บทที่ 367 อยู่ในจวนเซี่ย

บทที่ 367 อยู่ในจวนเซี่ย

เมื่องานวันเกิดครบหนึ่งปีของซานเป่าจบลง เซวียหรงก็ยังคงอาศัยอยู่ในจวนเหยา วุ่นกับเรื่องร้านขายผ้าสำเร็จรูปกับเหยาซูต่อไป

แต่คนรับใช้ของจวนเซี่ยยังคงมาเยือนอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็นำอาหารมาส่ง ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ตั้งใจเตรียมมาทั้งสิ้น

เช้าตรู่วันหนึ่ง ฝูลี่ได้วิ่งมายังจวนเหยาเพื่อนำขนมงาทอดที่เพิ่งทำสดใหม่มาให้เซวียหรง และบังเอิญเจอกับเหยาซูพอดี

หญิงสาวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “แม่นางฝูลี่ วันนี้จวนเซี่ยให้นำสิ่งใดมาส่งหรือ? ถ้วยน้ำแกงหรือว่าสุราเล่า?”

ใบหน้ากลม ๆ ของฝูลี่เผยให้เห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง ก่อนจะตอบเสียงดังฟังชัดว่า “เป็นขนมงาทอดที่ในครัวของเราทำเองเจ้าค่ะ! เพิ่งทำสดเมื่อเช้า ยังร้อนกรุ่นอยู่เลย”

เถ้าแก่เนี้ยเซวียยิ้ม แล้วพูดกับฝูลี่ว่า “ขอบคุณในความเอาใจใส่ของแม่นางมาก”

ฝูลี่ส่ายหน้า “ทั้งหมดเป็นคำสั่งของนายท่าน แม่นางเซวียไม่ต้องเกรงใจเจ้าค่ะ”

ครั้นได้ยินนางพูดเช่นนี้ เหยาซูจึงอดมองเซวียหรงแวบหนึ่งไม่ได้

ทั้งสองคนพูดคุยกับฝูลี่ครู่หนึ่ง เด็กสาวตัวน้อยก็กล่าวลา ในที่สุดเหยาซูก็ข่มความอยากรู้ในใจไม่ได้จึงถามว่า “เมื่อสองสามวันก่อนเราวิ่งวุ่นจนเท้าแทบไม่ติดพื้น ไม่มีเวลาได้ถามไถ่ท่าน คราวนี้ถึงเวลาแล้ว พี่เซวียจะไม่ตามข้าไปหาความจริงแล้วหรือ? ว่าพี่กับท่านน้าเกี่ยวข้องกันอย่างไร?”

เซวียหรงหยิบขนมงาทอดขึ้นมาหนึ่งชิ้น บนขนมเนื้อแข็งสีทองอร่ามเคลือบด้วยเมล็ดงาชั้นหนา เหมือนอย่างที่ฝูลี่พูดไว้จริง ๆ ยังร้อนกรุ่นเหมือนเพิ่งยกออกมาจากเตา

หญิงสาวมองไปทางเหยาซู แล้วส่ายหน้าเบา ๆ “ข้าและพี่เชียนไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน ในอดีตตระกูลเซี่ยและตระกูลเซวียมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พี่เชียนหมั้นหมายกับพี่สาวของข้า เรื่องมันก็เท่านั้น”

เหยาซูสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อย

นางไม่เคยได้ยินเซวียหรงเล่าเรื่องของตัวเองมาก่อน ดูจากตอนนี้เซวียหรงน่าจะเป็นทายาทของตระกูลเซวียที่ได้รับความไม่เป็นธรรมเมื่อครั้งอดีต?

หญิงสาวไม่อยากรื้อฟื้นความเสียใจของเซวียหรง จึงทำได้แค่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้าเห็นว่าพี่เซวียพยายามหลบเลี่ยง ท่านน้ายังเอาใจใส่พี่ขนาดนี้ ไฉนถึงต้องทำขนาดนี้โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกันเล่า?”

เซวียหรงชิมขนมงาทอดพลางชำเลืองมองเหยาซูแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยปาก “เจ้าคิดว่าการที่มาส่งขนมวันนี้พรุ่งนี้ เป็นการกระทำของพี่เชียนหรือเปล่าเล่า?”

เหยาซูยิ้ม “นั่นคือคนรับใช้ที่เขาสั่งมาเชียวนะ!”

