ในขณะนั้น หัวใจของเจียงซื่อพลันเต้นไม่เป็นจังหวะ นางหันไปมองอวี้จิ่นด้วยสายตาประหลาดใจ
ในช่วงคิมหันตฤดู ปีที่สิบเก้าของรัชศกจิ่งหมิงคืบใกล้ช่วงที่ไท่จื่อกำลังจะถูกปลดครั้งแรก
วินาทีนั้นเจียงซื่อรู้สึกราวกับว่า ทั้งอวี้จิ่นและตัวของนางได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
“อาจิ่น”
อวี้จิ่นยิ้มพลางดึงเจียงซื่อมาไว้ในอ้อมกอด สายตาพิศมองไปที่ดวงตาของหญิงตรงหน้า “ไฉนถึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น”
“เหตุใดเจ้าถึงกล่าวว่า ไท่จื่อคงดำรงตำแหน่งได้อีกไม่นาน”
อวี้จิ่นยิ้มเยาะ “คำโบราณกล่าวว่า นภาสร้างฝน ส่วนคนสร้างกรรม หากไม่ก่อกรรมแล้วไซร้ ก็คงไม่มีเภทภัยถึงตัว แต่จากกรรมทั้งหลายที่ไท่จื่อก่อไว้ การอยู่ได้นานค้ำฟ้าสิเรื่องแปลก”
เจียงซื่อจดจ้องไปที่อวี้จิ่น
“ทำไมรึ” อวี้จิ่นฉงน แต่แล้วก็ทำท่าตื่นรู้ ชายหนุ่มเขยิบตัวเข้าไปกระซิบข้างหูเจียงซื่อ “หรือว่าเจ้าคิดถึงข้าแล้ว”
เจียงซื่ออึ้งนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะกลอกตาใส่ “เพ้อเจ้ออะไรของเจ้า”
กลางวันแสกๆ บนรถม้าเนี่ยนะ เหตุใดตาคนบ้าถึงได้คิดแต่เรื่องสัปดน… อะแฮ่ม แต่จะว่าไม่มีโอกาสให้คิดเลยก็คงไม่ใช่
เจียงซื่ออดหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อชาติที่แล้ว
ในตอนนั้น ชายผู้นี้ทำราวกับไม่เคยพบไม่เคยเห็นสตรีมาก่อนในชีวิต ตามตื๊อนางทั้งวัน ช่วงแรกนางก็ปฏิเสธไปด้วยความขัดเขิน แต่หลังจากนั้นกลายเป็นว่าเห็นดีเห็นงามไปเสียอย่างนั้น
ดูเหมือนว่าทั้งคู่เหมาะจะเรียกว่าเพชรตัดเพชร เป็นความยินดีของทั้งสองฝ่ายก็ย่อมได้
อวี้จิ่นเฝ้ามองคนในอ้อมแขน
และเห็นว่านางกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดบางอย่าง แต่แล้วสายตาของชายหนุ่มก็พลันเป็นประกาย คล้ายกับมีแรงสนับสนุนบางอย่าง
อาซื่อต้องกำลังนึกถึงความแกร่งกล้าสามารถของข้าเมื่อคืนอยู่เป็นแน่
ความจริงแล้วข้าทำได้ยอดเยี่ยมกว่านั้น แต่เกรงว่าร่างกายของอาซื่อจะต้านทานไม่ไหว…
ครั้นคิดตกเช่นนั้นแล้ว อวี้จิ่นก็รู้สึกคล้ายว่ามีคนมาจุดชนวน และเปลวเพลิงก็ลุกโชนไปทั่วร่าง
อวี้จิ่นเม้มปากก่อนจะก้มศีรษะซุกไซ้เข้าที่คอขาวนวลของเจียงซื่อ เขาเอื้อมมือไปปลดอาภรณ์ของนางอย่างอุกอาจ
เจียงซื่อคว้าหมับเข้าที่มือใหญ่ที่กำลังซุกซน “หยุดเลยนะ ของเมื่อคืนยังเจ็บไม่หายเลยนะ…”
อวี้จิ่นกลับมานั่งตัวตรงโดยพลัน แล้วผลักเจียงซื่อออกไปให้พ้นตัว
