บทที่ 311-3 รักเอ็นดู (3)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 311 รักเอ็นดู (3)

ข่าวที่ฮ่องเต้ถูกลอบสังหารทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในเมืองหลวง ราชสำนักก็เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมาเล็กๆ เหมือนกัน ทว่าฮ่องเต้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นก็ชี้นิ้วสั่งเจ้าบ้านในตรอกปี้สุ่ยไม่ทำการทำงานโดยสมบูรณ์

แน่นอนว่าพระองค์ไม่ได้บอกว่าตัวเองพักอยู่ตรอกปี้สุ่ย ป่าวประกาศสู่คนนอกว่าอยู่ที่ราชนิเวศน์แทน

แม้ว่าความเข้าใจเรื่องลอบสังหารจะคลี่คลายแล้ว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับจวงไทเฮายังคงดุจน้ำแข็งเย็นยะเยือก

ฮ่องเต้ยังคงเห็นจวงไทเฮาแล้วขัดหูขัดตาอยู่ดี

จวงไทเฮาก็ยังคงไม่สนใจฮ่องเต้

จวงไทเฮาเล่นไพ่เสร็จก็มีคนมาหา

เมื่อก่อนเวลาจวงไทเฮาเล่นไพ่ปิดบังฮ่องเต้ไว้อยู่ ต่อมาเห็นฮ่องเต้เอาแต่ร่ำไรไม่ไปเสียที จวงไทเฮาจึงคร้านจะปิดบัง

ข้าจะเล่นไพ่ รักการเล่นไพ่

ฮ่องเต้มองแผ่นหลังจวงไทเฮาเล่นไพ่ ก่อนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ไม่รู้จักรักษาหลักปฏิบัติของสตรีออกเรือนเสียบ้าง ไร้ยางอาย ทำผิดกฎวังหลวง ไม่ฟังคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ ไม่คู่ควรเป็น…”

ฮ่องเต้ถูกกู้เจียวยัดปรอทวัดไข้ใส่ปาก

“อมไว้ อย่าพูดมาก” หมอกู้เอ่ยอย่างเคร่งขรึม

ฮ่องเต้ “…”

ข่าวที่ฮ่องเต้โดนลอบปลงพระชนม์เป็นที่ฮือฮาในเมืองหลวงใหญ่โต แม้ว่าพระองค์จะยังไม่ได้ประกาศตัวตนของเซียวลิ่วหลังกับกู้เจียวออกไป แต่สองคนที่บ้านที่ไม่อาจเดาตัวตนได้ก็มีแค่เสี่ยวจิ้งคงกับกู้เสี่ยวซุ่นเท่านั้น

เสี่ยวจิ้งคงรับได้ตั้งนานแล้ว เขารับความจริงที่ว่าพระองค์คือบิดาแท้ๆ ของฉู่อวี๋้ได้ ดังนั้นข่าวคราวจากโลกภายนอกจึงยากที่จะส่งผลกระทบต่อเขาได้

กู้เสี่ยวซุ่นกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยสักนิด

แม้แต่กู้เหยี่ยนยังเดาตัวตนที่แท้จริงของฮ่องเต้ได้

อย่างไรเสียคนที่กล้าถลึงตาเถียงท่านย่าได้ ทั่วหล้านี้ก็หาคนที่สองไม่เจออีกแล้ว

หลายวันมานี้อากาศร้อนระอุยิ่ง กู้เหยี่ยนจับไข้แดดที่สำนักบัณฑิตชิงเหออยู่หนหนึ่ง จากนั้นกู้เจียวจึงไปสำนักบัณฑิตชิงเหอเพื่อลาหยุดให้เขา ให้เขาพักรักษาตัวอยู่บ้าน

เมื่อก่อนตอนที่ให้เขาไปเรียนเขาก็ไม่ยอม ยามนี้ว่างขึ้นมาแล้วก็เบื่อหน่ายไม่น้อย

เขานั่งอยู่ใต้เงาไม้ในลานบ้านอย่างเบื่อหน่ายยิ่ง พร้อมกับถอนหายใจออกมา

กู้เจียวไปโรงหมอ เซียวลิ่วหลังไปสำนักฮั่นหลิน กู้เสี่ยวซุ่นกับเสี่ยวจิ้งคงไปเรียน เขาไม่มีเพื่อนเล่นเลยสักคน