เซวียหรงยิ้มเยาะเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “พี่เชียนจะต้องออกคำสั่งให้คนรับใช้มาส่งของให้แก่ ‘แม่นางเซวีย’ ที่พักอยู่ในจวนเหยาผู้นี้แน่นอน แต่เหตุใดวันนี้ถึงได้ดูโอ้อวดเกินตัว เกรงว่าคงต้องถามเหล่าคนรับใช้ในจวนเซี่ยเสียแล้ว”

ขณะพูด นางได้ยัดขนมงาทอดที่ยังร้อนกรุ่นชิ้นหนึ่งให้เหยาซู ทั้งสองคนจึงกินด้วยกัน

เหยาซูกินไปพลาง และครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ ไปพลาง

ตามนิสัยของเซี่ยเชียนแล้ว ต่อให้อยากเอาใจใส่แม่นางผู้หนึ่งอย่างไร ก็ไม่น่าจะทำเช่นนี้

คิดว่าคนรับใช้ในจวนเซี่ยคงจะเข้าใจเจตนารมณ์ผิดไป คิดว่าเจ้านายของตนมีความสนใจต่อแม่นางเซวียผู้นี้ จึงได้ขยันมาส่งของให้ทุกวัน

แต่นิสัยของเซวียหรงที่ดูสบาย ๆ จึงไม่รู้สึกอึดอัดใจ และคร้านจะอธิบายความสัมพันธ์ของนางและเซี่ยเชียน จึงปล่อยให้คนรับใช้จวนเซี่ยเหล่านี้เข้าใจกันเอง หญิงสาวแค่ไม่ได้ปฏิเสธผู้มาเยือนเท่านั้น

เหยาซูมีการยับยั้งชั่งใจจึงไม่พูดอะไรมากนัก แต่กลับเป็นเซวียหรงที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน “วันนั้นในเมืองชิงถง ข้าได้เจอกับหลินเหราเป็นครั้งแรก ตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ในใจ แต่คาดไม่ถึงว่าโลกจะมีเหตุให้ได้พบกัน เกิดการผันเปลี่ยนเกี่ยวเรามาอยู่ในที่เดียวกันเช่นนี้”

เหยาซูนึกถึงเมื่อครั้งที่อยู่ในตลาดยามนั้น ดูเหมือนเซวียหรงจะมองเห็นหลินเหราเป็นใครคนหนึ่ง

นางคลี่ยิ้ม “ดูท่าทางข้าและพี่เซวียจะมีโชคชะตาร่วมกัน”

เซวียหรงกระตุกมุมปาก แล้วพูดกับเหยาซูว่า “ปกติพี่เจี่ยงมักจะหดหู่ใจอยู่บ่อยครั้ง โชคดีที่มีเจ้า นางถึงกลายเป็นอย่างในวันนี้ บัดนี้ถึงตาข้าจะต้องขอบคุณเจ้าแล้ว”

ขนมงาทอดที่อยู่ในมือของเหยาซูหยุดชะงักทันใด ก่อนจะปรายตามองเซวียหรง “พี่เซวียหมายความว่าอย่างไร?”

ใบหน้าของเซวียหรงยังแต้มด้วยรอยยิ้มจาง ๆ พร้อมกับมองเข้าไปในแววตาของเหยาซูพลางพูดอย่างจริงจังว่า “ตลอดหลายปีที่ข้าเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ข้าไม่เคยเจอพี่เชียนมาก่อน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงปมในใจที่พันธนาการมาหลายปีได้รับการคลายออก”

เหยาซูเดาได้คร่าว ๆ ในใจ

ตลอดหลายปีมานี้เซวียหรงพยายามเลี่ยงเมืองหลวง คิดว่าเพราะยังทำใจไม่ได้ แต่เซี่ยเชียนสามารถทวงคืนชื่อเสียงของตระกูลขุนนางที่ไม่ได้รับความไม่เป็นธรรมกลับมาด้วยตัวเอง ความเกลียดชังและไร้กำลังภายในใจของเซวียหรงจึงค่อย ๆ จางหายไป

ครั้นนางเห็นเซวียหรงกล่าวขอบคุณอย่างหนักแน่นด้วยสีหน้าจริงจัง จึงส่ายหน้าพลางพูดว่า “พี่เซวียคิดผิดแล้ว ความจริงพี่และพี่เจี่ยงเหมือนกัน ไม่ต้องขอบคุณข้า คนเราต้องมีการเปลี่ยนแปลง ต้องเจอกับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ซึ่งข้าแค่บังเอิญเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั้นเท่านั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วผลลัพธ์ที่ได้รับ ก็ยังต้องอาศัยความพยายามของพี่เจี่ยงและพี่เซวียทั้งสองคนอยู่ดี ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย”

เจี่ยงฉีหย่าร้างอย่างเด็ดขาด เซวียหรงเข้าเมืองหลวงได้อย่างวางใจ สำหรับเหยาซูแล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่คุณงามความดีของนาง

หัวคิ้วของเซวียหรงโก่งขึ้น จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มสดใสว่า “ถึงข้าจะรู้ว่าเหตุใดพี่เจี่ยงถึงได้เชื่อใจเจ้าและชอบเจ้าถึงเพียงนั้น แต่ขอบอกตรงนี้ว่าข้าเองก็เห็นเจ้าเป็นน้องสาวของข้าคนหนึ่ง”

เหยาซูแสร้งทำเป็นพูดอย่างประหลาดใจ “หรือว่าพี่เซวียไม่เคยเห็นข้าเป็นน้องสาวมาโดยตลอด?”

