นางเคยดื่มน้ำชาจากลูกสะใภ้มาแล้วครั้งหนึ่ง จึงมิได้กระหายอยากดื่มเป็นครั้งที่สองขนาดนั้น
การที่นางมิใคร่จะดื่มเป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกฝ่ายจะมาคารวะน้ำชาหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ลูกอกตัญญูอย่างชายเจ็ดไม่เคยเห็นหัวนางเลย นางเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าสามีภรรยาคู่นั้นจะเป็นพวกสามีร้อง ภรรยารับ
หากรักใครก็ต้องรักทุกสิ่งที่เป็นเขาด้วย ในมุมของความเกลียดชังก็ไม่ต่างกัน
เสียนเฟยมิได้รักอวี้จิ่นเลยแม้แต่น้อย แม้ความเกลียดชังที่มีเกิดจากการที่ลูกชายไม่เชื่อฟัง แต่นั่นก็ส่งผลกระทบต่อทัศนคติที่มีต่อลูกสะใภ้ด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือสะใภ้ผู้นี้เกิดจากหญิงที่นางไม่ถูกใจ จึงมิต้องสงสัยว่าเหตุใดเจียงซื่อถึงไม่ได้รับการต้อนรับ
ครั้นเห็นว่าทั้งสองแต่งงานกันเช่นนี้ นั่นยิ่งทำให้เสียนเฟยรู้สึกรำคาญใจอย่างยิ่งยวด
“เหนียงเหนียง เยี่ยนอ๋องและพระชายาเสด็จมาถึงแล้วเพคะ”
ดวงอาทิตย์ลอยเด่นอยู่กลางนภา สรรพสำเนียงของจักจั่นส่งเสียงเอ็ดอึงภายใต้สภาพอากาศร้อนระอุ
ถึงกระนั้น ใบหน้าของเสียนเฟยในยามนี้กลับปกคลุมด้วยความเย็นประหนึ่งแผ่นน้ำแข็ง
“ไปบอกว่าข้ารอจนเบื่อแล้ว บัดนี้กำลังงีบ ให้พวกนั้นรอที่ห้องโถงไปก่อน”
นางในรับคำสั่งของเสียนเฟยไปถ่ายทอดต่อด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
อวี้จิ่นและเจียงซื่อหันมาสบตากัน
“ได้ เช่นนั้นข้าและพระชายาจะรอ”
อวี้จิ่นในชุดคลุมสีแดงเข้มขับเน้นให้ผิวพรรณนวลขาวดูเปล่งปลั่ง กระจ่างใสดุจแสงของจันทรา
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเบาสบายพร้อมกับรอยยิ้มระบายทั่วใบหน้า ครั้นนางในได้เห็น หน้าของนางก็ขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างช่วยไม่ได้ ความเย็นชาไร้อารมณ์เมื่อครู่หายวับไปจนสิ้น
อย่างไรก็ตาม นางในในตำหนักทราบดีว่าเสียนเฟยไม่ถูกใจสองสามีภรรยาคู่นี้ พวกนางจึงไม่ได้ถวายการต้อนรับอย่างที่ควรจะเป็น
เวลาคืบเคลื่อนไปเรื่อยๆ ทั้งสองเฝ้ารออย่างเงียบเชียบ
เมื่อนางในที่ยืนเฝ้าอยู่ในโถงเห็นว่าจวนจะได้เวลาที่เสียนเฟยจะเรียกทั้งสองเข้าเฝ้าแล้ว จู่ๆ อวี้จิ่นก็ยกถ้วยชาขึ้นและปาลงพื้น
ถ้วยชาแตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย ส่งเสียงดังไปทั่ว
