บทที่ 365 สหายเก่าพบกัน
บทที่ 365 สหายเก่าพบกัน
เซี่ยเชียนรู้ว่าสิ่งที่นางคำนึงถึงเสมอคือจวนเหยา จึงพยักหน้าและไม่บังคับนางอีก
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนเหมือนสหายเก่าที่ได้พบกัน แต่กลับมีท่าทางกระด้างกระเดื่องไม่น้อย
ทุกคนในตระกูลเหยาต่างรู้ดี ว่าสองคนนี้จะต้องมีเรื่องราวที่ไร้มนุษยธรรมเกิดขึ้นแน่นอน
เซี่ยเชียนรุดตัวเข้าไปทำความเคารพแม่เฒ่าเหยาและพ่อเฒ่าเหยา แล้วกล่าวขอโทษ “อาหรงคือสหายเก่า ไปมาหาสู่กับข้าตั้งแต่วัยเยาว์ ผลลัพธ์จากการล่มสลายของจวนเซวียและจวนเซี่ย ทำให้ทั้งสองตระกูลขาดการติดต่อกัน หลายปีมานี้ข้าเฝ้าแต่ตามหาทายาทตระกูลเซวียมาตลอด…”
ครั้นพ่อเฒ่าเหยาได้ยินเสียงก็สัมผัสได้ถึงน้ำใจอันงดงาม จึงรีบเอ่ยว่า “สหายเก่าพบหน้ากันถือเป็นเรื่องดี เราดีใจแทบไม่ทันเลย! ช่วงเช้ายังไม่มีกิจกรรมอะไร ไม่สู้ให้อาซูพาใต้เท้าเซี่ยและแม่นางเซวียไปยังห้องโถงถัดไปเพื่อย้อนวันวานดีกว่า เที่ยงวันก็ค่อยมากินอาหารด้วยกัน”
เซี่ยเชียนพยักหน้า เถ้าแก่เนี้ยเซวียก็ไม่ได้ปฏิเสธ เหยาซูจึงพาทั้งสองคนไปยังห้องโถงที่อยู่ถัดไป
ในห้องโถงด้านหน้าเหลือไว้เพียงคนในครอบครัวตระกูลเหยาที่ต่างสบตากัน ตกตะลึงพึงเพริดจนพูดไม่ออก
ขุนนางในราชสำนักผู้หนึ่ง และแม่ค้าที่เดินทางขึ้นเหนือลงใต้ผู้หนึ่ง เดิมทีทั้งสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ก็ยังมีวาสนา ได้มาพบปะกันในจวนเหยาเช่นนี้
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าทั้งสองคนกำลังคุยสิ่งใด…
…….
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เหยาซูจัดที่จัดทางให้ทั้งสองคนอย่างใต้เท้าเซี่ยและเถ้าแก่เนี้ยเซวียเรียบร้อยแล้ว ก็ถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ ให้เวลาแก่พวกเขา
หลังจากที่เสียงฝีเท้าของเหยาซูหายไป เซวียหรงก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก้มหน้า แล้วขานเรียกด้วยเสียงต่ำหนึ่งคำ “พี่เชียน”
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ เซี่ยเชียนได้กล่าวว่า “อาหรง เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าตามหาเจ้ามานานกี่ปี?”
เซวียหรงยังคงก้มหน้าต่ำ โดยไม่กล่าวสิ่งใด
เซี่ยเชียนจึงกล่าวอีกครั้ง “ยามนั้นตระกูลเซวียและตระกูลเซี่ยได้รับโทษพร้อมกัน ข้าและพี่หญิงต้องถูกเนรเทศไปอยู่ข้างนอก หนีอุตลุดจนไม่ได้ดูแลตัวเอง ในที่สุดข้าก็กลับเข้าเมืองได้อีกครั้ง เรียกความยุติธรรมให้แก่ตระกูลที่ถูกตัดสินให้รับโทษในวันนั้น จากนั้นก็สืบหาที่อยู่ของทายาทตระกูลเซวียไปทั่วทุกหนแห่ง สุดท้ายก็เป็นพ่อบ้านที่ดูแลตระกูลเซวียในยามนั้นได้บอกกับข้าว่าตระกูลเซวีย เหลือทายาทเพียงคนเดียวนั้นคือเจ้า เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปโดยไม่สนใจได้อย่างนั้นหรือ?”
หรือว่าหลายปีมานี้ พี่เชียนเป็นห่วงนางมาตลอด?
