไปวางในรถม้าของฮูหยินเจี่ยง
ครั้นเห็นผู้มาเยือนไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเป็นเกรงใจ กระทั่งเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “แม่นางเหยามีชีวิตชีวาขึ้นมากทีเดียว มาเมืองหลวงไม่เกินสองเดือนแล้ว ได้เปิดร้านอาหาร เปิดร้านขายผ้าแล้ว คิดจะทำกิจการไปทั่วเมืองหลวงเลยใช่หรือไม่?”
เจี่ยงฉีขมวดคิ้ว แม่นางผู้นี้ดูท่าทางกิริยางดงาม เครื่องแต่งกายที่สวมใส่และโฉมหน้าหรือก็ไม่ธรรมดา เหตุใดถึงพูดจาไม่เกรงใจเช่นนี้?
เหยาซูคร้านจะสนใจคุณหนูใหญ่เอาแต่ใจอย่างตู้เหิง พูดเพียงสั้น ๆ “ก็แค่ทำกิจการเลี้ยงปากท้องครอบครัวเท่านั้น แม่นางตู้ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ”
ตู้เหิงยิ้มเยาะหนึ่งเสียง “ข้าเองก็ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องของผู้อื่นหรอก แต่ร้านขายผ้าของแม่นางตู้เปิดถัดไปจากร้านของข้า เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
เหยาซูส่งเสียงจิ๊จ๊ะหนึ่งเสียง รู้ทันทีว่าการมาในวันนี้ของนางต้องไม่หวังดี จะต้องมาหาเรื่องแน่นอน
ใบหน้าของหญิงสาวจึงเย็นชาลงโดยสิ้นเชิง “แม่นางตู้ เมืองหลวงแห่งนี้ไม่ใช่บ้านของเจ้า ไม่ใช่บ้านของข้า เป็นเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ข้าจะเปิดร้านที่ไหนบนถนนเหล่านี้แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในใจของเหยาซูก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ เพราะก่อนจะเช่าร้านนี้นางไม่เคยสอบถามเลยว่ามีร้านของตู้เหิงเปิดอยู่ถัดไปหรือไม่
แต่ในละแวกนี้ดูเหมือนจะไม่มีร้านไหนมีปัญหากับร้านของนาง ทำไมตู้เหิงถึงได้เข้ามาหาเรื่องด้วย แสดงท่าทางราวกับว่าตนไปแย่งกิจการของนางอย่างนั้นแหละ?
เหยาซูถือทิฐิสูงมาก เพราะอยากจะยั่วอารมณ์ของตู้เหิงจริง ๆ หญิงสาวยิ้มเยาะอย่างเย็นชาหนึ่งเสียง โดยไม่พูดสิ่งใด พลางถกแขนเสื้อขึ้น
สภาพจิตใจที่กำลังเบิกบานใจของเหยาซูพลันเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดเสียอารมณ์ในทันทีหลังจากถูกตู้เหิงก่อกวน
เจี่ยงฉีเป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว ขมวดคิ้วพลางถามว่า “แม่นางตู้มาจากที่ใด? เหตุใดถึงมีสภาพเป็นเช่นนี้? อาซูเคยไปร่วมฉลองกับเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ?”
ร้านไม่ใหญ่นัก แต่การเคลื่อนไหวของพวกนางถูกผู้อื่นได้ยินอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มคนที่เกิดความบาดหมางกันต่างก็เป็นหญิงสาวที่ยังอ่อนเยาว์และงดงาม จึงดึงดูดความอยากรู้ของบางคนไม่น้อย
เหยาซูไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้ต่อหน้าสาธารณชน นอกจากกล่าวเสียงเบาว่า “พี่เซวีย เรากลับกันก่อนเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะอธิบายให้พี่ฟัง”
เนื่องจากลูกน้องภายในร้านมีเพียงพอ เหยาซูจึงพาเจี่ยงฉี เซวียหรง และเถิงเอ๋อ เดินไปยังร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลนัก ตั้งใจจะเล่าเรื่องให้ทั้งสองคนได้ฟังถึงบุญคุณความแค้นของนางกับตู้เหิง…
…………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อยู่กันดีๆ ไม่ได้ใช่ไหมนังผีเร่ร่อนนี่ ปัดเดี๋ยวก็เอาหมึกสาดให้เลอะเสื้อผ้าขาวๆ เสียหรอก ผีในร้านอย่างผู้แปลเท้าเอวแล้วหนึ่ง
นับวันนังตู้ยิ่งกลายเป็นหมาบ้ายิ่งขึ้นนะ แถมเป็นหมาบ้าติดสัดอีกต่างหาก น่าให้พี่เหราเอาน้ำชาร้อน ๆ สาดไล่ให้ร้องเอ๋ง
ไหหม่า(海馬)
.