บทที่ 312 ให้ความสำคัญ

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 312 ให้ความสำคัญ

จนกระทั่งค่อนคืนหลังฮ่องเต้จึงค่อยๆ สงบลง และจมดิ่งสู่ห้วงฝันหลับสนิทไป

ทว่าเหมือนว่าในห้วงฝันนั้น พระองค์ก็ยังได้ยินคนเรียกพระองค์ว่าหงเอ๋อร์อยู่

เสียงแล้วเสียงเล่าลอยเข้าโสตมา

พระองค์ยังรู้สึกถึงมืออบอุ่นจนร้อนที่จับมือพระองค์ไว้แน่น

ในที่สุดเมื่อพระองค์ตื่นขึ้นมาฟากฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว

ฮ่องเต้สะลึมสะลือ ไม่รู้ว่าจริงหรือฝัน

เสียง ‘หงเอ๋อร์’ อันคุ่นเคยดังขึ้นอีกครั้ง

ฮ่องเต้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตาเลือนรางปรากฏเงาร่างร่างหนึ่ง เจ้าของร่างนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างเตียง จับมือเขาไว้ ใช้แววตาเมตตาเหลือแสนมองเขา

เหตุใดคนผู้นี้จึงได้หน้าตาเหมือนน้องชายของหมอเทวดาน้อยเช่นนี้เล่า

มือน้อยๆ ของเสี่ยวจิ้งคงตบลงบนหลังมือฮ่องเต้เบาๆ ใช้เสียงเมตตาใจดีที่หญิงชราบ้านข้างๆ อย่างจ้าวเสี่ยวเป่าใช้กล่อมเหลนเอ่ยเรียก “หงเอ๋อร์”

ฮ่องเต้พลันรู้สึกตัว ตัวสั่นไปทั่วร่าง จากสะลึมสะลือพลันได้สติทันที

ฮ่องเต้พักรักษาตัวในตรอกปี้สุ่ยมาเจ็ดวันแล้ว แผลที่เย็บไว้ก็เอาไหมออกแล้ว แผลปิดสนิทดีมาก

อาการของเว่ยกงกงก็ฟื้นตัวขึ้นไม่เลว เพียงแต่เขาอายุอานามมากแล้ว ความเร็วที่กระดูกจะสมานจึงช้ากว่าคนวัยหนุ่มสาว แต่บาดแผลอื่นๆ บนร่างเขาไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว

วันคืนที่พักอาศัยอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ยเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายที่สุดในชีวิตฮ่องเต้ ตั้งแต่พระองค์จำความได้ก็รู้ว่าตัวเองเป็นองค์ชายที่ชาติกำเนิดต่ำต้อย เสด็จแม่จิ้งดีกับพระองค์ที่สุด แต่ในใจพระองค์ก็ยังมีปมที่มากับชาติกำเนิดอยู่

ต่อมาพระองค์แยกจวนออกไป ถูกกดขี่จากหลิวกุ้ยเฟยกับไท่จื่อ เวลาทุกชั่วขณะราวกับเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ

กว่าพระองค์จะฝืนทนได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ ก็มามีจวงไทเฮาที่นั่งฟังการประชุมราชสำนักหลังม่านอีก

พระองค์ไม่เคยผ่อนคลายมาก่อนเลย

ครานี้กลับมีความโชคดีในความโชคร้าย ได้เพลิดเพลินกับชีวิตเอ้อระเหยหลายวัน

แต่พระองค์ก็ไม่อาจหลบซ่อนชี้นิ้วสั่งอยู่ในตรอกปี้สุ่ยไม่ทำการทำงานจริงๆ ได้ พระองค์เป็นกษัตริย์แห่งแคว้น แบกรับแผ่นดินของแคว้นเจาอยู่

หลังจากมื้อค่ำวันนี้แล้ว ฮ่องเต้ตั้งใจว่าจะกลับวัง

ฮ่องเต้ประกาศสู่ภายนอกว่าพักรักษาตัวอยู่ที่ราชนิเวศน์ เพื่อตบตาของศัตรู ฮ่องเต้โยกย้ายยอดฝีมือไปที่ราชนิเวศน์โดยเฉพาะ และให้ยอดฝีมือล้อมไว้แน่นหนาแม้แต่ลมก็ไม่ให้เข้า

ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเรื่องลอบสังหารจะไม่เกิดขึ้นซ้ำสอง ระมัดระวังไว้ดีกว่า

ในขณะที่ฮ่องเต้ออกจากตรอกปี้สุ่ย เว่ยกงกงก็แอบเดินทางไปราชนิเวศน์อย่างเงียบๆ เมื่อถึงตอนนั้นพระองค์จะแสร้ง ‘เสด็จ’ จากราชนิเวศน์กลับไปวังหลวง

ก่อนที่ฮ่องเต้จะขึ้นรถม้าไป จู่ๆ ท่านป้าหลิวก็วิ่งมาอย่างเขินอาย ส่งกระเป๋าใบเล็กให้พระองค์ใบหนึ่ง แล้วปิดหน้าวิ่งหนีไป

ฮ่องเต้ “…”

กู้ฉังชิงคุ้มกันเสด็จกลับวังหลวง

ระหว่างที่ฮ่องเต้นั่งอยู่บนรถกลับไปเอาแต่รู้สึกแปลกๆ บางอย่าง พระองค์ครุ่นคิดแล้วก็ยังคิดไม่ออกว่ามันแปลกตรงไหน

จนกระทั่งพระองค์เข้าห้องหนังสือมา เหอกงกงทูล “ไทเฮาล้มประชวรเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ ประชวรมาหลายวันแล้ว ฝืนไปเข้าประชุมเช้าตลอด วันนี้ในที่สุดก็ฝืนไม่ไหว สลบอยู่บนเกี้ยวหงส์ระหว่างกลับตำหนักเหรินโซ่ว”

ฮ่องเต้พลันกระจ่างแจ้งทันที พระองค์ก็ว่าอยู่ว่ามันมีตรงไหนแปลกๆ ที่แท้นางแม่มดไม่ได้ไปจับตาดูพระองค์ที่ตรอกปี้สุ่ยมาหลายวันแล้วนี่เอง

ปฏิกิริยาแรกของฮ่องเต้คือปรีดาใจยิ่ง นังแม่มดก็มีวันที่ล้มได้เหมือนกัน

ปฏิกิริยาต่อมากลับเป็นความกังวล แรกเริ่มพระองค์โดนลอบสังหาร ต่อมาไทเฮาก็เป็นลม วิเคราะห์แยกดูแล้วเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ใช่เล็กๆ นับประสาอะไรกับตอนเอามารวมกัน ง่ายต่อการสร้างความไม่สบายใจแก่ปวงชนและความหวาดวิตกของราชสำนัก

“ไม่ได้แพร่งพรายออกไปกระมัง” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วถาม

เว่ยกงกงเอ่ย “ไม่พ่ะย่ะค่ะ ตำหนักเหรินโซ่วปิดข่าวไว้สนิท บอกแค่ว่าไทเฮากำลังตรวจฎีกา ตั้งอกตั้งใจจัดการงานในราชสำนัก ไม่อนุญาตให้ใครไปรบกวน ไทเฮาสลบไประหว่างทาง บ่าวแอบจับตาดูไทเฮามาตลอดจึงได้รู้เข้า หากเข้าตำหนักเหรินโซ่วไปแล้วจึงสลบ เกรงว่าแม้แต่บ่าวก็คงไม่ได้ข่าวคราวที่ถูกต้องแน่”

เดิมทีตำหนักเหรินโซ่วก็มิดชิดแน่นหนาอยู่แล้ว หลังจากไทเฮาติดโรคเรื้อนก็เปลี่ยนคนในตำหนักไปหนหนึ่ง ยามนี้จึงยิ่งมิดชิดแม้แต่แมลงวันสักตัวก็ยังบินเข้าไปไม่ได้

ฮ่องเต้ไม่มีความทรงจำที่ดีกับไทเฮาเลย และลำเอียงมากด้วย สงสารจวงไทเฮาคงไม่ถึงขั้นนั้น แต่สงสัยน่ะมีมากกว่าครึ่งเลย “เหตุใดจึงบังเอิญนัก วันนี้เราเพิ่งจะกลับมานางก็ล้มป่วยเลยรึ คงไม่ได้ทำอะไรตบตาเราหรอกกระมัง”