อยากไปเรียนจัง…

ในระหว่างที่กำลังเบื่ออยู่ เงาสูงใหญ่ร่างหนึ่งก็ทาบทับลงมา บดบังแสงตะวันเหนือศีรษะเขามิด จากนั้นธนูไม้ประณีตคันหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา

กู้เหยี่ยนชะงัก เขามองธนูไม้แล้วเงยหน้าขึ้นมองคนถือธนู

“เจ้าเองรึ” กู้เหยี่ยนผินหน้าหนี

กู้ฉังชิงอ้อมไปตรงหน้าเขา ดึงธนูในมือเขา ก่อนจะเอ่ยกับเขา “อยากยิงธนูหรือไม่”

กู้เหยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ “ข้ายิงธนูไม่เป็น!”

กู้ฉังชิงเอ่ยเสียงเบา “ข้าสอนเอง”

อันที่จริงกู้เหยี่ยนฝันว่าจะได้เป็นจอมยุทธ์ในยุทธภพมาโดยตลอด ได้ขี่ม้าที่เร็วที่สุด ยิงธนูที่ยิงได้ไกลที่สุด น่าเสียดายที่ร่างกายเล็กจ้อยของเขานี้ แม้แต่โอกาสขึ้นม้าคนเดียวยังไม่มีเลย นับประสาอะไรกับยิงธนู

แม้แต่สายธนูเขายังง้างไม่ออก!

กู้เหยี่ยนข่มความสั่นของใจเอาไว้ ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้ารังเกียจ “ข้าไม่เอา!”

กู้ฉังชิงเอ่ยเสียงเบา “เจียวเจียวบอกว่าร่างกายเจ้าดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนไม่น้อยแล้ว น่าจะง้างธนูออกได้แล้ว ไม่เชื่อเจ้าก็ลองดูสิ”

แน่นอนว่าเขาจะบอกไม่ได้ว่าเพื่อดูแลร่างกายของเจ้า ข้าจึงทำธนูที่เบาที่สุดมาให้โดยเฉพาะ แม้แต่เสี่ยวจิ้งคงวัยสี่ขวบก็ยังง้างออก

บุรุษมักจะห่วงหน้าตาตัวเอง ต่อให้เป็นกู้เหยี่ยนในวัยแค่สิบห้าก็ตาม

กู้เหยี่ยนหรี่ตามองธนูคันนั้นที่กู้ฉังชิงส่งให้ ประณีตยิ่งนัก ทั้งส่วนโค้งเว้าและรูปลักษณ์ทำได้ตรงใจเขาทุกอย่าง

ที่สำคัญก็คือนึกไม่ถึงว่าบนธนูจะฝังหยกด้วย

ก็…น่าสนใจดี

กู้ฉังชิงมองออกแต่ไม่พูด เขาส่งธนูให้ถึงมืออีกฝ่าย ก่อนเดินไปวางเป้า “เจ้าลองดู”

กู้เหยี่ยนง้างธนูออกด้วยสีหน้าอิดออด

เขาแค่ลองดูไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดว่าจะง้างออกจริงๆ

เขาง้างธนูได้แล้ว!!

กู้เหยี่ยนแทบไม่เชื่อสายตา ดวงใจเขาพลันเต้นระส่ำอย่างปรีดา

กู้ฉังชิงเห็นท่าทางปากอ้าตาค้างของเขา มุมปากก็หยักยกขึ้นมาน้อยๆ โดยไม่รู้ตัว

เขายังทำลูกธนูสิบดอกกับกระบอกใส่ลูกธนูมาให้โดยเฉพาะด้วย ทำแบบน้ำหนักเบาทั้งหมด

เขาหยิบกระบอกลูกธนูมาวางไว้บนโต๊ะหินข้างกายกู้เหยี่ยน แล้วหยิบธนูดอกหนึ่งส่งให้เขา

