บทที่ 366 รับซานเป่าเป็นลูกบุญธรรม
บทที่ 366 รับซานเป่าเป็นลูกบุญธรรม
เซี่ยเชียนจึงเสนอเรื่องที่จะให้เซวียหรงพักในตระกูลเซี่ยชั่วคราวอีกครั้ง ในที่สุดหญิงสาวก็ไม่ได้ปฏิเสธอีก
ทั้งสองคนคุยเรื่องสัพเพเหระกันครู่หนึ่ง เซวียหรงจึงค่อย ๆ ตระหนักได้ว่าความรู้สึกและท่าทางของเซี่ยเชียนในวัยเด็กได้ปรากฏเด่นชัดขึ้นมาในห้วงความทรงจำ
เหมือนกับเป็นแค่เงาที่อยู่ในความฝัน ในที่สุดก็เดินออกมาจากความขุ่นมัวได้ แต่ท่าทางของเซี่ยเชียนในตอนนี้ แม้ว่าจะแตกต่างไปจากที่นางคิดเอาไว้ แต่นางก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขาควรจะเป็นเช่นนี้
ความสุขุม ความเย็นชา การพูดการจาที่ดูเอื่อยเฉื่อย ต่อให้ภูเขาไท่ซานถล่มลงเขาก็ไม่เปลี่ยนสีหน้า ท่าทางเหมือนสุภาพบุรุษอย่างที่นางคิดไว้ในใจ
นางสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วถึงนิสัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างมากโขของเซี่ยเชียน
เซวียหรงมองใบหน้าที่หล่อเหลาของเซี่ยเชียน ก่อนจะเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “พี่เชียน ท่านตอนนี้กับตัวท่านในอดีต มีบางอย่างที่แตกต่างไปจากเดิมมากทีเดียว”
เซี่ยเชียนไม่ได้โต้แย้ง และไม่ได้อธิบายแค่พูดว่า “อาหรงเองก็แตกต่างไปมากเช่นกัน”
เซวียหรงยิ้ม แล้วหลุบตามองต่ำ
เซี่ยเชียนและเซวียหรงไม่ได้เสียเวลานานนัก พวกเขากลับเข้ามาในห้องโถงด้านหน้าอีกครั้ง รองานวันเกิดครบหนึ่งปีของซานเป่าเริ่มขึ้น
เพียงแต่เซวียหรงดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่พูดคุยกับสะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยา สายตาล้วนแต่จับจ้องไปยังเซี่ยเชียนโดยไม่รู้ตัว ไม่นานก็ไม่ได้ยินเสียงของคนอื่น
สะใภ้รองเหยาถามเซวียหรงหนึ่งคำถาม ครั้นเห็นนางไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงได้ถามอีกรอบ แต่กลับถูกสะใภ้ใหญ่เหยาห้ามไว้ จากนั้นก็ส่ายหน้าให้นาง
เซวียหรงกำลังฟังบทสนทนาระหว่างเซี่ยเชียนและพ่อเฒ่าเหยาแม่เฒ่าเหยา
ซึ่งชายชราได้เอ่ยถามด้วยความเกรงใจว่า “ได้ยินว่าสองสามเดือนนี้อาจื้อต้องมารบกวนจวนเซี่ยอยู่เสมอ คงจะสร้างความลำบากให้แก่ใต้เท้าเซี่ยไม่น้อยสินะ?”
กระทั่งได้ยินเสียงของอีกฝ่ายกล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉย “อาจื้อเรียนรู้ได้ไว ไม่ได้มีนิสัยชอบสร้างปัญหาให้ผู้อื่นขอรับ”
แม่เฒ่าเหยาพูดกับพ่อเฒ่าเหยาด้วยรอยยิ้มว่า “ฟังสิ ฟังสิ อีกฝ่ายเขาว่าอย่างไร? ท่านนั้นแหละเอาแต่เป็นกังวลทุกวัน ต้าเป่าเรียนเก่ง รู้ความ ท่านยังไม่วางใจอีก?”
