บทที่ 364 วันเกิดครบหนึ่งร้อยวันของซานเป่า

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 364 วันเกิดครบหนึ่งร้อยวันของซานเป่า

บทที่ 364 วันเกิดครบหนึ่งร้อยวันของซานเป่า

ในที่สุดวันเกิดครบหนึ่งปีของซานเป่าที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง

เช้าตรู่วันนี้หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว เหยาซูได้เปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับการเฉลิมฉลองให้กับซานเป่าทั้งตัว

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่อาจื้อจะขอลาหยุดโดยไม่ต้องไปจวนเซี่ยหนึ่งวัน ตอนนี้เขาและอาซือจึงมาช่วยเหยาซูเปลี่ยนเสื้อผ้าให้น้องชาย

หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น เหยาซูก็พาเด็ก ๆ ทั้งสามคนไปยังห้องโถงด้านหน้าด้วยกัน

ระหว่างทางอาซือก็กระโดดโลดเต้นอย่างเบิกบานใจ และเอ่ยถามโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด “ท่านแม่ พิธีจับของเสี่ยงทายของน้องมีท่านปู่เซี่ยเป็นเจ้าภาพด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ? พี่เถิงและคนอื่นจะมาด้วยใช่ไหมเจ้าคะ? แล้วท่านอาอวี๋ก็มาใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

ครั้นเหยาซูเห็นนางพ่นคำถามติดต่อกัน จึงได้แค่ยิ้มบาง ๆ และอดทนตอบทีละคำถาม

อาจื้อที่อยู่ข้าง ๆ ได้พูดขึ้น “ปกติเจ้าเรียกท่านอาอวี๋ว่าพี่ไม่ใช่หรือ? เหตุใดวันนี้ถึงรู้จักเรียกเขาว่าท่านอาอวี๋เสียได้เล่า?”

อาซือรู้ว่าพี่ชายของตนนั้นเรียนหนัก เมื่อเจอกันก็มักจะอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน ยามว่างเขาจึงสรรหาเรื่องมาหยอกเย้า เด็กหญิงเองก็ใจกว้างไม่น้อย

เด็กหญิงเบะปาก แล้วพูดว่า “ข้าจะเรียกอย่างไร ก็จะเรียกอย่างนั้น”

อาจื้อกระตุกยิ้มมุมปาก เผยให้เห็นช่องว่างของฟันน้ำนมที่กำลังถูกเปลี่ยนเป็นฟันแท้เพียงครึ่งเดียว

เหยาซูชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดตอนนี้ฟันซี่นี้ถึงได้หักเล่า ไหนมาให้ข้าดูเสียหน่อย?”

จู่ ๆ เด็กชายก็นึกถึงช่องว่างฟันซี่บนของตัวเองฉับพลัน จึงรีบหุบปากลงทันที จากนั้นก็ส่ายหน้าไม่ยอมให้เหยาซูดู

อาซือที่อยู่ข้างกายได้พูดว่า “ฟันของท่านพี่หักแล้ว และมันกำลังขึ้นมาอีกซี่ น่าแปลกใจยิ่งนัก…”

เหยาซูขบขันอยู่ในใจ สีหน้าก็ทนไม่ได้เช่นกัน

อาจื้อพูดกับอาซืออย่างไม่สบอารมณ์ “ต่อไปเจ้าก็ต้องมีฟันแท้เหมือนกัน อีกทั้งหลังจากฟันน้ำนมหลุดไปแล้ว ก็จะมีฟันใหม่ขึ้นมา ซึ่งใหญ่กว่าฟันซี่อื่นแน่นอน! ฟันของเหล่าญาติผู้พี่ก็เป็นเช่นนี้”

คำพูดทั้งหมดของอาจื้อคือคำพูดที่เหยาซูใช้ปลอบโยนเขา แต่ละคำไม่มีการเปลี่ยนแต่อย่างใด

อาซืออุทาน “อ่อ” หนึ่งเสียง ท่าทางกระโดดโลดเต้นนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่คิดอะไร ทั้งยังไม่ได้เก็บคำพูดของอาจื้อมาใส่ใจ

เด็กชายทำได้แค่หุบปาก ในใจกลับคาดหวังอยากให้ฟันของตัวเองขึ้นมาเร็ว ๆ

ในตอนที่เหยาซูพาเด็ก ๆ มาถึงห้องโถงด้านหน้า ก็พบว่าคนตระกูลเหยาต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง และกำลังรอพวกเขาอยู่แล้ว

พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาได้เปลี่ยนเป็นชุดที่ค่อนข้างเป็นทางการ พวกเขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวแรก ครั้นแม่เฒ่าเหยาเห็นลูกสาวพาเด็ก ๆ เข้ามา ก็รีบรุดเข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้มทันที “อาซู พาซานเป่ามานี่ แม่ขอดูหน่อย วันนี้เหตุใดถึงได้หล่อเหลาเพียงนี้? เทวดาตัวน้อยลงมาจุติบนโลกมนุษย์แล้วใช่หรือไม่?”