กู้เหยี่ยนได้จับธนูเป็นครั้งแรกก็ไม่ปล่อยเลย

“แบบนี้” กู้ฉังชิงจับมือเขาไว้ หันหัวธนูไปยังที่ที่ถูกต้อง

มือกู้เหยี่ยนขาวผ่องนุ่มนิ่ม นิ้วเรียวยาว มือกู้ฉังชิงก็เรียวยยาวเช่นกัน ข้อต่อชัด แต่เพราะฝึกต่อสู้ตลอดปีจึงมีตุ่มด้านขึ้น

เขาก็แค่จับหลังมือกู้เหยี่ยนเบาๆ เท่านั้น หลังมือกู้เหยี่ยนก็ขึ้นรอยแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

กู้ฉังชิงค่อนข้างปวดใจ เขารีบปล่อยมือแล้วเอ่ยกับกู้เหยี่ยน “ลองยิงดูสิ”

กู้เหยี่ยนยิงออกไปหนึ่งดอก พลาดเป้าไปอย่างสมบูรณ์

“ไม่เป็นไร ลูกแรกยิงออกไปได้ก็ไม่เลวแล้ว” กู้ฉังชิงหยิงธนูอีกดอกส่งให้เขา

ผลคือกู้เหยี่ยนยิงพลาดเป้าอีกหน

กู้เหยี่ยนโมโห

“ท่าของเจ้าไม่ถูก” กู้ฉังชิงมาด้านหลังกู้เหยี่ยน สองมือกุมมือเขาไว้ โอบเขาไว้ในอ้อมอก พาเขาง้างธนูเบาๆ “เจ้าต้องง้างถึงตรงนี้ ตาเล็งให้ดี มองไปกลางเป้า…ยิง!”

มือขวาของทั้งคู่ปล่อยออกพร้อมกัน

ได้ยินแค่เสียง ‘ฟุ่บ’ ลูกธนูออกจากคันชักไปปักลงกลางเป้า

กู้เหยี่ยน “ว้าว!”

กู้ฉังชิงมองเขาอย่างลุ่มลึก แววตาเต็มไปด้วยความรักเอ็นดู “อาเหยี่ยนเก่งยิ่งนัก”

กู้เหยี่ยนแค่นเสียงขึ้นจมูก “แน่นอนอยู่แล้ว! เจ้าไม่ต้องบอกก็รู้!”

ปอยผมเล็กๆ บนศีรษะเขากระดกขึ้นอีกหน

กู้ฉังชิงทนไม่ไหว หัวเราะออกมาเบาๆ

เสียงหัวเราะของเขาไม่ได้ดัง ราวกับสายใยอันอบอุ่นภายใต้ดวงตะวัน รอยยิ้มไม่ได้กว้างมาก ร่างกายสั่นเล็กน้อยเพราะกลั้นขำ ให้ความรู้สึกดึงดูดอย่างน่าประหลาด

เดิมทีกู้เหยี่ยนคิดจะชักสีหน้าใส่ แต่จู่ๆ ก็ทำไม่ออก

เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนี้ช่างเสียหน้า จึงหันหน้าหนี เอ่ยเสียงเข้มทั้งๆ ที่ไม่เข้มเลยสักนิด “เจ้ายังจะสอนข้ายิงธนูหรือไม่”

กู้ฉังชิงพยายามกลั้นขำสุดความสามารถ แต่ไม่ว่าจะกลั้นอย่างไรมุมปากก็ยังหยักยกขึ้นอยู่ดี “สอน สอนสิ!”

เขาโอบอีกฝ่ายไว้อีกครั้ง ก่อนจะกุมมือนุ่มเอาไว้แผ่วเบา จู่ๆ ก็เริ่มเสียดายที่ตัวเองทำธนูได้หยาบนัก ทำมือกู้เหยี่ยนเจ็บเข้าเสียแล้ว

ยามบ่าย กู้ฉังชิงพากู้เหยี่ยนไปฝึกยิงธนูด้วย

แม้ว่ากู้เหยี่ยนกับกู้เจียวจะเป็นฝาแฝดไข่ใบเดียวกัน แต่ในเรื่องพละกำลังแล้วพวกเขาสองคนแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว กู้ฉังชิงสอนอยู่ตลอดบ่าย กู้เหยี่ยนก็ยังยิงไม่โดนเป้า

กู้เหยี่ยนโมโหยกใหญ่ ซ้ำยังไม่ยอมรับว่าตัวเองทำไม่ได้ด้วย เอ่ยอย่างหุนหันพลันแล่น “เพราะธนูนี่มันไม่ดี! เจ้าทำธนูอะไรของเจ้า!”