พูดจบนางก็มองไปทางเซี่ยเชียนอีกครั้ง เหมือนกับกำลังรอการยืนยันสักประโยคหนึ่งของเขา
เซี่ยเชียนพยักหน้า แล้วกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “เป็นเช่นนี้”
ใบหน้าของพ่อเฒ่าเหยาเผยสีหน้าพึงพอใจ ก่อนจะกลั้วหัวเราะพลางหยอกเย้าซานเป่าที่อยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นภรรยา เด็กน้อยไม่ได้สนใจผู้เป็นตานัก ตรงกันข้ามกลับยื่นมือออกไปหาเซี่ยเชียนที่อยู่ไกลจากเขา กระทั่งบิดตัวไปมาอย่างต่อเนื่อง
เขาส่งเสียงร้องสองครั้ง ความหมายคืออยากให้เซี่ยเชียนอุ้ม
แม่เฒ่าเหยากำลังจะพูดบางอย่าง แต่กลับเห็นเซียเชียนเดินรุดขึ้นหน้าอย่างฉับพลัน จากนั้นก็รับตัวซานเป่าไป
เด็กน้อยจึงได้คลี่ยิ้ม
เซี่ยเชียนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบไร้ซึ่งผลกระทบต่อสิ่งเร้าภายนอกเหมือนกับกำลังคุยถึงเรื่องใหญ่ในราชสำนัก “ซานเป่าหนักขึ้น ข้าอุ้มเองดีกว่า”
หญิงชราตะลึง ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ก็หนักมืออยู่หน่อย ๆ”
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันนั้น เหยาเฟิงและเหยาซูก็พาแขกเดินเข้ามาจากข้างนอก เป็นเจี่ยงฉีและเถิงเอ๋อสองคนนั้นนั่นเอง ยิ่งทำให้ภายในห้องดูคึกคักมากขึ้นทีเดียว
ตลอดช่วงเช้าได้มีแขกทยอยกันมาถึงงานไม่น้อย เหยาซูรีบออกไปดูแลแขกเหล่านั้น จึงไม่ได้สนใจเซวียหรงนัก
กลับเป็นเจี่ยงฉีที่เห็นนางดูเงียบยิ่งกว่าปกติ จึงอดถามขึ้นไม่ได้ “อาหรงวันนี้เจ้าเป็นอะไรไปหรือ? หลายวันนี้วิ่งไปวิ่งมาจนเหนื่อยเลยใช่หรือไม่?”
สะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยาเห็นเจี่ยงฉีและเซวียหรงคุยกัน จึงลุกขึ้นไปช่วยเหยาซูดูแลสตรีท่านอื่น บนโต๊ะจึงเหลือเซวียหรงและเจี่ยงฉีเพียงสองคน
เซวียหรงส่ายหน้าก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เหนื่อยเลย”
เจี่ยงฉีมองพิจารณานางตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “แล้วเป็นอะไรไป? ดูท่าทางครุ่นคิดหนัก”
เซวียหรงมองไปทางเซี่ยเชียนด้วยจิตใต้สำนึกแวบหนึ่ง ครั้นมั่นใจว่าเขายังนั่งอยู่ตรงนั้น จึงหันกลับมาแล้วพูดกับเจี่ยงฉีเสียงเบาว่า “พี่เจี่ยง วันนี้ในตอนที่อยู่บ้านอาซู ข้าได้เจอกับสหายเก่าผู้หนึ่ง”
เจี่ยงฉีถือโอกาสมองตามสายตาเมื่อครู่ของเซวียหรง กระทั่งเห็นชายแปลกหน้าที่นั่งอยู่กับพ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาอยู่ที่นั่งแถวแรก ใบหน้าหล่อเหลา ทั้งยังมีกลิ่นอายไม่ธรรมดา
นางละสายตากลับมาแล้วถามว่า “เจ้าหมายถึงชายชุดดำท่านนั้นใช่หรือไม่? นั่นคือญาติของอาเหราใช่หรือไม่? ทั้งสองคนมีส่วนที่คล้ายกันไม่น้อยเลย”
เซวียหรงแปลกใจกับไหวพริบของนาง ก่อนจะพูดว่า “ถูกต้อง เขาคือน้าของคุณชายหลิน…”
เจี่ยงฉีหันกลับมามองแวบหนึ่ง “เช่นนั้นคือใต้เท้าเซี่ยใช่หรือไม่? เขาคือบัณฑิตจอหงวนที่มีชื่อเสียงในเมืองต้าเยี่ยนของเรา เหตุใดอาหรงถึงรู้จักเขาเล่า?”
