แม้เสียนเฟยจะโกรธจัด ทว่ายังไม่ถึงขั้นเสียสติ นางรีบสั่งให้คนไปสืบเรื่องกำไลดอกหลิงเซียว
หากพูดถึงกำไลดอกหลิงเซียวแล้ว มีเรื่องเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอยู่เรื่องหนึ่ง
ฮองเฮามีนามว่าตี๋ซื่อ นางมาจากเชื้อสายวงศ์ตระกูลที่ไม่ได้โดดเด่นนัก ย้อนกลับไปตอนที่มารดาของนางเข้าใกล้กำหนดจะคลอดบุตร ขณะที่นางกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ นางเผลอสะดุดเข้ากับหินก้อนหนึ่ง เป็นเหตุให้นางต้องให้กำเนิดบุตรเดี๋ยวนั้น ซึ่งเด็กที่เกิดมาก็คือตี๋ซื่อ
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดไม่อาจทราบได้ เพียงแต่ถึงเวลาที่ต้องทำความสะอาดก้อนหินเหล่านั้น แต่เนื่องจากคนรับใช้ไม่ได้ยึดหินไว้ให้แน่นหนามั่นคง ทำให้หินก้อนนั้นหล่นกระแทกเข้ากับหินอีกก้อน และกะเทาะออกเป็นมุมเล็กๆ เผยให้เห็นส่วนที่เป็นสีเขียวอ่อนที่ซ่อนอยู่ด้านใน
เมื่อบ่าวรับใช้เห็นว่าหินก้อนนั้นมีสีแตกต่างออกไปก็รีบไปรายงานทันที พ่อบ้านจึงได้เชิญช่างตัดหินมาตรวจสอบดู ปรากฏว่าเป็นแผ่นหยก สุดท้ายได้มีการนำไปแกะสลักออกมาเป็นกำไลหยก
กำไลนั้นทำมาจากหยกชั้นดี อีกทั้งด้านในยังมีเกล็ดขาวคล้ายหิมะปลิวว้าว่อน ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่พบเห็นได้ยาก หยกนี้จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งคือหยกเสวี่ยฮวาเหมียน ตั้งตามลักษณะของตัวมันเอง
นั่นเลยทำให้กำไลหยกนี้กลายเป็นของล้ำค่าหายากด้วยเช่นกัน
เนื่องจากการพบกำไลหยกมีความข้องเกี่ยวกับการกำเนิดของตี๋ซื่อ ฉะนั้นกำไลหยกจึงตกเป็นของตี๋ซื่อที่เพิ่งเกิดอย่างไร้ข้อกังขา
เหล่าฮูหยินตระกูลตี๋เชื่อว่านี่เป็นลางดี จึงได้เชิญท่านหมอดูมาดูดวงชะตาของตี๋ซื่อ
ครั้นท่านหมอได้เห็นตี๋ซื่อก็ถึงกับตะลึงพรึงเพริด และยืนยันว่าในภายภาคหน้าดวงชะตาของตี๋ซื่อจะยิ่งใหญ่จนหาที่เปรียบมิได้
ตี๋เหล่าฮูหยินปลื้มปีติยิ่งนัก จึงได้ประคบประหงมดูแลนางประดุจไข่มุกล้ำค่า และได้ตั้งชื่อกำไลหยกนั้นว่ากำไลดอกหลิงเซียว
ครั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์กับฮองเฮาพระองค์ก่อนก็ทรงรักใคร่กลมเกลียวเป็นอย่างดี แม้ตี๋เหล่าฮูหยินจะผิดหวังกับคำทำนายที่ว่าภายภาคหน้าจะยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้ แต่ก็ยังหวังว่าหลานสาวของตนเองจะได้อภิเษกกับท่านอ๋องสักพระองค์ เพื่อจะได้ดำรงตำแหน่งพระชายา
สำหรับตระกูลตี๋แล้ว ตำแหน่งพระชายานับว่าไม่เลวเลยทีเดียว
กระนั้นชีวิตมนุษย์ก็ช่างไม่แน่นอน ฮองเฮาพระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ลงด้วยโรคร้าย จิ่งหมิงฮ่องเต้ทรงโสมนัสยิ่งนัก ตำแหน่งฮองเฮาถูกทิ้งว่างอยู่นานหลายปี จนในราชสำนักทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง และทั้งในและนอกวังต่างก็มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าถึงแก่เวลาที่จะเลือกคนมาดำรงตำแหน่งฮองเฮาพระองค์ใหม่