เรื่องนี้….เหอกงกงไม่ทราบ

ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็นเอ่ย “เราเพิ่งกลับวัง ควรไปถวายพระพรเสด็จแม่หน่อย”

ฮ่องเต้ไปตำหนักเหรินโซ่ว

เหอกงกงเป็นสายลับของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ให้เขากลับไป อย่าให้ใครเห็นเขาว่าได้มาหาพระองค์

ส่วนเว่ยกงกงบาดเจ็บที่แขนอยู่ ฮ่องเต้จึงให้กลับไปพักที่ห้อง ส่วนพระองค์พาไปแค่ขันทีน้อยคนเดียว

มาดนี้แค่มองก็รู้ว่าไม่ได้ใส่ใจจวงไทเฮาเท่านัก

ฮ่องเต้เพิ่งมาถึงหน้าตำหนักเหรินโซ่วก็ถูกยอดฝีมือของตำหนักเหรินโซ่วขวางไว้

“ไทเฮามีรับสั่งว่าไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น” ยอดฝีมือเอ่ย

ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น “ผู้ใดในที่นี้รวมถึงเราที่เป็นกษัตริย์ของแผ่นดินด้วยหรือ เราอยากจะรู้เสียจริงว่าวังหลวงแห่งนี้มีที่ที่เราไปไม่ได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”

ยอดฝีมือมองพระองค์อย่างลังเล มีมาโดยตลอด ฝ่าบาทเพิ่งจะรู้หรือ

ฮ่องเต้ “…”

ฮ่องเต้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

แม่มดคนนั้นอำนาจล้นมือเกินไป ฮ่องเต้อย่างพระองค์ไม่อาจฝืนปะทะได้

ในระหว่างที่สีหน้าฮ่องเต้ใกล้จะทะมึนเป็นถ่านแล้วนั้น ฉินกงกงก็ถือพู่หางจามรีเดินออกมา

เขาคำนับให้ฮ่องเต้ แล้วเอ่ย “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะด้วย ไทเฮาเป็นเสด็จแม่ของท่าน นางไม่พบผู้ใดและไม่อาจไม่พบแค่ท่านคนเดียวได้เช่นกัน เชิญเสด็จเถิดฝ่าบาท”

ฉินกงกงผายมือเชิญ

ฉินกงกงเป็นคนสนิทของจวงไทเฮา การกระทำของเขาทุกอย่างล้วนแสดงถึงเจตนาของจวงไทเฮา ยอดฝีมือคิดว่าจวงไทเฮาฟื้นขึ้นมาจะพบฝ่าบาทแล้ว จึงเบี่ยงกายหลบให้

ฉินกงกงเดินนำทางอยู่ข้างหน้า พาฮ่องเต้ไปยังห้องบรรทมของจวงไทเฮา

ฮ่องเต้นึกว่าจวงไทเฮาไม่เป็นอะไร แค่เสแสร้งแกล้งป่วย แต่เมื่อพระองค์เห็นเตียงหงส์คลุมม่านสนิทแล้วในใจจึงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา

ฉินกงกงเดินมาถึงข้างเตียง ค่อยๆ เลิกม่านขึ้นเบาๆ เผยให้เห็นจวงไทเฮาที่มีสีหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียงหงส์

จวงไทเฮาสภาพเช่นนี้ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย

นางมักจะวางมาดเคร่งขรึมน่าเกรงขามยามปรากฏสู่สายตาผู้คน แม้ว่าจะอยู่ในชุดผ้าป่านเนื้อหยาบที่ตรอกปี้สุ่ย ก็ยากจะปิดบังความดุดันในแววตาได้

ทว่ายามนี้นางนอนอยู่ตรงนั้นนิ่งสนิท ลมหายใจแผ่วเบา ล้มป่วยหนักเข้าให้แล้วจริงๆ

“เป็นเช่นนี้…ได้อย่างไร” ฮ่องเต้ตกใจ

ฉินกงกงถอนหายใจ “เหตุใดไทเฮาจึงเป็นเช่นนี้ ในพระทัยฝ่าบาทยังไม่กระจ่างอีกหรือ”