เซวียหรงเงียบไปครู่หนึ่ง นางไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “เขามีชื่อเสียงเพียงนั้นเลยหรือ?”
เจี่ยงฉีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนอยู่แล้ว! วันที่สอบเข้าจอหงวนได้ เขาได้เปิดเผยสถานะของตัวเองต่อหน้าเหล่าขุนนางนับร้อยในราชสำนัก โดยไม่สนใจความผิดฐานลบหลู่แต่อย่างใด ทั้งยังเขียนรายงานตำหนิจักรพรรดิองค์ก่อน ทวงความยุติธรรมให้แก่ตระกูลขุนนางที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม นำความผิดร้ายแรงของจักรพรรดิองค์ก่อนมาประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้ อย่าว่าแต่พื้นที่ทางตอนเหนือของเราเลย แม้แต่นักปราชญ์ทางตอนใต้ก็ยังรู้จักชื่อเสียงอันเลื่องลือของใต้เท้าเซี่ยท่านนี้ เจ้าว่าเขามีชื่อเสียงหรือไม่เล่า?”
ครั้นเซวียหรงได้ยินนางเอ่ยถึงเรื่องที่เซี่ยเชียนสอบเข้าจอหงวนได้ เขียนรายงาน และทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ตระกูลขุนนางที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม รอบดวงตาก็เริ่มแดงก่ำ ปรากฏความรู้สึกไม่อาจพรรณนาได้ขึ้นในใจ
สองสามปีมานี้นางปล่อยให้ตัวเองท่องอยู่โลกแห่งการค้า ราวกับได้รับอิสระ แต่ความจริงแล้วกลับเหมือนจอกแหนที่ไร้ราก ลอยอยู่บนผิวน้ำ สับสนวุ่นวาย ไม่รู้จะทำอย่างไร
เซี่ยเชียนต้องแบกรับความไม่เป็นธรรมของตระกูลเซี่ยและตระกูลเซวียเพียงลำพัง หอบเอาจิตใจที่มุ่งมั่นเข้าไปต่อสู้ในราชสำนัก นางไม่เพียงแต่ไม่ช่วยและไม่สนับสนุนเขา กลับยังไม่รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย…
“อาหรง อาหรง?” เจี่ยงฉีมองไปทางนางด้วยความกังวล แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป?”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันนั้น เหยาเฉาและหลินเหราสองคนนั้นก็ออกจากวังตรงกลับบ้าน พิธีจับของเสี่ยงทายของซานเป่าจึงได้เริ่มขึ้น
เซวียหรงดึงจิตใจกลับมาอยู่กับร่องกับรอย แล้วกล่าวเสียงเบา “พี่เจี่ยง ไว้ข้าค่อยกลับมาคุยกับพี่นะ”
เจี่ยงฉีนั้นมองออกเกรงว่าเซวียหรงจะมีความสัมพันธ์เป็นเส้นบาง ๆ กับเซี่ยเชียน ทั้งยังได้ยินเซวียหรงพูดคำว่า ‘สหายเก่า’ ที่แฝงไปด้วยนัยยะบางอย่าง คิดใตร่ตรองถึงเรื่องที่นางขึ้นเหนือล่องใต้ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา แต่กลับไม่ยอมเหยียบย่างเข้ามาในเมืองหลวง ในใจของเจี่ยงฉีก็ค่อย ๆ ได้คำตอบหนึ่ง
บรรยากาศในห้องโถงด้านหน้ากำลังคึกคัก ไม่ใช่เวลาที่ต้องคุยกัน ทั้งสองคนต่างหยุดคุยไปชั่วขณะ แล้วตามแขกทุกคนไปนั่งด้วยกัน
นอกเหนือจากที่ทุกคนคาดคิดไว้ก็คือคนที่เป็นเจ้าภาพในพิธีจับของในคราวนี้ไม่ใช่พ่อเฒ่าเหยาแต่เป็นเซี่ยเชียน