แต่ถ้าพูดถึงคู่รักวัยเด็กที่เติบโตมาด้วยกัน ก็คงจะเป็นเซวียเยวี่ยและเซี่ยเชียนสองคนนี้ นางเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งที่มักจะไล่ตามพี่สาวเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เขาและพี่สาวนางได้มีการหมั้นหมายกันตั้งแต่วัยเยาว์
บัดนี้ผู้เป็นพี่สาวสละชีวิตเพื่อปกป้องนาง แล้วจะให้นางเผชิญหน้ากับเซี่ยเชียนที่สูญเสียว่าที่คู่หมั้นไปได้อย่างไร?
ใบหน้าของเซวียหรงแสดงสีหน้าเจ็บปวด จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้าขึ้น แค่กล่าวเสียงต่ำว่า “พี่เชียน ข้าขอโทษ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องปกป้องข้า คนที่มีชีวิตอยู่ต่อไปก็คงจะเป็นพี่หญิง”
เซี่ยเชียนเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “สัมพันธ์พี่น้องของเจ้ากับอาเยวี่ยลึกซึ้งมาก เจ้าเป็นน้องสาวที่นางยอมปกป้องด้วยชีวิต ต่อไปเจ้าคือน้องสาวแท้ ๆ ของข้า ข้าจะปกป้องเจ้าแทนนางเอง”
ครั้นได้ยินเซี่ยเชียนกล่าวเช่นนี้ เซวียหรงจึงตระหนักได้ คิดว่าเขาคงตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นในยามนั้นชัดเจนแล้ว
รู้คร่าว ๆ ว่า ในยามนั้นเซวียเยวี่ยยอมสละชีวิตของตัวเองปกป้องน้องสาวอย่างไร
ความทรงจำที่ถูกเก็บไว้จนฝุ่นเกรอะได้ถูกปัดขึ้นมาแสดงใหม่ หญิงสาวหลับตาลงด้วยหัวใจที่อ้างว้าง
กระทั่งได้ยินเซี่ยเชียนกล่าวว่า “อาหรง เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ไม่ต้องคิดมาก”
เซวียหรงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้ามองเซี่ยเชียนแล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา “พี่เชียน ข้ารู้ดี หลายปีที่ผ่านมาข้าเองก็คิดมาตลอด ไม่อย่างนั้น วันนี้ก็คงไม่มีทางเหยียบย่างเข้ามาในเมืองหลวงอย่างแน่นอน”
ฝ่ายชายได้กล่าวอีกว่า “ครั้นเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่ยอมอยู่จวนเซี่ย?”
นัยน์ตาของเซวียหรงเศร้าหมองลง เหมือนกับไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไร ผ่านไปพักใหญ่ จึงได้พูดด้วยความละอายใจว่า “จดหมายของศัตรูที่พบในจวนเซี่ย เรื่องราวที่เกิดขึ้นติดต่อกันหลังจากนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะตระกูลเซวียทั้งนั้น พี่เซี่ย ท่านพ่อของข้าเคยกล่าวไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะความไม่เอาไหนของตระกูลเซวีย ทั้งตระกูลเซี่ยก็คงจะไม่ต้องพังพินาศเร็วเช่นนั้น”
เซี่ยเชียนมองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจและทุกข์ระทมคู่นั้นของนาง แล้วเอ่ยถาม “เพราะเหตุผลนี้ จวบจนตอนนี้เจ้าจึงไม่ยอมเปิดเผยตัวตนหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าตามหาเจ้ามานานกี่ปี?”
เซวียหรงกัดริมฝีปาก แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “พี่เชียน ข้าไม่รู้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ และไม่รู้ว่าท่านกำลังตามหาข้า…”
เซี่ยเชียนทอดถอนใจเบา ๆ แล้วกล่าวอย่างจริงจัง “อาหรง เรื่องในราชสำนัก มันไม่ได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่พ่อเจ้ากล่าวไว้ ตระกูลเซวียและตระกูลเซี่ยไปมาหาสู่กันหลายชั่วอายุคน ทั้งยังอยู่ฝั่งเดียวกัน เจ้าคิดว่าหากตระกูลเซวียถูกโค่นล้ม ตระกูลเซี่ยจะอยู่ได้นานเพียงใด? กลับไปกับข้าเถอะ อย่าทำให้ตัวเองต้องจมอยู่ในความรู้สึกละลายใจ เพียงเพราะเหตุผลลวงตาเหล่านี้เลย”
เซวียหรงมองไปทางเซี่ยเชียนอย่างไม่ลดละ กระทั่งเห็นสีหน้าของเขาที่ไม่ได้ดูฝืนใจและปิดบังมากเพียงนั้นแล้ว ก้อนหินที่เดิมทีทับถมอยู่ในใจได้ถูกยกออกในทันที
แต่หญิงสาวก็ยังคงส่ายหน้า “พี่หญิงลาจากโลกนี้ไปนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นการหมั้นหมายของพวกท่าน ก็เป็นคำมั่นเพียงลมปากในวัยเยาว์ ข้า…”
เซี่ยเชียนขมวดคิ้ว “ข้าบอกแล้ว ต่อไปเจ้าจะกลายเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของข้า ไม่เกี่ยวว่าจะหมั้นหมายหรือไม่”
ครั้นเซวียหรงเห็นเขาพูดเช่นนี้ ก็นิ่งอึ้งอยู่ที่เดิมไปชั่วขณะ ยิ่งทำอะไรไม่ถูก
กระทั่งได้ยินเซี่ยเชียนเอ่ยถามอีกครั้งว่า “หลายปีที่เจ้าร่อนเร่ข้างนอก เป็นอย่างไรบ้าง?”
เซวียหรงกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ ท่าทางนั้นเหมือนกับกำลังย้อนกลับไปในช่วงที่นางกับเซี่ยเชียนพูดคุยกันในวัยเด็ก “วันนั้นข้าตามครอบครัวลี้ภัยไปข้างนอก ระหว่างทางได้เจอกับฆาตรกรฆ่าปิดปาก พี่หญิงช่วยชีวิตข้าไว้ สั่งให้ข้าวิ่งหนีไปโดยที่ห้ามหันกลับไปมอง….วันนั้นเป็นคืนพระจันทร์สว่าง ข้าวิ่งมาถึงถนนใหญ่เส้นหนึ่ง กระทั่งเจอเกวียนวัวที่จอดอยู่คันหนึ่ง จึงแทรกตัวเข้าไปในกองฟางแล้วซ่อนตัวเอาไว้”
“เมื่อข้าตื่น ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว เกวียนวัวไม่รู้ว่าเดินทางไปที่ใด ข้าได้แต่แอบตามไปเงียบ ๆ ซ่อนตัวอยู่หลังร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่นั้นจะมีพ่อครัวในร้านอาหารคอยให้อาหารข้า จับข้าแต่งตัวเป็นบุรุษ….”
เซี่ยเชียนฟังอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดสิ่งใด
เมื่อครั้งเกิดเรื่อง เซี่ยเชียนเพิ่งจะอายุเพียงเก้าขวบเท่านั้น ส่วนเซวียหรงก็เพิ่งจะเจ็ดขวบ ต่อให้โตก่อนวัยอันควรแค่ไหน นางก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยเท่านั้น
ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ในร้านอาหาร นางจำเป็นต้องแต่งกายเป็นบุรุษ ทำงานบ้าน วิ่งวุ่นยกอาหาร อะไรที่ทำได้ก็ทำทั้งนั้น โชคดีที่เจ้าของร้านอาหารพบนางในขณะอยู่ในสถานะสตรี จึงคอยดูแล
ไม่กี่ปีหลังจากนั้น หญิงสาวก็เริ่มตามเจ้าของร้านอาหารออกไปท่องโลกภายนอก ไม่นานตัวเองก็ได้ทำกิจการผ้าและเสื้อผ้าสำเร็จรูป
ยามที่เซวียหรงเล่าถึงประสบการณ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ใบหน้าไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรมากมายนัก เหมือนกับว่าความทุกข์ยากและความดิ้นรนที่ไม่มีใครรับรู้เหล่านั้น ล้วนเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่เป็นปกติทั่วไปเท่านั้น
เซี่ยเชียนเงียบไปเนิ่นนาน ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากพูดอย่างไร
เซวียหรงมองเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะแสร้งพูดอย่างผ่อนคลาย “พี่เชียนทำท่าทางเช่นนี้ทำไมกัน? ตอนนี้ข้ามีกิจการของตัวเองแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเก็บหอมรอบริบได้ไม่น้อย สามารถเลี้ยงปากท้องของตัวเองได้ดีทีเดียว อาซูเป็นสหายที่ข้ารู้จักเมื่อปีที่แล้ว เรากำลังวางแผนด้วยกันว่าจะเปิดร้านขายผ้าสำเร็จรูปแห่งหนึ่งในเมืองหลวง…”
เซี่ยเชียนกล่าวเสียงเบา “อาหรง ลำบากเจ้าแย่”
เซวียหรงยิ้มพลางส่ายหน้า “เราคือผู้รอดชีวิต ต้องแบกภาระของวงศ์ตระกูลไว้ ไฉนเลยชีวิตจะง่ายเพียงนั้น? โชคดีที่ข้าไม่ได้ตั้งความหวังกับตัวเองไว้สูงนัก ขอแค่มีชีวิตรอดต่อไปได้ก็พอ”
สิ่งที่นางพรั่งพรูออกมามากมายได้ทำให้หญิงสาวค่อย ๆ เดินออกมาจากความละอายแก่ใจและความหวาดกลัวยามเมื่อได้พบกับเซี่ยเชียนในตอนแรก แล้วเอ่ยถามทันทีว่า “หลายปีมานี้พี่เชียนเป็นอย่างไรบ้าง?”