ประจวบเหมาะกับในปีนั้น ตี๋ซื่ออยู่ในวัยที่เหมาะแก่การออกเรือน
ในที่สุด นางก็ถูกเลือกให้เป็นฮองเฮาพระองค์ใหม่เพื่อความสมดุลของราชสำนัก
หลังจากนั้น เรื่องเล่าเกี่ยวกับกำไลดอกหลิงเซียวก็ค่อยๆ แพร่กระจายออกไป
กำไลดอกหลิงเซียวมีทั้งหมดสองชิ้น โดยฮองเฮาได้มอบชิ้นหนึ่งให้แก่พระชายาเยี่ยนอ๋อง ทำให้ผู้คนที่ได้ทราบเรื่องนี้ไม่อาจเชื่อหูตัวเอง เนื่องจากในงานอภิเษกของไท่จื่อ พระชายาไท่จื่อก็มิเคยได้รับกำไลดอกหลิงเซียวจากฮองเฮา
เรื่องที่ดวงตาขององค์หญิงฝูชิงหายเป็นปกติถือเป็นข่าวมงคล คนที่เสียนเฟยส่งไปใช้เวลาหาคำตอบไม่นานก็กลับมารายงาน
นางนั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวม ในขณะที่มือสัมผัสลูบไล้ลายสลักโดยไม่รู้ตัว ราวกับกำลังตกอยู่ในความฝัน
พระชายาเยี่ยนอ๋องรักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิงจนหายเป็นปกติงั้นหรือ
มันช่าง…มันช่างพิลึกเสียจริง
เมื่อเรื่องพิลึกนี้เกิดขึ้น แม้แต่ไทเฮาก็ทรงตื่นตระหนกไม่แพ้กัน
ถึงแม้คนจากตำหนักอวี้เฉวียนที่ไปสืบจะไม่ได้เห็นองค์หญิงฝูชิงด้วยตาตนเอง แต่ก็มั่นใจได้ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นเรื่องแต่งอย่างแน่นอน
เสียนเฟยหลับตาลง ภาพใบหน้าแฉล้มปรากฏขึ้นในความคิดของนาง
สตรีที่ส่งยิ้มอย่างถ่อมตัวพร้อมกับมือเรียวขาวที่กวัดแกว่งไปมา แล้วดอกเหมยเต่งตูมก็ค่อยๆ ผลิบาน
มาวันนี้ นึกไม่ถึงเลยว่านางจะสามารถรักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิงจนหายดี
หัวใจเสียนเฟยส่งเสียงตึกตัก แล้วจู่ๆ ก็มีความคิดประหลาดโฉบแวบเข้ามาในหัวของนาง
นางเป็นปีศาจ!
“เหนียงเหนียง…” หมัวมัวคนสนิทเห็นว่าใบหน้าของนางดูย่ำแย่จึงเรียกขานออกมาด้วยความกังวลใจ
เสียนเฟยลืมตาขึ้น และใบหน้าของนางก็เริ่มกลับสู่สภาวะปกติ นางหันไปสั่งการ “ไปกำชับทุกคนให้ดีว่า เรื่องที่เยี่ยนอ๋องและพระชายาเสด็จมาที่นี่จะต้องไม่เล็ดลอดออกไปเป็นอันขาด”
เดิมทีนางตั้งใจจะให้บทเรียนแก่พระชายาเยี่ยนอ๋อง แต่ไม่คิดมาก่อนว่าองค์ชายเจ็ดจะกล้าพานางออกไปเช่นนั้น จนท้ายที่สุดแล้วนางก็ไม่ได้ดื่มชาจากลูกสะใภ้
หากพฤติกรรมอกตัญญูเช่นนี้ไปถึงหูของฝ่าบาท องค์ชายเจ็ดคงถูกลงโทษ ซึ่งนางมิได้ใส่ใจว่าลูกชายจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนอกตัญญูหรือไม่
แต่เพราะพระชายาเยี่ยนอ๋องรักษาดวงตาขององค์หญิงจนหายดี จึงมีข่าวลือแว่วมาว่า ฝ่าบาทมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองขึ้นในวัง