ชายผู้นี้มีรูปลักษณ์สง่าผ่าเผย เห็นได้ชัดว่าเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยา แต่ใบหน้ากลับเกลี้ยงเกลาดุจหยก ดูอ่อนเยาว์อย่างชัดเจนทีเดียว
เขาใช้น้ำเสียงสุขุมและเรียบเฉยค่อย ๆ กล่าวคำอวยพรออกมาทีละประโยค
ส่วนคำอวยพรสำหรับเขา เหมือนกับว่าสิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากปากของเขาไม่สามารถแยกออกเป็นคำได้ ยิ่งคล้ายกับเสียงสัมผัสของดนตรีที่งดงาม ต่อให้เป็นผู้ที่ไม่มีการศึกษาได้ยิน ต่างก็รู้สึกเหมือนได้อาบสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
ซานเป่าถูกวางอยู่บนผ้าสีแดงที่ปูอยู่บนพื้น ดวงตาดำดุจนิลก็มิปานคู่นั้นได้มองมาทางเซี่ยเชียนไม่กะพริบตา
เมื่อคำอวยพรของเซี่ยเชียนจบลง ก็เห็นเขาชี้มือไปยังสิ่งของบนพื้น ซานเป่าจึงได้สติกลับมา มองสิ่งของอันงดงามละลานตาตรงหน้า ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำสิ่งใด
เหยาซูไม่เคยสอนให้ซานเป่าจับของ อีกทั้งนางก็ไม่เคยขอร้องให้เด็กเลือกสิ่งของมากมายมาก่อน จึงพูดให้กำลังใจว่า “ซานเป่าไปหยิบของหนึ่งชิ้นกลับมาสิ”
เด็กทารกเข้าใจบทสนทนาทั้งหมดของพวกผู้ใหญ่ไม่น้อย จากนั้นจึงหยิบปี่เซี๊ยะสีทองขนาดเล็กที่ใกล้ตัวเองที่สุดขึ้นมาจากพื้น มองดูอย่างสนใจ จากนั้นก็วางมันลง
ทุกคนที่อยู่ด้านข้างกำลังจะอ้าปากพูดคำมงคล แต่แล้วก็ต้องหุบปากลงอีกครั้ง
ซานเป่านั่งมองซ้ายที ขวาทีอยู่บนพื้น หยิบของชิ้นหนึ่งและวางกลับลงไป สุดท้ายก็คว้าตำราเล่มหนึ่งแล้วแกว่งไปทางเซี่ยเชียน ปากส่งเสียงร้องที่คนอื่นไม่เข้าใจออกมา
คนรับใช้ของตระกูลเหยาต่างคลี่ยิ้มอย่างเบิกบาน ทยอยกันพูดแสดงความยินดี “คุณชายน้อยหยิบตำรา! ต่อไปจะต้องเป็นนักปราชญ์แน่นอน!”
“นั่นนะสิ คุณชายน้อยเหมือนกับคุณชายอาจื้อ ต่างก็รักในการเรียน!”
พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาที่นั่งอยู่ด้านหน้ามองหลานชายตัวน้อยสนใจในตำรา จึงยิ่งหัวเราะร่า
ซานเป่าไม่เข้าใจว่าเหตุใดทุกคนถึงต้องดีใจเช่นนั้น แค่ออกแรงพยุงตัวที่โซเซขึ้นด้วยขาทั้งสอง มือเจ้าเนื้อเล็ก ๆ ยังคงถือตำราเล่มนั้นและเดินเข้าไปหาเซี่ยเชียน
“อ่า! ถือ!” เขาคลี่ยิ้มด้วยฟันเท่าเม็ดข้าว พลางพูดกับเซี่ยเชียน
เซี่ยเชียนคล้อยตามในความตั้งใจของซานเป่า หยิบตำราที่ใช้จับของจากมือของเขา จากนั้นก็ปรายตามองแวบหนึ่ง นั่นคือ ‘จวงจื่อ’[1] เล่มบางหนึ่งเล่ม
เขาอุ้มซานเป่าขึ้นมาบนตัก จากนั้นก็เปิดตำราเล่มนั้ พลางพูดกับเด็กทารกด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ชอบอ่านตำราเช่นนั้นหรือ? หรือคิดว่าปู่เซี่ยชอบ ก็เลยหยิบมาให้ข้า?”