เซวียหรงยัดขนมงาทอดชิ้นหนึ่งใส่ปากของนางทันที ก่อนจะต่อว่าด้วยรอยยิ้ม “กินของเจ้าไปเลย ก็เจ้าฉลาดพูดเสียเพียงนี้ ถึงได้พรั่งพรูทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดีออกมา”

ความหวานที่แผ่ซ่านอยู่ในปากได้ลามไปบนลิ้นกระทั่งทั่วทั้งปาก ประกอบกับกลิ่นหอมของเมล็ดงา เหยาซูเคี้ยวน้ำตาลเกิดเสียงกรุบกรับจนลืมพูดเรื่องอื่นไป

“ข้าจะชิมอย่างไรเล่า ดูเหมือนข้างในจะมีน้ำผึ้งเคลือบอยู่? ขนมหวานที่พบเห็นบ่อย ๆ ไม่ได้หวานเช่นนี้ ดูท่าวันหน้าคงต้องเชิญแม่นางฝูลี่มาสอนทำเสียแล้ว ดูสิว่าในครัวของจวนเซี่ยจะสอนพ่อครัวในภัตตาคารของเราได้หรือไม่ เราเองก็ลองทำของกินเล่นสักอย่างมาไว้ในร้าน…”

เถ้าแก่เซวียคลี่ยิ้มพลางพูดว่า “ถ้าเจ้าได้สูตรนี้ สามารถเปิดร้านขนมหวานสักแห่งได้เลยเชียว ห้องครัวของจวนเซี่ยดูท่าทางจะเป็นของอาวุโสในอดีตของจวนเซี่ย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา รสชาติล้วนไม่เคยเปลี่ยนแปลง ถ้าเจ้าอยากจะได้สูตรนี้มาจากมือของเขา เกรงว่าคงจะให้พี่เชียนออกหน้าให้ไม่ได้”

ดวงตาทั้งสองข้างของเหยาซูเปล่งประกาย “พูดยากขนาดนั้นเลยหรือ? ลูกชายทั้งสองคนของข้าก็อยู่ในจวนเซี่ย ข้าไม่เชื่อว่าจะคว้าสูตรนี้มาไม่ได้! พี่เซวีย พี่คอยดูเถอะ ข้ามีวิธีโดยที่ท่านน้าไม่ต้องออกหน้า และจัดการเรื่องนี้ได้อย่างราบรื่น”

เซวียหรงเห็นเหยาซูไปเรียกอาซือออกมา จากนั้นก็ให้เด็กหญิงชิมขนมงาทอดบนโต๊ะ ก่อนจะเกลี้ยกล่อมลูกสาวของตัวเอง “ถ้าอาซือคิดว่าอร่อย พรุ่งนี้ก็ตามพี่ชายของเจ้าไปจวนเซี่ยสิ ไปถามพ่อครัวใหญ่ในห้องครัว บอกว่าอยากสอนให้พ่อครัวในร้านอาหารของเราจะต้องทำอย่างไร แต่เราคงไปทุกวันไม่ได้ เจ้านำบ๊ะจ่างไปให้เขาแทนข้าแล้วกัน”

เด็กสาวชื่นชอบรสชาติแบบนี้ จึงรีบพยักหน้า “ท่านแม่ บ๊ะจ่างไส้อะไรหรือเจ้าคะ? ท่านลุงในห้องครัวชอบกินไส้เนื้อที่สุดเลย!”

เหยาซูพูดด้วยรอยยิ้ม “มีหมด เจ้าเลือกเองเลย ดีไหม? ยังมีบ๊ะจ่างของพี่ฝูหยาและฝูลี่ด้วยนะ ให้เจ้าเลือกเลย แล้วไปส่งพร้อมกัน”

อาซือตอบรับอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็กินขนมงาทอดอีกหนึ่งชิ้น ก่อนจะถูกส่งไปเลือกขนมบ๊ะจ่าง

เถ้าแก่เซวียที่ยืนมองอยู่ข้างกายหัวเราะจนตัวงอ “ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดอยู่ดี ๆ เจ้าถึงมีลูกถึงสามคน ทั้งคนโตและคนเล็กต่างก็ใช้ให้ทำธุระปะปังได้ ทั้งยังถูกส่งตัวไปเจรจาแทนเจ้าได้อีก …ให้เด็กไปแทนเจ้าแบบนี้ จะมาห้ามให้เด็กกินขนมหวานน้อยได้อย่างไร?”