หากนางปล่อยให้เรื่องอกตัญญูของบุตรชายแดงออกไป แม้ฮ่องเต้จะลงโทษองค์ชายเจ็ด แต่กระนั้นก็คงไม่พอใจนางด้วยเช่นกัน เห็นทีนางคงถูกพวกจิ้งจอกในวังหัวเราะเยาะเป็นแน่
ลูกชายไม่เห็นหัวผู้เป็นมารดา อีกทั้งลูกสะใภ้ยังไม่ยอมคารวะน้ำชา แล้วนางจะมีหน้าเฉิดฉายอยู่ได้อย่างไร
ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดในยามนี้คือต้องเก็บเรื่องนี้ให้เงียบที่สุด จำต้องข่มใจไว้เสียก่อน
นอกจากวันพิเศษแล้ว โอกาสที่เหล่าองค์ชายจะได้เข้าวังมีน้อยนัก โดยส่วนมากจะมีแค่พระชายาที่ต้องเข้ามาน้อมทักหมู่เฟย นางจะรอวันที่พระชายาเยี่ยนอ๋องเข้าวังมาเพียงลำพังโดยที่ไม่มีองค์ชายเจ็ดคอยปกป้อง จะดูซีว่านางจะกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้หรือไม่
ครั้นออกมาจากตำหนักอวี้เฉวียนแล้ว เจียงซื่อก็หัวเราะพลางถามขึ้นว่า “อาจิ่น เจ้าเล่นดึงข้าออกมาเช่นนี้ ไม่กลัวว่าเสียนเฟยเหนียงเหนียงจะฟ้องเสด็จพ่องั้นหรือ”
อวี้จิ่นหันกลับไปมอง
แสงอาทิตย์เจิดจ้าลามเลียไปตามกำแพงสีแดงและแผ่นกระเบื้องสีเขียวของตำหนักอวี้เฉวียน ดูวิจิตรตระการตายิ่งนัก
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “หากนางไม่กลัวว่าตัวเองขายหน้าก็คงฟ้อง”
เสียนเฟยเป็นพวกไม่กลัวเสียหน้างั้นหรือ แน่นอนว่าไม่
คนที่ไม่ดูดำดูดีลูกชายเพียงเพราะมีคนทักว่ามีดวงไม่สมพงศ์กับฮ่องเต้ สุดท้ายเลยได้แต่สิ่งไร้ประโยชน์มาครอบครอง
เป็นเช่นนี้ก็ดี หวังว่าเสียนเฟยรักษาส่วนดีเช่นนี้เอาไว้
หลังจากนั้นทั้งคู่ไปเยี่ยมเยือนพระสนมอีกหลายพระองค์ และได้รับของกำนัลมามากมาย
ภารกิจสุดท้ายคือการทำความเคารพไท่จื่อและพระชายาเอกที่ตำหนักบูรพา
ไท่จื่อมิได้โปรดปรานอวี้จิ่นเป็นทุนเดิม
เพราะทุกครั้งที่ไอ้คนชั่วนี่มีเรื่องคราใด เขาเป็นต้องพลอยถูกหางเลขโดนด่าไปด้วยทุกที มีสิทธิ์อะไรมาทำกับเขาเช่นนั้น
ไท่จื่อจ้องมองไปที่อวี้จิ่นไม่วางตาจนพระชายาไท่จื่อทนไม่ได้จึงต้องเอื้อมมือไปดึงเขาเบาๆ
นั่นยิ่งทำให้ไท่จื่อไม่สบอารมณ์กว่าเก่า เขาสะบัดมือพระชายาไท่จื่อแล้วหันมองที่เจียงซื่อ
คราวนี้จ้องนานกว่าเดิม
ใบหน้าของอวี้จิ่นเริ่มคล้ำหม่น “ในจวนมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมาก กระหม่อมและพระชายาขอตัวก่อน”
ไท่จื่อทำราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่อวี้จิ่นพูด เขาหัวเราะพลางหรี่ตา “มิน่าล่ะ น้องเจ็ดถึงได้มอบดอกเหมยทั้งหมดแก่น้องสะใภ้ เพราะนางช่างงามจริงหนอ”
หึๆ ดูสิว่าเจ้าเจ็ดจะออกโรงปกป้องภรรยาอย่างไร
เขาพูดมาขนาดนี้แล้ว คงต้องต่อยให้มันรู้แล้วรู้รอด
การมีเรื่องกับพี่น้องคนอื่นๆ นับว่าเป็นเพียงการทะเลาะวิวาท แต่หากกล้าต่อยเขา จะถือว่าเป็นการก้าวล่วงเบื้องสูง
เขาจะทำให้ไอ้คนชั่วนี้จำขึ้นใจว่า จะทำอะไรต้องไม่ลืมคำนึงถึงผลที่ตามมา!