ซานเป่าพูดด้วยเสียงอ้อแอ้ที่ผู้อื่นไม่เข้าใจ นิ้วมือจิ้ม ๆ ไปบนตัวอักษรบนหน้าตำรา เหมือนกับต้องการให้เซี่ยเชียนอ่านให้เขาฟัง
เมื่อพิธีจับของสิ้นสุดลง เหยาซูและหลินเหราในฐานะเจ้าภาพก็ได้พาทุกคนไปยังห้องอาหาร ภายในห้องโถงด้านหน้าจึงเหลือเพียงเซี่ยเชียน พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาสามคนเท่านั้น
ครั้นเห็นซานเป่าในท่าทางไม่รู้อีโหน่อีเหน่อยู่ในอ้อมกอดของเซี่ยเชียน ชายวัยกลางคนที่มักจะเย็นชาอยู่เสมอ บัดนี้สีหน้าได้ดูอ่อนโยนมากทีเดียว พ่อเหยาและแม่เหยาต่างสบตากัน เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
สุดท้ายก็เป็นพ่อเฒ่าเหยาที่เป็นฝ่ายพูดก่อน “เห็นเช่นนี้ซานเป่าคงจะมีโชคชะตาร่วมกับใต้เท้าเซี่ยเสียแล้ว อาเหราและอาซูเคยเอ่ยกับเราก่อนหน้านั้นแล้วว่าอยากยกลูกชายให้เป็นลูกชายบุญธรรมของตระกูลเซี่ย ไม่ทราบว่าใต้เท้าเซี่ยคิดเห็นอย่างไร?”
มือของเซี่ยเชียนที่กำลังหยอกเย้าซานเป่าก็หยุดชะงักชั่วคราว จากนั้นก็มองอาวุโสทั้งสองคน แล้วกล่าวว่า “ขอไม่ปิดบังอาวุโสทั้งสองท่าน ตอนนี้เรื่องในราชสำนักค่อนข้างยุ่งนัก ข้าไม่ค่อยมีสมาธิดูแลซานเป่ามากเพียงนั้น”
ครั้นได้ยินว่าเขาไม่ปฏิเสธ แม่เฒ่าเหยาก็โล่งใจ
นางเข้าใจความคิดของหลินเหราและเหยาซูที่อยากยกลูกชายให้กับเซี่ยเชียนเพื่อแสดงความกตัญญูแทนพวกเขา อนาคตข้างหน้าจะได้ดูแลเขา แต่ถ้าเซี่ยเชียนไม่ยินดี เกรงว่าจะสร้างความไม่เป็นธรรมต่อซานเป่า ดูจากตอนนี้เซี่ยเชียนดูจะชื่นชอบในตัวของซานเป่าอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ในใจของนางรู้สึกดีไม่น้อย
แม่เฒ่าเหยากล่าวว่า “ลูกบุญธรรมเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่ง ถึงอย่างไรเราก็ต่างอยู่ในเมืองหลวงแล้ว ซานเป่าจะถูกเลี้ยงที่ใดหรือ?”
พ่อเฒ่าเหยาที่อยู่ด้านข้างก็เห็นด้วย
ในที่สุดเซี่ยเชียนก็ไม่กล่าวสิ่งใด
การไปมาหาสู่กันเช่นนี้ เรื่องที่ซานเป่าเป็นลูกบุญธรรมก็ถือว่าเป็นขั้นตอนหนึ่ง
เพราะตอนนี้หลินเหราออกมาอยู่เพียงลำพัง จึงไม่จำเป็นต้องชวนผู้อาวุโสตระกูลหลินมาเป็นพยาน ขั้นตอนเลยดำเนินการอย่างราบรื่น
พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาได้เชิญเซี่ยเชียนไปกินอาหารในห้องอาหาร พลางครุ่นคิดในใจ หลังจากงานวันเกิดครบหนึ่งขวบของซานเป่า พวกเขาได้รู้จักกับเซี่ยเชียนอย่างเป็นทางการ จนหลงลืมเรื่องของลูกเขยและลูกสาว
……………………………………………………………………………………………………….
[1] จวงจื่อ หนึ่งในคัมภีร์อมตะแห่งลัทธิเต๋าในราชวงศ์ถัง
สารจากผู้แปล
ซานเป่าโตมาต้องเป็นบัณฑิตเหมือนท่านปู่แน่ ๆ เลยค่ะ ไม่สิ ต่อไปต้องเป็นพ่อบุญธรรมน้องแล้ว
ไหหม่า(海馬)