เซี่ยเชียนกล่าวว่า “ยามนั้นตระกูลเซี่ยถูกคนใดคนหนึ่งตั้งใจฆ่าปิดปาก ข้าและพี่หญิงหนีตายออกมา หลังจากที่เราสองคนแยกทางกัน ข้าก็ต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง ทั้งยังต้องปิดบังแซ่เพื่อเข้าร่วมการสอบ กระทั่งเข้าราชสำนักได้”
เซวียหรงนิ่งงันไป “นี่…”
การปิดบังแซ่เพื่อเข้าร่วมการสอบ เป็นความผิดฐานลบหลู่ แล้วเหตุใดเขาถึงกล้าเสี่ยงตายเช่นนั้น?
ครั้นเซี่ยเชียนเห็นความกังวลที่แสดงออกทางสีหน้าของนาง ก็รู้ในสิ่งที่นางคิดอยู่ในใจ แล้วพูดว่า “ยามนั้นเป็นช่วงที่ขาดแคลนอาหาร มีหลายคนต้องพลัดพรากจากรวงรังไปอย่างคนสิ้นเนื้อประดาตัว ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงไม่ใช่เรื่องยาก ต่อมาเมื่อได้เข้าไปในราชสำนักแล้ว โชคดีที่จักรพรรดิทรงไม่เอาผิด ทั้งยังเรียกความยุติธรรมคืนให้กับตระกูลเซี่ยและตระกูลเซวียที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในยามนั้น อีกทั้งยังปูนบำเหน็จจวนหลังใหม่ให้อีกด้วย ถ้านับในตอนนี้ก็ราว ๆ สิบกว่าปีมาแล้ว”
ดวงตาคู่งามของเซวียหรงเปล่งประกายเล็กน้อย ก่อนจะไล่ถามว่า “ตระกูลเซวียและตระกูลเซี่ย ทวงคืนความยุติธรรมแล้วหรือ?”
เซี่ยเชียนพยักหน้า “ท่านลุงเซวียกลับมาดำรงตำแหน่งขุนนางแล้ว ทั้งสองตระกูลได้รับการชดเชย ราชสำนักได้แต่งตั้งตำแหน่งขุนนางให้”
แม้จะบอกว่าคนตายก็เหมือนตะเกียงดับ คนที่ตายไปอย่างไม่ยุติธรรมเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้
แต่ชื่อเสียงเกียรติยศที่พึงมีของทั้งสองตระกูลได้ถูกเซี่ยเชียนช่วงชิงกลับคืนมาหมดแล้ว
เซวียหรงแสดงสีหน้าตื่นเต้น พร้อมกับมองเซี่ยเชียน ก่อนจะค่อย ๆ รู้สึกแสบจมูก แล้วพูดว่า “พี่เชียน ขอบคุณท่านมาก ถ้าไม่มีท่าน เกรงว่าตระกูลเซวียก็คงจะหายสาบสูญไป ตกอยู่ในนรกภูมิอย่างไม่สงบสุข”
เซี่ยเชียนจ้องหญิงสาวเขม็ง นัยน์ตาที่ดูคุ้นเคยนั้นทำให้เขาเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ
โชคดีที่เขาดึงสติกลับมาได้รวดเร็ว ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “ตอนนี้ตระกูลเซวียมีแค่เจ้าเป็นทายาทเพียงผู้เดียว ข้าเพียรตามหาเจ้าแต่ก็ไม่พบ จึงต้องลงมือเอง ด้วยการเติมลำดับวงศ์ตระกูลเซวียเท่าที่ตัวเองเข้าใจไม่มากก็น้อยออกมา แต่ไม่สมบูรณ์ทั้งหมด บัดนี้ในเมื่อเจอเจ้าแล้ว ลำดับตระกูลเซวียนี้ ยกให้เป็นหน้าที่เจ้าเติมเต็มก็แล้วกัน”
เซวียหรงสูดลมหายใจ พยักหน้าแล้วพูดว่า “แน่นอน พี่เชียน ขอบคุณมาก”
เซี่ยเชียนส่ายหน้า “เรายังต้องรักษาสายสัมพันธ์หลายช่วงอายุคนระหว่างตระกูลเซวียและตระกูลเซี่ยเอาไว้ การทำเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่สมควร”
……………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นอกจากพี่สาวแล้ว เซวียเยวี่ยก็คืออีกคนหนึ่งที่เซี่ยเชียนรักสินะ ถ้ายังอยู่ก็คือเซี่ยเชียนคงได้แต่งภรรยาแล้ว
ไหหม่า(海馬)