โดยปกติแล้ว ยามที่นางในเดินอยู่ในวังจะต้องลงฝีเท้าให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นเหตุการณ์เมื่อครู่จึงเรียกได้ว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่สะเทือนดินสนั่นฟ้าเลยทีเดียว
นางในหลายคนเริ่มหน้าซีด ไม่รู้ว่าควรวางตัวเช่นไร
“เจ้าเจ็ด นี่เจ้าทำอะไรของเจ้า” ม่านพลิ้วไหวไปมาพร้อมกับเสียนเฟยที่ปรากฏตัวขึ้นโดยมีนางในช่วยประคอง
เศษถ้วยลายครามที่กระจายเกลื่อนพื้นสะท้อนเข้าตาของเสียนเฟยพอดิบพอดี ความไม่หวั่นเกรงสิ่งใดของสองสามีภรรยาคู่นี้สร้างความไม่พอใจให้แก่นางอย่างยิ่ง
เสียนเฟยจ้องเขม็งไปที่อวี้ชีพลางส่งยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าเจ็ด ไม่รู้ว่าเจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าข้าเป็นมารดาของเจ้า”
อวี้จิ่นหลับตาลงพลางตอบแผ่วเบา “แน่นอนว่าจำได้พ่ะย่ะค่ะ”
“จำได้?” เสียนเฟยกล่าวเสียงสูง “แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าลืมมันไปหมดแล้ว! เจ้านี่มันหยาบคายเหลือเกิน ปล่อยให้ข้ารออยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม ข้ารอจนเบื่อถึงได้เข้าไปพัก แต่เจ้ากลับมาสร้างเรื่องถึงตำหนักของข้า นี่เจ้ายังเห็นข้าเป็นแม่อยู่หรือไม่”
อวี้จิ่นยิ้ม “เหนียงเหนียง เพราะลูกเห็นว่าท่านเป็นคนใกล้ชิดที่สุด ถึงได้ช่วยสั่งสอนบ่าวรับใช้ที่ไม่รู้ความพวกนี้!”
เสียนเฟยรอให้อวี้จิ่นพูดต่อด้วยท่าทีเย็นชา
อวี้จิ่นมิได้ดูอึดอัดเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มยังคงเด่นชัดอยู่ดังเดิม “เหนียงเหนียงกำลังบรรทม กระหม่อมและพระชายารออยู่นานก็สมควรแล้ว แต่การที่พวกเรารออยู่นานเพียงนี้ แต่บ่าวรับใช้ในตำหนักอวี้เฉวียนไม่แม้แต่จะถวายน้ำชาสักถ้วย เห็นได้ชัดว่าพวกนางช่างไม่รู้กฎระเบียบเอาเสียเลย จริงอยู่ที่กระหม่อมและพระชายามิได้ถือสาเอาความ แต่หากเป็นคนอื่นเล่า คนที่จะเสียหน้าก็จะต้องเป็นเหนียงเหนียงเอง อย่างไรลูกก็เป็นโอรสที่เกิดจากท่าน ลูกถึงได้มองปัญหาให้แง่มุมของท่าน ครั้นคิดตกเช่นนั้นแล้ว ก็เห็นว่าบ่าวรับใช้พวกนี้จำต้องได้รับการสั่งสอนเสียใหม่…”
ขณะที่อวี้จิ่นกล่าว นางในเหล่านั้นก็รีบคุกเข่าลงที่พื้นพร้อมใบหน้าซีดเผือด
พวกนางเพียงแต่ต้องการทำให้เหนียงเหนียงพอพระทัย แต่ไม่คิดมาก่อนว่าเยี่ยนอ๋องจะมีอำนาจดุจกัน
ฝ่ายเสียนเฟยเองก็ไม่ทันคิดว่าน้ำชาสำรับเดียวจะทำให้อวี้จิ่นเร้าโทสะถึงขั้นคว่ำโต๊ะ อีกทั้งนางเองก็ไม่สามารถปฏิเสธเหตุผลที่อีกฝ่ายยกมาได้ อีกทั้งท่อนที่บอกว่า ‘เป็นโอรสที่เกิดจากนาง’ ก็ช่างจงใจแดกดันนางเสียเหลือเกิน