ประโยคนี้โอหังมากนัก

แต่ฮ่องเต้ยังตกใจอยู่ ยามนี้จึงไม่ได้ถือสา ความหมายของฉินกงกงคือที่จวงไทเฮาป่วยมันเกี่ยวข้องกับพระองค์อย่างนั้นรึ

เป็นไปได้อย่างไร

หมู่นี้พระองค์ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น

หรือว่า…จะเป็นคืนนั้น

ฮ่องเต้รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้

แม่มดนางนี้แทบอยากจะกำจัดพระองค์ให้รู้แล้วรู้รอด ไม่มีทางดูแลพระองค์อยู่ทั้งคืนหรอกและไม่มีทางเรียกพระองค์เหมือนที่เสด็จแม่จิ้งเรียกแน่นอน

ที่พระองค์ได้ยินก็เป็นแค่เสียงในห้วงฝันเท่านั้น

แต่แบบนี้ก็ไม่มีวิธีอธิบายคำว่า ‘หงเอ๋อร์’ ที่เสี่ยวจิ้งคงเรียกได้น่ะสิ

หากเสี่ยวจิ้งคงไม่ได้ยินหรือได้เห็นมาก่อน เขาจะเลียนแบบท่าทางผู้ใหญ่จับมือพระองค์เรียกว่าหงเอ๋อร์ได้อย่างไร

ในหัวฮ่องเต้ว้าวุ่นยิ่ง

ในใจพระองค์ปฏิเสธที่จะรับความจริงเรื่องนี้ ไม่เพียงเพราะพระองค์ปฏิเสธที่จะเชื่อความหวังดีของจวงไทเฮาเท่านั้น ยังเป็นเพราะว่าคืนนั้นพระองค์ได้รับความอบอุ่นที่ไม่ได้รับมานาน

ในขณะที่สะลึมสะลือนั้น ราวกับพระองค์รู้สึกว่าเสด็จแม่จิ้งกลับมาอีกครา

หากเป็นจวงไทเฮาจริง จะไม่หมายความว่าบนร่างนางมีกลิ่นอายของเสด็จแม่จิ้งอยู่หรือ นี่เป็นการดูหมิ่นเสด็จแม่จิ้ง!

พระองค์ไม่ยอมรับ!

ไม่ยอมรับ!

“ฉินกงกง ยาของไทเฮาได้แล้ว” นางกำนัลคนหนึ่งยกถ้วยยาเข้ามา เหลือบไปเห็นฮ่องเต้ในห้องก็รีบค้อมกายคำนับให้ “ฝ่าบาท!”

ฮ่องเต้โบกมือให้อย่างปัดรำคาญ

นางกำนัลวางถ้วยยาลงบนหัวเตียง

สายตาฮ่องเค้มองตามถ้วยยาไปโดยไม่รู้ตัว นึกไม่ถึงว่าจะไปเห็นกล่องเหล็กที่วางไว้บนหัวเตียง

คุ้นตานัก

พระองค์ไม่ให้ตัวเองคิดต่อ

ยามนี้จวงไทเฮาถูกเสียงความเคลื่อนไหวในห้องบรรทมทำเอาตื่น นางเห็นคนมากมาย เห็นฮ่องเต้ยืนนิ่งอยู่หน้าเตียงตัวเองสีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรนัก

“ไทเฮา ได้เวลาดื่มยาแล้ว” ฉินกงกงยิ้มบอก

“เอาออกไป ข้าไม่กิน” จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเรียบ

นางอ่อนแอมาก แม้แต่แววตาและน้ำเสียงก็ไร้แววดุดัน

ฉินกงกงแย้มยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทมาเยี่ยมท่านแหน่ะ”

จวงไทเฮาเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าไม่อยากเห็นเขา”

ตั้งแต่กระทุ้งหน้าต่างกระดาษจนขาดวิ่นเป็นต้นมา พอทั้งสองไม่ได้อยู่ในตำหนักจินหลวนแล้วก็แทบไม่เสแสร้งเป็นมารดาผู้มีเมตตากับบุตรผู้กตัญญูกันเลย