ซานเป่าเข้าใจคำพูดของผู้ใหญ่ไม่น้อย จึงยิ้มยิงฟันขนาดเม็ดข้าวออกมา พลางมองหญิงชราและส่งยิ้มให้นาง

เหยาซูวางลูกชายคนเล็กลงบนพื้น ปล่อยให้เขาเดินเตาะแตะไปข้างหน้า พุ่งเข้าไปหาอ้อมกอดของผู้เป็นยาย พร้อมทั้งกลั้วหัวเราะไม่มีหยุด

นอกจากเหยาเฉาและหลินเหราที่ต้องรอให้เสร็จสิ้นภารกิจถึงจะกลับได้แล้ว คนตระกูลเหยาที่เหลือต่างมารวมตัวกัน ณ ห้องโถง มีเถ้าแก่เนี้ยเซวียและเสี่ยวเว่ยปรากฏตัวอยู่ในตระกูลเหยาด้วยเช่นกัน

บรรดาแขกต่างทยอยมาถึงจวนตั้งแต่ตอนเที่ยง เหยาซูและคนอื่นไม่ได้รีบร้อน บางคนก็นั่งจับกลุ่มอยู่อีกด้าน บางคนก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

เอ้อหลางเป็นคนที่นั่งไม่ติดมากที่สุด หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็ออกจากห้องโถงไปอย่างเงียบ ๆ แถมยังลากตัวเสี่ยวเว่ยไปด้วย ไม่รู้ว่าจะไปไหน

ไม่นาน ก็ได้ยินเหล่าคนใช้พูดกันเป็นเสียงเดียว “ใต้เท้าเซี่ยมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”

หลินเหราไม่อยู่ เหยาซูจึงลุกขึ้นยืน และกล่าวกับพ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาว่า “ก่อนหน้านั้นอาเหราตั้งใจไปจวนเซี่ยด้วยตัวเอง เพื่อให้ท่านน้ามาที่นี่เร็วขึ้น จะได้เจอกับท่านพ่อและท่านแม่ ข้าจะไปเชิญท่านน้าเข้ามานะเจ้าคะ”

พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาไม่ได้แปลกใจอะไร แค่ส่งเหยาเฟิงตามเหยาซูออกไปข้างนอก เถ้าแก่เนี้ยเซวียที่นั่งอยู่กับสะใภ้รองเหยาอีกด้าน ก็พลันขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว

เมื่อสะใภ้รองเหยาเห็นท่าทางของนาง ก็อดถามมากกว่านั้นไม่ได้ “แม่นางเซวียเป็นอะไรไปหรือ?”

เถ้าแก่เนี้ยเซวียคลายปมคิ้ว แล้วส่ายหน้าก่อนพูดว่า “ไม่มีอะไร แค่นึกถึงความทรงจำหนึ่งในอดีต ไม่มีอะไร”

ไม่แปลกใจที่นางจะอ่อนไหว ครั้นนึกถึงยามนั้น ในเมืองหลวงนอกจากบ้านหลังนั้นแล้ว ยังมีตระกูลไหนบ้างที่มีบ้านชื่อว่า ‘จวนเซี่ย’ ตอนนี้ผ่านมาตั้งกี่ปีแล้ว ยามที่นางได้ยินคำว่า ‘จวนเซี่ย’ จึงอดอ่อนไหวไม่ได้

แต่ผู้คนที่มีแซ่เซี่ยนับไม่ถ้วนในชีวิตก่อนหน้านั้น ใครจะไปคิดเล่าว่าจะเป็นแซ่เซี่ยกับที่นางคิดไว้ในใจผู้นั้น?