เจียงซื่อหัวเราะ เอ่อยหยอกล้อ “ไม่ผลักหม่อมฉันให้กระเด็นออกไปนอกรถเลยล่ะเพคะ”
อวี้จิ่นทั้งเป็นทุกข์และน้อยใจในคราวเดียวกัน เขาถอนหายใจพลางบอก “การจะเป็นหลิ่วซย่าฮุ่ยนี่ไม่ง่ายเอาเสียเลย”
เจียงซื่อเอนตัวพิงผนังรถม้า พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “อาจิ่น ข้าเองก็มองว่าไท่จื่อคงอยู่ในตำแหน่งได้อีกไม่นาน”
อวี้จิ่นมิได้ประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น เพียงแต่ส่งยิ้มรับ “พวกเราเห็นตรงกันเสียด้วย”
หากฮ่องเต้มีไท่จื่อเป็นโอรสแต่เพียงพระองค์เดียว ไท่จื่อจะประพฤติตัวเหลวแหลกเช่นไรก็มิจำเป็นต้องหวาดหวั่น แต่ทว่าองค์จักรพรรดิทรงปรีชา มีโอรสถึงแปดพระองค์ หนำซ้ำองค์ชายที่มีชันษาน้อยที่สุดก็ยังเข้าสู่วัยที่จะมีเรือนเป็นของตนเอง
แม้ว่าเขาจะรับรู้ความโง่เขลาหรือแม้แต่ด้านมืดของเหล่าพี่ชายน้องชายมาแล้ว แต่นั่นก็ไม่อาจยับยั้งสายตาหิวกระหายที่คอยจับจ้องไปที่ตำแหน่งองค์รัชทายาทได้
มีฝูงหมาป่าอยู่รายล้อม กอปรกับฮ่องเต้ที่ยังมีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ไท่จื่อที่ซุกหางไว้เพราะต้องประพฤติตนนอบน้อมจะสามารถขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่นได้หรือไม่นั้นก็ยากที่จะสรุปได้ แค่จะบอกว่าตอนนี้ไร้ซึ่งเหตุการณ์วุ่นวายก็ยังพูดได้ยากยิ่ง
แน่นอนว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาและอาซื่อ เขาเป็นเพียงท่านอ๋องผู้เกียจคร้าน ที่ขอปิดประตูลงกลอน และใช้ชีวิตอยู่กับอาซื่อเพียงสองคนตามอย่างตอนจบแสนหวานในนิทานพื้นบ้านจะดีกว่า ส่วนกระดูกชิ้นโตอย่างตำแหน่งจักรพรรดิ ก็ปล่อยให้พวกหมาบ้าแย่งชิงกันไป
อวี้จิ่นหวนนึกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วก็พอจะเห็นภาพว่าอนาคตในภายภาคหน้าคงหวานเยิ้มชุ่มโชกคล้ายอยู่ในโหลน้ำผึ้ง ที่เป็นทั้งสดชื่นและอิ่มเอมใจ
ในจุดนี้เจียงซื่อทราบดีว่าอวี้จิ่นแตกต่างจากนาง
นางทั้งเสียดาย และมีความสุขในคราเดียวกัน
สาเหตุที่เสียดายเป็นเพราะ มีแต่นางผู้เดียวที่รับรู้เรื่องราวในอดีตของทั้งคู่ ส่วนสาเหตุที่มีความสุขก็เพราะทั้งสองได้รู้จักกันในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นคือในความสัมพันธ์นี้ไม่มีจี้ฉงอี้ และไม่มีสตรีศักดิ์สิทธิ์อย่างอาซัง นับว่าเป็นความสุขสงบเรียบง่าย
ความสุขที่มีมากกว่าความเสียดายเป็นไหนๆ สำหรับนางแล้ว นี่เป็นพรแสนประเสริฐ