ฮ่องเต้ยืนยืดอกอยู่หน้าเตียง กดตามองต่ำไปยังนาง

ยามนี้พระองค์รู้สึกได้จริงๆ แล้วว่านางแก่แล้ว บางทีอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ปีแล้วด้วย พอนางสวรรคตไป อำนาจมหาศาลในราชสำนักย่อมกลับมาสู่มือพระองค์

ในใจคิดเช่นนี้ แต่ปากกลับเอ่ยเหน็บแนม “หากเสด็จแม่ไปเช่นนี้ ภายหน้าตำหนักจินหลวนเงียบเหงาลง ไม่มีใครมาร่วมประชุมราชสำนักกับเราจริงๆ แล้วนะ”

จวงไทเอาถลึงตาใส่อย่างเย็นชา “ลูกอกตัญญู หยุดคิดเพ้อฝันได้แล้ว ข้าอายุยืนกว่าเจ้าแน่นอน”

ฮ่องเต้มองนางอย่างสงบท่ามกลางความวุ่นวาย

จวงไทเฮาดิ้นลุกขึ้นมานั่ง

ฉินกงกงรีบเข้าไปประคอง แล้วยกถ้วยยาส่งให้นาง

จวงไทเฮาดื่มยาขมเหมือนน้ำดีหมดชามในรวดเดียว ไม่เหลือสักหยด

หลังจากไทเฮาดื่มยาหมดแล้ว ฮ่องเต้ก็ออกจากตำหนักเหรินโซ่วไป

พระองค์ไม่ได้รีบร้อนกลับตำหนักตัวเอง แต่ไปห้องหนังสือก่อน ให้คนเรียกไท่จื่อมาหา ถามไท่จื่อเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนในหลายวันนี้

ฮ่องเต้พบว่าวิชาคำนวณของไท่จื่อพัฒนาขึ้นอย่างมาก “โจทย์พวกนี้ใครเป็นคนสอนเจ้ารึ”

ไท่จื่อชะงักก่อนจะตอบ “สำนักฮั่นหลิน”

ฮ่องเต้มองไท่จื่อแล้วเอ่ย “เรารู้ว่าวิชาคำนวณของเจ้าสำนักฮั่นหลินเป็นคนสอน แต่เราถามเจ้าว่าขุนนางคนไหนในสำนักฮั่นหลิน”

ไท่จื่อเอ่ยปากขึ้นอย่างไม่เต็มใจ “เซียวซิวจ้วน”

“เขาอย่างนั้นรึ” แววตาฮ่องเต้เป็นประกาย จากนั้นก็แย้มยิ้มอย่างปรีดา “เรามองคนไม่ผิดจริงๆ วิชาคำนวณของเจ้าไร้การพัฒนามาทั้งปี เดิมทีเราคิดว่าเจ้าเขลาเอง ยามนี้ดูท่าแล้วจะไม่ใช่ มีอาจารย์เก่งกาจเช่นนี้สอนเจ้าเจ้าก็เรียนได้”

ประโยคนี้จะให้ไท่จื่อตอบโต้อย่างไร

หมดหนทางจะโต้แย้งเลยจริงๆ

จะบอกว่าเสด็จพ่อชมผิดแล้ว ข้าโง่จริงๆ ต่างหากก็ไม่ได้

หากใช้ใจเป็นกลางมาคิดดู สติปัญญาของไท่จื่อไม่อาจเรียกว่าแย่ได้ ถึงแม้ว่าจะเทียบองค์ชายใหญ่หนิงอ๋องไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าพวกองค์ชายคนอื่นมากโข

ทว่าไท่จื่อเลือกที่รักมักที่ชัง เขาไม่ชอบวิชาคำนวณ แต่ฮ่องเต้ดันให้ความสำคัญกับวิชาคำนวณยิ่งนัก

ฮ่องเต้เดิมทีแค่อยากลองดู คิดไม่ถึงว่าจะได้ผล พระองค์พยักหน้าอย่างพอใจ “ไม่เลว ต่อไปก็ให้เขามาสอนเจ้าอีกนะ”

ไท่จ่อสีหน้าพลันเปลี่ยน “เสด็จพ่อ!”