“เป็นเพราะข้าผ่อนปรนกับพวกนางเกินไป ไหนๆ วันนี้เจ้าก็พาพระชายามาที่ตำหนักอวี้เฉวียนเป็นครั้งแรก อย่าปล่อยให้เรื่องที่พวกนางไม่รู้กาลเทศะมาทำลายบรรยากาศเลยจะดีกว่า” เสียนเฟยเหลือบมองเหล่านางในที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “แต่ถ้ายังไม่รีบออกไป ข้าจะลงโทษบัดเดี๋ยวนี้”
เหล่านางในรีบก้มโค้งขอประทานอภัยก่อนจะกระวีกระวาดออกไป
เจียงซื่อหลุดยิ้มอย่างไม่ได้ตั้งใจ
อวี้ชีเล่นใหญ่คราวนี้ การมาเยือนตำหนักอวี้เฉวียนครั้งต่อไป หากปราศจากคำกำชับจากเสียนเฟย เหล่านางในก็คงไม่กล้าเมินเฉยใส่พวกเขาอีกแล้ว
บ่าวรับใช้รีบเข้ามาเก็บกวาดเศษถ้วยจนเกลี้ยงก่อนจะนำชาสำรับใหม่มาถวาย
อวี้จิ่นยกถ้วยชาขึ้นคารวะเสียนเฟย
เสียนเฟยกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าจะได้ดื่มชานี้ตอนช่วงสังอู่[1]เสียอีก”
อวี้จิ่นยิ้มพลางกล่าว “ความจริงลูกอยากมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่เสด็จพ่อให้ลูกนั่งสนทนาด้วยก่อน ถึงได้มาถึงล่าช้าเพียงนี้”
แม้ชายหนุ่มไม่ใคร่จะมานั่งพูดเรื่องไร้สาระที่วังหลัง แต่เพราะวันนี้เป็นวันแรกของการแต่งงาน เขาถึงได้อดทนเพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิตคู่ระหว่างเขาและอาซื่อก็เท่านั้น
ครั้นเสียนเฟยได้ยินอวี้จิ่นเอ่ยถึงจิ่งหมิงฮ่องเต้ นางก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ฮ่องเต้ให้เจ้าเจ็ดอยู่สนทนาต่องั้นหรือ หมายความว่าอย่างไรกัน
“เสด็จพ่อของเจ้าเป็นพวกชอบสนทนาที่ไหนกัน” เสียนเฟยหยั่งเชิง
อวี้จิ่นยิ้มพลางหันไปดึงเจียงซื่อพลางบอก “ยามประสบเรื่องน่ายินดี ก็มีเรื่องให้ใจเบิกบานอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
มุมปากของเสียนเฟยกระตุกเล็กน้อย
ยามประสบเรื่องน่ายินดี มีเรื่องให้ใจเบิกบานพระแสงอะไรกัน พระธิดามีงานอภิเษกสมรสมานับสิบ เหล่าองค์ชายก็ออกเรือนไปแล้วตั้งหกเจ็ดรอบ ยังไม่เบื่อเรื่องพวกนี้ก็นับว่าเก่งมาแล้ว
เสียนเฟยเก็บงำความสงสัยนั้นไว้ แล้วเอื้อมมือไปรับชาจากอวี้จิ่นมาจิบ
ถัดมาเป็นคราวของเจียงซื่อ ทว่าเสียนเฟยกลับไม่รับเสียอย่างนั้น
“ชานี่ยังมิต้องรีบร้อนไป ข้ามีเรื่องจะกำชับพระชายาเสียก่อน”
“ขอเสด็จแม่โปรดชี้นำเพคะ” เจียงซื่อยังคงข้างอยู่ในท่าคารวะน้ำชาด้วยท่าทีนอบน้อม
ท่าทีอ่อนน้อมและให้เกียรติของนางทำให้เสียนเฟยรับรู้บางอย่างคลาดเคลื่อนไป