เหยาซูพูดอย่างจริงจัง “ตอนนี้ฟันน้ำนมของนางยังไม่เปลี่ยนเป็นฟันแท้ กินขนมหวานมากไปฟันผุหมดสิ”

ขณะที่พูดนั้นก็หยิบขนมงาทอดขึ้นมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็เคี้ยวกรุบกรับเหมือนกับหนูตัวน้อย

รอยยิ้มบนใบหน้าของเถ้าแก่เซวียยังไม่จางหาย แค่เอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “อาซู อยู่กับเจ้าแล้วช่างผ่อนคลายและอิสระโดยแท้จริง เห็นเจ้าได้กินดีอยู่ดีทุกวัน ต่อให้ยุ่งกับกิจการเพียงใด ก็ยังมาหยอกเย้าลูกได้ ไม่เคยต้องกังวลสิ่งใดมาก่อน”

เหยาซูกินไปพลาง ทอดถอนใจไปพลาง “พี่เซวียเห็นแค่ในตอนที่ข้าผ่อนคลายเป็นอิสระเท่านั้น ไฉนเลยจะเห็นในตอนที่ข้ากลุ้มใจเล่า ข้ายังอิจฉาพี่เลย ไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้น”

สองสามวันนี้พวกนางสองคนได้เลือกที่ตั้งของร้านขายผ้าไว้เรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของเหยาเฟิงติดตามเรื่องร้านหลังจากเช่าซื้อ แล้วนำสินค้าในปีนี้มาวางขายในร้าน

ไม่ง่ายเลยที่จะได้หยุดพัก ทั้งสองคนยังพูดคุยถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวัน

เซวียหรงพูดด้วยความอยากรู้ว่า “เจ้าอิจฉาที่ข้าไปไหนมาไหนอิสระ? มีอะไรให้อิจฉากันเล่า?”

เหยาซูดื่มน้ำชาหนึ่งอึก แล้วพูดกับอีกฝ่ายว่า “ตอนนี้พี่เซวียยังไม่แต่งงาน ย่อมไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมีลูกแล้ว พี่เคยเห็นช่วงเวลาที่พี่เจี่ยงไม่มีความห่วงใยเถิงเอ๋อหรือไม่?”

เซวียหรงครุ่นคิด ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ก็จริง อย่าว่าแต่เรื่องห่วงใยเลย แค่ทุกเวลาทุกวินาที ยามเถิงเอ๋อไม่ได้อยู่ใกล้ นางก็เฝ้าคะนึงหาแทบจะตลอดเวลา”

เหยาซูพยักหน้า “เถิงเอ๋อร่างกายอ่อนแอ จิตใจโดยส่วนใหญ่ของพี่เจี่ยงจึงได้แต่เฝ้าเป็นห่วงอยู่ที่เขา ท่านดูอย่างข้าสิปกติก็ต้องดูแลร้านอาหาร เรื่องร้านขายผ้าก็ยุ่งจะแย่แล้ว แต่ในความเป็นจริงในใจก็ยังคิดคะนึงตลอดเวลา วันนี้อาจื้อจะเจอกับความลำบากในการเรียนอยู่ในจวนเซี่ยหรือไม่ อาซือจะเบื่อหรือไม่ที่ได้เล่นอยู่แต่ในบ้าน ช่วงนี้ซานเป่าเพิ่งหัดเรียนรู้จะเจ็บตัวหรือไม่…”

หญิงสาวทอดถอนใจ “เด็กทารกอยู่ในท้องมารดามาเกือบหนึ่งปี เด็ก ๆ ในวัยเยาว์จำเป็นต้องมีเวลาเอาใจใส่ เมื่อโตขึ้น ต่อให้ปล่อยมือจากพวกเขาได้ แต่ในใจของเราจะห่างจากพวกเขาได้อย่างนั้นหรือ?”

เซวียหรงเห็นแววตาที่แฝงไปด้วยความอบอุ่นของนาง จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจไปด้วย…

……………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เป็นไปได้ไหมที่เหล่าคนรับใช้ในจวนเซี่ยจะเข้าใจว่าเซี่ยเชียนชอบเซวียหรง เลยทำขนมมาให้ใหญ่เลย

ไหหม่า(海馬)