ฮ่องเต้มองเขานิ่งๆ “ทำไมรึ เจ้ามีอะไรจะแย้ง”

ไท่จื่อเพิ่งรู้ตัวในท่าทีของตัวเอง จึงประสานมือแล้วเอ่ย “ลูก…ลูกแค่สงสัยว่าเหตุใดเสด็จพ่อจึงต้องให้ซิวจ้วนคนหนึ่งมาสอนลูกด้วย เสด็จพ่อไม่ให้ความสำคัญต่อลูกแล้วหรือ”

ให้ขุนนางฮั่นหลินคนใหม่มาสอนไท่จื่อของแคว้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ค่อนข้างปล่อยปะละเลยไท่จื่ออยู่ดี

ฮ่องเต้วางฎีกาในมือลง ขมวดคิ้วมองไท่จื่อ “หากเราลดความสำคัญของเจ้าแล้วจะเสียเวลาหาวิธีมาสั่งสอนเจ้ารึ เจ้าเป็นถึงรัชทายาทแห่งแคว้น อย่าได้เอาแต่สนใจความเห็นของคนอื่นจะได้หรือไม่”

ไท่จื่อเอ่ยเสียงแผ่ว “ลูกไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะมองอย่างไร…”

“แล้วมันอะไรกันล่ะ” ฮ่องเต้ถามเสียงเคร่ง

ไท่จื่ออยากจะพูดแต่ไม่พูด

ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “ไม่พูดก็กลับไป”

ไท่จื่อหลบตาลงแล้วเอ่ย “เขาหน้าตาเหมือนน้องชายนัก ลูกเห็นเขาทีไรก็มักจะคิดถึงน้องที่ด่วนจากไปทุกที ใจก็พลันเจ็บปวดขึ้นมา”

ฮ่องเต้คล้ายกำลังคิดบางอย่างอยู่ “ที่แท้เจ้าต้องเสียใจก่อนจึงจะเรียนรู้เรื่องอย่างนั้นรึ”

ไท่จื่อชะงัก

ช้าก่อนเสด็จพ่อ เหมือนว่าท่านจะเข้าใจความหมายข้าผิดไปนะ

ฮ่องเต้ส่งเสียงอืมออกมา “วิชาประวัติศาสตร์ของเจ้าก็พอถูไถ ต่อไปนี้วิชาประวัติศาสตร์ก็ให้เซียวซิวจ้วนมาสอนด้วย”

ไท่จื่อจะบ้าตายอยู่แล้ว!

เจอกันทุกๆ สิบวันไม่พอ กลายเป็นต้องเจอสองครั้งในสิบวันแล้ว!

เขาไม่อยากเห็นหน้าของเซียวลิ่วหลังเลย

ไท่จื่อกำหมัดแน่น “เสด็จพ่อ!”

ฮ่องเต้ตัดสินใจเรียบร้อย ก่อนโบกมือแล้วเอ่ย “เอาแบบนี้ล่ะ เจ้ากลับไปเสีย คืนนี้ให้เสี่ยวชีมาหาเราหน่อย”

ไม่ได้เห็นเจ้าเด็กจ้ำม่ำมาหลายวันแล้ว คิดถึงเขาแปลกๆ พิกล

ฮ่องเต้ไม่ใช่บิดาธรรมดา เขาเป็นกษัตริย์ก่อน จากนั้นจึงจะมาเป็นพ่อคน แต่พักรักษาตัวอยู่ในตรอกปี้สุ่ยหลายวัน มักจะเห็นเสี่ยวจิ้งคงวิ่งตามตนไปนั่นมานี้ ทำเอาอยากเป็นพ่อคนขึ้นมาเป็นพิเศษ

แน่นอนว่าไม่ใช่เป็นพ่อให้เสี่ยวจิ้งคงหรอก เด็กคนนั้นแปลกประหลาดเกินไปแล้ว พระองค์รับมือไม่อยู่

พระองค์ต้องการหาความรู้สึกประสบความสำเร็จในการเป็นพ่อจากเจ้าเด็กจ้ำม่ำน้อย

หลังจากไท่จื่อออกจากห้องหนังสือ ฮ่องเต้ก็ให้คนไปตามหนิงอ๋องมาหา