เถ้าแก่เนี้ยเซวียพยายามกำจัดเรื่องราวของอดีตในห้วงสมอง แล้วตั้งใจพูดคุยกับสะใภ้รองเหยา

ไม่นาน ทุกคนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังจากข้างนอก ตามมาด้วยชายร่างใหญ่ผู้หนึ่ง เดินตามเหยาซูและเหยาเฟิงเข้ามาในห้องโถงด้านหน้า

เขาดูเหมือนมีอายุไม่ต่างกับเหยาเฟิงสักเท่าไร แต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำทั้งตัว มีคิ้วรูปดาบและตากลมโตเป็นประกาย คนทั้งคนส่งกลิ่นอายที่ดูเย็นชาแผ่ขยายออกมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาคู่นั้น ช่างคล้ายคลึงกับของหลินเหราเจ็ดถึงแปดส่วนเลยทีเดียว

พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาต่างลุกขึ้น จากนั้นกล่าวด้วยความเคารพในฐานะที่เป็นอาวุโสเหมือนกัน “ท่านนี้คือน้าของอาเหรา ใต้เท้าเซี่ยใช่หรือไม่? เราต้อนรับได้ไม่ดีเอาเสียเลย ช่างน่าขัน ช่างน่าขันยิ่งนัก!”

เซี่ยเชียนทำความเคารพอย่างสุภาพเรียบร้อย ใบหน้าเย็นชายังคงไม่เปลี่ยนแปลงก่อนจะกล่าวว่า “ได้ยินมาว่าอาวุโสทั้งสองเข้าเมืองนานแล้ว ยื้อเวลาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะมาเยี่ยมเยือน ข้าน้อยเซี่ยเสียมารยาทยิ่งนัก!”

พ่อเฒ่าเหยายิ้ม แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “จะมาพูดว่าเสียมารยาทไม่เสียมารยาทด้วยเหตุใดกัน! ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ไฉนเลยต้องพูดเช่นนี้? เรารู้ว่าใต้เท้าเซี่ยยุ่งมากเพียงใด วันนี้เป็นวันเกิดครบหนึ่งปีของซานเป่า ท่านสละเวลามาเยือนถึงบ้าน เราก็แทบจะดีใจไม่ทันแล้ว!”

แม่เฒ่าเหยายิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ถูกต้องที่สุด”

ตามหลักเหตุผลแล้วพ่อเฒ่าเหยาแม่เฒ่าเหยาและเซี่ยเชียนน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่โฉมหน้าที่ยังแลดูอ่อนเยาว์ของเซี่ยเชียนนั้นทำให้อาวุโสทั้งสองท่านไม่สามารถปฏิบัติตนต่อเขาในฐานะญาติรุ่นราวคราวเดียวกันได้

โชคดีที่เซี่ยเชียนอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า ย่อมมีกลิ่นอายที่ดูสุขุมทั้งตัว ทั้งยังเป็นถึงน้าแท้ ๆ ของหลินเหรา คิดได้เช่นนี้ พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาคงรู้สึกสบายใจขึ้นมาหลายส่วน

อาวุโสทั้งสองท่านพาเซี่ยเชียนเดินรุดหน้าเข้าไปนั่งยังที่นั่งด้านหน้า ในขณะที่กำลังจะรินชา กลับได้เสียงของสะใภ้รองตะโกนเลื่อนลั่น “แม่นางเซวีย แม่นางเซวีย เจ้าสบายดีใช่หรือไม่?”

สายตาของทุกคนทยอยกันกลับมารวมอยู่ที่ใบหน้าของเถ้าแก่เนี้ยเซวียเป็นตาเดียว

ผิวพรรณของนางที่เดิมทีไม่ได้หมองคล้ำ ดูจากตอนนี้มันกลับซีดเซียวลงส่วนหนึ่ง แม้แต่ริมฝีปากก็ยังไร้เลือดฝาด

กลายเป็นสะใภ้รองเหยาที่ต้องเบิกตากว้างมองรอยยิ้มบนใบหน้าของนางที่หายไปนับตั้งแต่วินาทีที่เซี่ยเชียนเดินเข้ามา

จนถึงในตอนที่เซี่ยเชียนหมุนตัวกลับมาในที่สุด ก็แทบจะเสี้ยววินาทีเดียวที่บนใบหน้าของเถ้าแก่เนี้ยเซวียซีดเผือดจนไร้ซึ่งสีเลือด

หญิงสาวจึงอดตะโกนเสียงดังไม่ได้

เซี่ยเชียนนั่งอยู่ด้านหน้า มองกลับมาด้วยสายตานิ่งเฉย จังหวะนั้นกลับสบเข้ากับสายตาของเถ้าแก่เนี้ยเซวียพอดี ใบหน้าที่เดิมทีไม่เปลี่ยนแปลงของเขา จู่ ๆ ก็ฉายแววงุนงงอย่างฉับพลัน

คิ้วรูปดาบของชายผู้นั้นขมวดเข้าหากันเหมือนกับไม่แน่ใจ แต่น้ำเสียงเย็นชานั้นเห็นได้ชัดว่าแฝงไปด้วยความประหลาดใจอย่างไม่สามารถปิดบังได้ “เจ้าคือ…อาหรง?”