ทว่าอวี้จิ่นกลับหัวเราะ แล้วกล่าวอย่างอาจหาญ “ใครต่างก็ต้องชอบของสวยงามกันทั้งนั้น ในเมื่อน้องถูกใจก็ต้องคว้ามาไว้เป็นของตัวเอง กระหม่อมรู้ว่าไท่จื่ออิจฉา แต่การจะพูดเช่นนี้ต่อหน้าพระชายาไท่จื่อ เกรงว่าจะทำให้พระชายาไท่จื่อต้องเจ็บช้ำน้ำใจ”
ไทจื่อได้แต่กำหมัดแน่นจ้องมองอวี้จิ่นเดินจูงมือเจียงซื่อออกไปเช่นนั้น “เจ้าเจ็ด เจ้ากลับมานี่เดี๋ยวนี้!”
อวี้จิ่นไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง “อาหารที่เตรียมไว้คงไม่จำเป็นแล้ว อาหารในวังไม่ค่อยถูกปากน้องเท่าใดนัก”
ไท่จื่อเตรียมจะว่าต่อแต่กลับถูกพระชายาเอกห้ามไว้เสียก่อน
“เจ้าจะห้ามข้าทำไมกัน”
พระชายาเอกเม้มปากก่อนจะบอกอย่างอดไม่ได้ “หากเรื่องที่องค์รัชทายาทแสดงความเห็นเรื่องรูปลักษณ์ของพระชายาเยี่ยนอ๋องต่อหน้าธารกำนัลไปถึงพระกรรณเสด็จพ่อคงถูกตำหนิเป็นแน่เพคะ”
“ตำหนิ ตำหนิ นอกจะตำหนิแล้วทำอย่างอื่นไม่เป็นหรืออย่างไร”
พระชายาไท่จื่อได้ยินดังนั้นก็ตกใจ รีบห้ามโดยพลัน “องค์รัชทายาท!”
“พอกันที เจ้าก็ดีแต่โวยวาย ช่างน่าเบื่อเสียจริง”
ใบหน้าพระชายาไท่จื่อเปลี่ยนเป็นสีแดง นางเม้มปากก่อนจะบอก “จริงอยู่ที่หม่อมฉันไร้ประโยชน์ แต่หม่อมฉันก็ทราบดีว่าในฐานะองค์รัชทายาทควรเป็นแบบอย่างแก่เหล่าองค์ชาย เสด็จพ่อจะได้วางพระทัย และเหล่าขุนนางจะได้ภักดี มิใช่เที่ยวไปวิจารณ์ภรรยาของพระอนุชาเช่นนั้น ไร้สาระสิ้นดีเพคะ…”
“หุบปาก!” ไท่จื่อสะบัดมือเต็มแรงอย่างเดือดดาล “หากเจ้ารูปโฉมงดงามได้เท่าชายาเยี่ยนอ๋อง ข้าจะถูกชายเจ็ดดูถูกเช่นนี้หรือ”
พระชายาเอกเอียงศีรษะหลบพลางตอบแผ่วเบา “ที่เยี่ยนอ๋องดูถูกพระองค์เป็นเพราะรูปลักษณ์ของหม่อมฉันอย่างนั้นหรือเพคะ…”
ช่างน่าเศร้า ที่คนโง่คนนี้ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
เมื่อออกจากวังหลวงและขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้ว อวี้จิ่นก็เปรยขึ้นว่า “ข้าว่าคนโง่แห่งตงกงคงเป็นไท่จื่อได้อีกไม่นาน”