กู้ฉังชิงมุมปากหยักยกขึ้นเล็กน้อย “อืม ธนูไม่ดี ข้าทำไม่ดีเอง พรุ่งนี้จะทำคันใหม่ให้เจ้านะ”

กู้เหยี่ยนหันหน้าหนี “เหอะ!”

ฮ่องเต้รักษาตัวที่ตรอกปี้สุ่ยเงียบๆ ไม่สนใจราชสำนัก ไม่ถามเรื่องราวความเป็นไปของโลก ใช้ชีวิตราวกับอยู่คนละโลกมาสองสามวัน สีหน้าจึงดีขึ้นมาไม่น้อยแล้ว แม้แต่เส้นผมก็เหมือนจะเปลี่ยนไปมากทีเดียว

ฝีมือการทำอาหารของจี้จิ่วอาวุโสยอมเยี่ยม ฮ่องเต้รู้สึกว่าให้เขาเป็นจี้จิ่วของกั๋วจื่อเจียนจะไม่เป็นธรรมกับเขาเกินไป ควรเชิญให้เขาไปอยู่ในห้องเครื่องของวังหลวงมากกว่า

ช่วงที่ร้อนที่สุดในทุกๆ วันคือตอนกลางคืน ลานบ้านเจี๊ยวจ๊าวเสียงดัง พวกเด็กๆ ตะโกนกันไปมา กลิ่นหอมของกับข้าวลอยมาจากในครัว เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังเซ็งแซ่มาจากตรอกปี้สุ่ย

เป็นฮ่องเต้มานาน บางครั้งก็รู้สึกเฉยชา แต่หลายวันมานี้ใจพระองค์เหมือนประทับใจอยู่เสมอ เอาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้น นี่เป็นแคว้นเจาที่พระองค์ปกครอง เป็นบ้านเรือนนับหมื่นที่พระองค์พยายามปกป้องเต็มความสามารถ

ฮ่องเต้ตัดสินใจกลับวัง พระองค์ไม่อาจให้อำนาจใหญ่ในราชสำนักตกสู่เงื้อมมือคนอื่นได้

ทว่าหนึ่งคืนก่อนกลับวัง จู่ๆ พระองค์ก็ล้มป่วยมีไข้สูง

ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้น กู้เจียวออกไปรักษา เซียวลิ่วหลังกับจี้จิ่วอาวุโสทำงานล่วงเวลากันที่สำนักฮั่นหลินและกั๋วจื่อเจียน เว่ยกงกงยังป่วยอยู่ ช่วยอะไรไม่ได้

กู้ฉังชิงไปตามหมอให้ที่เมี่ยวโส่วถัง

จวงไทเฮาเพิ่งเล่นไพ่เสร็จ กำลังจะกลับวัง ได้ยินอวี้หยาร์นั่งร้องไห้อยู่หน้าประตู

นางจึงเดินไปถาม “เป็นอะไรไป”

อวี้หยาร์ร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้น “คือว่า คือ ฝ่าบาท…นายท่าน…ป่วย…ล้มป่วย…ข้าดูแลไม่ดีเอง…ข้า…ข้า…”

เดิมทีจวงไทเฮาไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับความเป็นความตายของฮ่องเต้ แต่เด็กคนนี้ร้องไห้เสียน่าสงสารนัก นางขมวดคิ้ว สุดท้ายก็เข้าห้องไปดู

อย่างไรเสียก็เคยขายยาของกู้เจียว แม้จะไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ แต่ก็ยังพอถูไถได้