เหมือนกับตกอยู่ในห้วงแห่งความฝันก็มิปาน นัยน์ตาคู่นั้นของเถ้าแก่เนี้ยเซวียค่อนข้างหวาดหวั่น และไม่อยากจะเชื่อ

สะใภ้ทั้งสองของตระกูลเหยาเคยได้ยินเจี่ยงฉีเรียกเถ้าแก่เนี้ยเซวียว่า ‘อาหรง’ ว่าแต่เซี่ยเชียนไปรู้ชื่อเล่นในวัยเยาว์ของนางมาจากไหน?

น้ำเสียงที่ฟังดูสดใสของนางได้แหบพร่าอย่างสมบูรณ์ ถึงแม้จะพยายามยับยั้งมันไว้ แต่กลับยังสั่นเครือ “พี่เชียน? ท่านจริง ๆ ใช่หรือไม่?”

สีหน้าของเซียเชียนเปลี่ยนไปทันใด ชายผู้นี้ลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน จากนั้นก็เดินมาทางทิศทางของนาง เมื่อเข้าใกล้ก็พลันหยุดชะงักลง

คนตระกูลเหยาต่างสบตากัน ด้วยความไม่เข้าใจ เหตุใดคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันถึงมีท่าทางราวกับสนิทชิดเชื้อกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนได้?

เซี่ยเชียนกล่าวเสียงต่ำ “อาหรง … ข้าคาดไม่ถึงว่า วันหนึ่งจะได้เจอกับคนในตระกูลเซวียอีก”

เซวียหรงกำลังตะลึงงัน จึงไม่พูดสิ่งใด

เซี่ยเชียนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเอ่ยถามว่า “อาหรง เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ในตระกูลเหยา? เจ้าอยู่ในเมืองหลวงตลอดหรือ? ครอบครัวยังมีผู้อื่นอีกหรือไม่?”

เหมือนกับตื่นจากความฝัน ใบหน้าของเซวียหรงที่เดิมทีซีดเซียวเหมือนกับกระดาษหนึ่งแผ่น ก็ค่อย ๆ กลับมามีสีอีกครั้ง

หญิงสาวส่ายหน้าแล้วพูดเสียงต่ำ “ตอนนี้ตระกูลเซวีย มีแค่ข้าเพียงผู้เดียว ตอนนี้ข้าไร้ที่อยู่อาศัย เมื่อสองสามวันก่อนเพิ่งจะเข้าเมือง”

เซียเชียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ในคำพูดนั้นแฝงไปด้วยความปวดใจอย่างอดไม่ได้ “หญิงสาวคนเดียวต้องร่อนเร่อยู่ข้างนอก ไม่ค่อยสะดวกนัก วันนี้มาอยู่ในจวนของข้าหลังนั้นสิ ต่อไป…”

ไม่ทันรอให้เซี่ยเชียนพูดจบ นางก็แย้งขึ้น “พี่เชียน! ไม่ต้อง ข้าชินกับการอยู่คนเดียวแล้ว”

คิ้วของเซี่ยเชียนขมวดเข้าหากันอีกครั้ง

ชายหนุ่มทำได้แค่เอ่ยปากพูด “อาหรง ตระกูลเซี่ยก็คือตระกูลของเจ้า”

ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ เซวียหรงก็เมินหน้าไปทางอื่น เหมือนกับไม่อยากให้เซี่ยเชียนเห็นความอ่อนไหวทางด้านความรู้สึกของตัวเอง ครู่หนึ่ง ก็หันกลับมา แล้วพูดเสียงต่ำ “พี่เชียน เรื่องของเรา ค่อยพูดกันวันหลัง ดีหรือไม่?”

………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เอ๋ ระหว่างเซี่ยเชียนกับเซวียหรงมันต้องมีซัมติงอะ และเป็นอะไรที่สะเทือนใจพอสมควรด้วย

ไหหม่า(海馬)