เมื่อครั้งยังเยาว์วัย นางไม่เคยเชื่อคำกล่าวที่บอกว่า หญิงงามจะอาภัพ แต่เมื่อเติบโต และผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้วถึงได้เชื่อ นางในตอนนี้เชื่ออย่างสุดใจว่า ชะตาชีวิตของตนจะต้องต่อสู้ดิ้นรนด้วยตัวเอง
เจียงซื่อวางความคิดเหล่านั้นลง ประจวบกับอวี้จิ่นที่ถามขึ้นว่า “อาซื่อ ที่เจ้ารักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิงได้เป็นเพราะศาสตร์วิชาที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดจริงๆ งั้นหรือ”
“ไม่เชื่อหรือ…” เจียงซื่อหัวเราะพลางถาม
“เปล่าหรอก” อวี้จิ่นเอื้อมมือไปจับและสอดประสานเข้ากับสิบนิ้วของนาง “เจ้าอาจไม่รู้ว่าที่ทางตอนใต้ของหนานเจียง มีหลายคนมีวิชาเหมือนอย่างเจ้า”
หัวใจของเจียงซื่อพลันเต้นแรง
อวี้จิ่นกล่าวต่อ “ยกตัวอย่างเช่น เผ่าอูเหมียว สตรีศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาถูกยกย่องว่าเป็นผู้ที่สวรรค์เลือกสรร ตามคำบอกเล่ากล่าวคือ เด็กสาวที่มีทักษะอ่อนไหวต่อศาสตร์วิชาพิเศษจะถูกเลือกออกมา และในระหว่างที่เหล่าเด็กสาวเจริญเติบโตขึ้น จะมีเด็กสาวผู้หนึ่งที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ ราวกับว่ามีศาสตร์วิชาเหล่านี้ติดตัวมาแต่กำเนิด… ท้ายที่สุดสตรีผู้นั้นจะถูกยกย่องให้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอูเหมียว ครั้นสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนเสียชีวิตลง นางก็จะกลายเป็นผู้อาวุโสคนใหม่ นางมิได้เป็นหัวหน้าเฉพาะในเผ่าตนเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในดินแดนละแวกใกล้เคียงด้วย…”
และเมื่อกุมอำนาจเผ่าอูเหมียวและดินแดนใกล้เคียงได้สำเร็จ การจะสู้รบตบมือกับต้าโจวหรืออาณาประเทศอื่นๆ ก็มิได้เป็นเรื่องยากเย็น
อวี้จิ่นหยิบเม็ดบ๊วยบนโต๊ะตัวเล็กที่ยึดติดกับพื้นรถม้าโยนเข้าปาก ชายหนุ่มเคี้ยวก่อนกลืนลงคอ จากนั้นก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบพลางคิดถึงเรื่องราวที่หนานเจียง
คงเป็นเพราะเขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายปี สถานที่ที่ดูเหมือนเล็กประดุจหัวกระสุน แต่กลับเปี่ยมไปด้วยพลังน่าพิศวง ใครได้สัมผัสก็เป็นต้องสะพรึงกลัวกันทั้งนั้น
เจียงซื่อเฝ้ามองชายตรงหน้าก่อนวางมือบนร่างของเขา อาการของนางคล้ายจะหัวเราะแต่ก็ไม่ “อาจิ่น เจ้าคงรู้จักสตรีศักดิ์สิทธิ์อูเหมียวดีพอตัว”
เมื่อชาติที่แล้วนางใช้ชีวิตอยู่ในสถานะของสตรีศักดิ์สิทธิ์มานานกว่าสองปี แต่เนื่องจากเกรงว่าจะเผยข้อบกพร่องให้คนอื่นทราบ ในขณะที่ฝึกฝนศาสตร์วิชาพิสดาร คนที่นางสนิทใจด้วยจึงมีแค่อวี้ชีและสาวรับใช้ข้างกายของอาซังเท่านั้น