เสียนเฟยเริ่มกล่าวจากเรื่องข้อปฏิบัติในฐานะสตรีว่าควรภักดีและสงบเสงี่ยมอย่างไร แม้ชาในถ้วยใบแรกจะหมดลงแล้ว แต่นางก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพูด
ในเมื่อลูกชายเล่นลงไพ่ไม่สนกฎเกณฑ์ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ แต่หากนางยังควบคุมลูกสะใภ้ไม่ได้ด้วยอีกคน คงถูกหัวเราะเยาะเป็นแน่
เจียงซื่อยังคงถือถ้วยชาด้วยสองมือค้างอยู่กลางอากาศ พลางนับเลขในใจ หนึ่ง สอง สาม…
นางยังนับไม่ถึงเลขสิบ เป็นอวี้จิ่นที่เอื้อมมือมาคว้าถ้วยชาจากมือของนางแล้ววางลงบนโต๊ะ
“เหนียงเหนียงดื่มเสียหน่อยเถิด ใกล้ถึงยามสังอู่แล้ว ลูกยังต้องพาพระชายาไปตำหนักอื่นต่อพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นอวี้จิ่นจูงมือเจียงซื่อเดินไปที่ประตู เสียนเฟยก็ตกตะลึงจนแทบคลั่ง นางขว้างถ้วยชาลงพื้นพลางตะโกน “หยาบคาย ชานี้ข้าก็ขอไม่ดื่ม”
อวี้จิ่นชะงักฝีเท้าก่อนจะหันไปมองเสียนเฟย “ในเมื่อเหนียงเหนียงไม่ทรงโปรดรสชานี้ ก็ตามแต่พระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ลูกและลูกสะใภ้คงไม่อาจบังคับฝืนใจเหนียงเหนียงได้”
ต่อหน้านางในที่อยู่ในตำหนัก เสียนเฟยที่กริ้วโกรธจนตัวสั่นกล่าวว่า “ไอ้คนหยาบช้า เจ้าคงรู้ใช่หรือไม่ว่าหากข้าไม่ดื่มชานี้ ก็หมายความว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องมิได้รับความไว้วางใจ”
อวี้จิ่นผงะไปทันใด
เมื่อเห็นอาการของอวี้จิ่นแล้ว เสียนเฟยก็ยิ้มหยันชอบใจ
ต่อให้เป็นสามัญชนคนธรรมดา ยามที่สะใภ้ใหม่เข้าไปคารวะน้ำชาแม่สามียังต้องหวั่นใจ ไม่ว่าแม่สามีจะแสดงท่าทีอย่างไร สะใภ้ก็ทำได้เพียงอดทนไว้ เพราะหากผู้เป็นแม่สามีปฏิเสธจะดื่มชาแล้วไซร้ นั่นหมายถึงการไม่ยอมรับสะใภ้ผู้นั้น
ในกรณีเช่นนี้ สะใภ้คนนั้นจะไม่สามารถเชิดหน้าชูตาในวงศ์ตระกูลได้อีก
นางอยากรู้ว่าหากนางไม่รับชาแล้ว พระชายาเยี่ยนอ๋องจะทำอย่างไร!
แต่แล้วอวี้จิ่นก็หัวเราะขึ้น “เหนียงเหนียงคงเข้าใจอะไรผิดไป เมื่อครู่พระชายาเข้าไปคารวะน้ำชาแด่ฮ่องเต้และฮองเฮา ฮองเฮาได้มอบกำไลดอกหลิงเซียวให้แก่นาง ดังนั้นการจะบอกว่าพระชายามิได้รับความไว้วางใจคงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นว่าเสร็จแล้วก็จูงมือเจียงซื่อเดินออกไป
เสียนเฟยจ้องมองม่านลูกปัดที่แกว่งไปมา ใบหน้าที่ได้รับการทะนุถนอมอย่างดีเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด นางเดือดดาลคล้ายจะขาดลมหายใจ
—————————
[1]สังอู่ คือ ช่วงเที่ยงตรง