ฮ่องเต้มีไข้สูงมาก เหงื่อออกท่วมร่าง สติเลอะเลือน

“ไปเอาสุรามา” จวงไทเฮาสั่งอวี้หยาร์

“เจ้าค่ะ! เจ้าค่ะ!” อวี้หยาร์รีบไปหยิบฮวาเตียวไหหนึ่งมาจากครัว

ที่บ้านไม่มีใครดื่มสสุรา นี่เพื่อนบ้านเป็นคนมอบให้

จวงไทเฮาใช้ผ้าฝ้ายชุบสุราเล็กน้อยมาเช็ดรักแร้และหน้าผากฮ่องเต้

นางเห็นเจียวเจียวทำแบบนี้เพื่อลดไข้ให้เสี่ยวจิ้งคง แต่เจียวเจียวไม่ได้ใช้สุราแรง เป็นสุราบริสุทธิ์ในกล่องยาของนาง

เจียวเจียวเรียกมันว่าแอลกอฮอล์

วิธีนี้เหมือนจะได้ผลขึ้นมาบ้าง ราวๆ สองเค่อต่อมา ไข้ของฮ่องเต้ก็ค่อยๆ ลดลง

ทว่าเพียงไม่นานก็กลับมาร้อนอีก อีกทั้งยังร้อนหนักกว่าเดิมมาก ไม่ว่าจวงไทเฮาจะเช็ดตัวให้อย่างไรก็ไร้ผล

หมอของโรงหมอมาถึงแล้ว เป็นหมอหลู เขาใช้วิธีฝังเข็มลดไข้ให้ฮ่องเต้ ได้ผลน้อยมาก

เขาเขียนใบสั่งยาให้กู้ฉังชิงเอาไปรับยาที่โรงหมอ

กู้ฉังชิงรีบไปต้มยายกมาจากโรงหมอ

ฮ่องเต้ไม่ยอมดื่ม

“พวกเจ้าออกไปก่อน” จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเรียบ

“พ่ะย่ะค่ะ”

คนอื่นพากันออกไป

จวงไทเฮามองถ้วยยาบนโต๊ะแล้วมองฮ่องเต้ที่สติเลอะเลือนบนเตียง ก่อนสูดหายใจลึก หลับตาลง คล้ายตัดสินใจที่ลังเลไม่สิ้น

จากนั้นนางก็เดินไปข้างเตียงด้วยสีหน้ารังเกียจ

ไข้ของฮ่องเต้สูงขึ้นจนตัวร้อนจี๋ ทรมานไปทั่วร่าง ในระหว่างที่สะลึมสะลือไม่ได้สติ ราวกับว่าพระองค์ได้ยินคนเรียกว่า “หงเอ๋อร์…”

หงเอ๋อร์คือใคร

พระองค์รึ

ใครกำลังเรียกพระองค์อยู่

“หงเอ๋อร์ กินยาได้แล้ว”

เสียงนั้นทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น เป็นเสียงที่พระองค์ไม่เคยได้ยินมันตั้งแต่พระองค์โตขึ้น

ฮ่องเต้คิดว่าไข้ขึ้นจนสมองกลับแล้ว จำไม่ได้ว่าตัวเองขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ จำไม่ได้ว่าบนโลกนี้มีจวงไทเฮาที่ตัวเองเกลียดที่สุดอยู่

พระองค์เป็นองค์ชายที่เกิดจากนางกำนัล ชาติกำเนิดต่ำต้อย ถูกส่งไปเลี้ยงดูภายใต้นามของจิ้งเฟย

จิ้งเฟยมีน้องสาวงดงามให้พระองค์คนหนึ่ง น้องสาวนามว่าหนิงอัน

พระองค์ชอบน้องสาว และชอบเสด็จแม่จิ้งด้วย

เสียงของเสด็จแม่หรือ

เสด็จแม่กำลังเรียกเขาหรือ

เสด็จแม่จิ้งดีกับเขาที่สุด

“เสด็จแม่…”

สิ่งที่ฮ่องเต้ไม่รู้ก็คือในใจพระองค์คิดถึงเสด็จแม่จิ้ง แต่เสียงที่เรียกออกไปกลับเป็นคำว่าเสด็จแม่

พระองค์คว้ามือจวงไทเฮาไว้ และจับไว้ทั้งคืน