ประสบการณ์ในช่วงชีวิตตอนนั้นทำให้นางมีความสามารถพิสดารมากมายหลายแขนง แต่ทว่าความทรงจำในส่วนอื่นๆ แทบจะไม่ทิ้งร่องรอยใดเอาไว้เลย
“ข้าได้รู้จักโดยบังเอิญ” อวี้จิ่นไม่ใคร่จะเอ่ยถึงหนานเจียงเท่าใดนัก
ริมฝีปากของเจียงซื่อสั่นเล็กน้อย นางอยากถามเกี่ยวกับภาพวาดเหมือนม้วนนั้น แต่ไม่รู้ว่าควรเริ่มถามจากตรงไหน
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาควรปฏิบัติต่อกันอย่างตรงไปตรงมา แต่สิ่งที่หลงเหลือจากชีวิตที่แล้วจะถูกนำมานับรวมได้อย่างไร
ในเวลานี้ นางไม่อาจแสดงออกไปว่าตนรู้ว่าหน้าตาของอาซังเป็นอย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นคือนางไม่ควรเอ่ยถึงภาพเหมือนนั้นด้วย
หรือนางควรจะบอกอวี้ชีว่านางได้กลับมาเกิดใหม่?
ความจริงเรื่องนี้นางก็มิได้ติดขัดอะไร เพียงแต่นางไม่เคยคิดในมุมนี้มาก่อนก็เท่านั้น
ความลับเกี่ยวกับการเกิดใหม่เปรียบเสมือนอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างนางเอาไว้ แต่ครั้นเปลื้องออกแล้ว นางคงได้เป็นหญิงเปลือยล่อนจ้อนแล้วจริงๆ
ในขณะที่ขบคิดเรื่องนี้ จู่ๆ ก็มีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมา แล้วในชาตินี้ มีภาพเหมือนอยู่ในห้องตำราของอวี้ชีอย่างในชาติที่แล้วหรือไม่
ความสงสัยนี้คลับคล้ายกันก้อนหินขนาดใหญ่ที่ทำให้เกิดเกลียวคลื่นทับซ้อนนับร้อยพัน หากเป็นไปได้นางอยากให้ถึงจวนเดี๋ยวนั้นเลย
ภายใต้ช่วงเวลาอันแสนสั้นสำหรับอวี้จิ่น แต่เป็นช่วงเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ของเจียงซื่อ ในที่สุดรถม้าก็จอดสนิท
ถึงจวนเยี่ยนอ๋องเสียที
ทั้งสองค่อยๆ ลงจากรถม้า แล้วเดินเคียงไหล่เข้าไปด้านใน
เงามืดทะมึนวิ่งมาหยุดอยู่ที่หน้าเจียงซื่อ หางส่ายไปมาอย่างน่าเวทนา
อวี้จิ่นกัดฟันกรอดพลางกล่าวอย่างหัวเสีย “เอ้อร์หนิว เจ้ายังมีหน้าโผล่มาอีก!”
ที่ปากของมันมีผ้าสีแดงพันอยู่รอบๆ อีกทั้งยังมัดเป็นรูปทรงผีเสื้อเสียด้วย สุนัขตัวใหญ่ส่งเสียงครางหงิงๆ
เจียงซื่อเห็นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ จึงหันไปจ้องหน้าอวี้จิ่น “เอ้อร์หนิวก็แค่อยากกินขาหมูตุ๋น เหตุใดต้องลงโทษถึงขั้นนี้ด้วยเล่า”
ใบหน้าอวี้จิ่นหม่นกว่าเก่า
แค่อยากกินขาหมูตุ๋นอย่างนั้นหรือ ไอ้เจ้าหมาตัวนี้สร้างปัญหาเพราะเขาไม่อนุญาตให้มันตามไปรับตัวอาซื่อต่างหาก
ในตอนนั้นเขาตกใจแทบแย่!