บทที่ 369 คนหน้าด้าน

บทที่ 369 คนหน้าด้าน

“สาวน้อยคนนี้ เป็นเด็กผู้หญิงแท้ ๆ ทำไมพูดจาน่าอายแบบนี้ล่ะ?”

เหลียงซิ่วที่อยู่ข้าง ๆ ทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป เธอเป็นผู้หญิงตามแบบประเพณีจึงทนมองท่าทางพวกนั้นไม่ได้จริง ๆ

ถ้าเด็กคนนี้เป็นลูกสาวของเธอ เธอคงจะตบสักทีแล้วให้สำนึกกับตัวเอง

โจวหรุ่ยซูไม่ฟังคำพูดของเหลียงซิ่วเลย และรู้สึกว่าอีกฝ่ายเชยเหลือเกิน ก็แค่คนที่มาจากบ้านนอก จะไปเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความรักได้อย่างไร!

“ฉันเป็นเด็กผู้หญิงแล้วทำไม? เด็กผู้หญิงก็มีสิทธิ์ไล่ตามความรักนะ!”

“ความรัก?” เสี่ยวเถียนหัวเราะเบา ๆ เป็นเด็กหญิงตัวแค่นี้รู้จักความรักแล้วหรือ?

ชายหญิงรักกัน นี่สิถึงจะเรียกว่าความรัก แล้วเธอน่ะเป็นอะไร?

บังคับขู่เข็ญกันแบบนี้เรียกว่าความรักหรือ?

คุณย่าซูที่อยู่ด้านข้างบังเอิญได้ยินพอดี จึงรีบปิดหูเสี่ยวเถียน

“หลานฉันยังเด็ก จะมาให้เหนื่อยใจกับผู้หญิงไร้ยางอายแบบนี้ไม่ได้นะ”

หญิงชราจ้องโจวหรุ่ยซู ก่อนจะเอ่ยตำหนิ “อายุเพิ่งจะเท่าไร คิดแต่เรื่องผู้ชาย ไม่รู้จริง ๆ ว่าที่บ้านเธอสั่งสอนมายังไง”

ถ้าเธอมีเวลา อยากจะไปหาพ่อแม่เด็กคนนี้จริง ๆ แล้วสั่งสอนเรื่องการสอนลูกสักหน่อย

เสียงของคุณย่าซูไม่ได้เบา และโจวหรุ่ยซูก็ได้ยินอย่างชัดเจน

เด็กหญิงโกรธจนหน้าดำหน้าแดง นี่หมายความว่าอย่างไร?

เธอแค่ไล่ตามความรัก แล้วกลายเป็นคนไร้ยางอายได้อย่างไร? คนบ้านนี้กับเธอขัดแย้งกันหรือเปล่าเนี่ย!

ไม่ใช่ มันไม่ใช่ขัดแย้ง

แต่เพราะคนบ้านนี้นั้นโง่เง่า พวกบ้านนอกไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ความคิดคร่ำครึ ไม่เข้าใจถึงความมุ่งมั่นของเธอเลยว่าการจะฝ่าพันธนาการและค้นหาความรักมันมีค่าขนาดไหน

เหลียงซิ่วมองเด็กหญิงคนนั้น ดูเหมือนว่าอายุจะเยอะกว่าเสี่ยวเถียนไม่เกินสองปีนะ แต่ทำไมในสมองมีแต่ความคิดแปลก ๆ เต็มไปหมด ยังไม่ทันจะคิดออก ก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้น

“ไอ้พวกนักศีลธรรมมากอุดมการณ์ พวกแกไม่เข้าใจความรักสักนิด ฉันตกหลุมรักฉืออี้หย่วน ชอบตั้งแต่แรกพบ และจะต้องแต่งงานกับเขาให้ได้!”

โจวหรุ่ยซูตะคอกเสียงดังกึกก้องด้วยแววตาแดงก่ำ ราวกับว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะแสดงความรู้สึกของตนออกมาได้

เสี่ยวจิ่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ

“พี่แปด พี่เคยได้ยินความรักของพวกข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้าไหมครับ?”

เสี่ยวปาเข้าไปร่วมวงด้วยอีกคน “ไม่เคยนะ แต่พี่เคยได้ยินอีกประโยคหนึ่งที่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้!”

เสี่ยวจิ่วสงสัย “อะไรหรือครับพี่!”

“พี่ไม่เคยเห็นคนหน้าด้านขนาดนี้มาก่อนเลย!”

คำพูดของเสี่ยวปานั้นรุนแรง และมันทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่น แม้แต่ฉืออี้หย่วนที่ไม่ชอบหัวเราะก็ยังหัวเราะไปด้วย

ไม่คิดเลยว่าเด็กสองคนนี้น่าจะสนใจขนาดนี้!

“พวกนายพูดถูก ฉันก็ไม่เคยเจอคนหน้าด้านขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน!” ฉืออี้หย่วนสนับสนุน

ถึงคุณปู่คุณย่าจะไม่ได้เรียนสูง แต่พวกเขาก็เข้าใจในสิ่งที่หลานพูด

ผู้อาวุโสทั้งสองพยักหน้าซ้ำ ๆ แสดงให้รู้ว่าพวกเขาเองไม่เคยเห็นคนหน้าด้านแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน

เสี่ยวลิ่วกำลังคิดอยู่ ไม่รู้ว่าถ้าพ่อแม่ได้ยินลูกสาวพูดจาพิสดารแบบนี้จะโมโหจนตายหรือเปล่านะ?

อ๋อ คงไม่หรอก!

เพราะพ่อแม่ก็คงจะพิสดารเหมือนกัน!

พวกเขาไม่มีคนสอนหรือ?

“พวกแก…” โจวหรุ่ยซูทำหน้าตาถมึงทึง

เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่า เส้นทางที่ตนไล่ตามความรักจะขรุขระเต็มไปด้วยขวากหนามเช่นนี้

ก่อนจะมองไปยังฉืออี้หย่วนด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า ราวกับว่านี่คือเศษไม้ชิ้นสุดท้ายอย่างไรอย่างนั้น

“นายจะมองพวกบ้านนอกคอกนารังแกฉันแบบนี้หรือ?”

ฉืออี้หย่วนเลิกคิ้ว เด็กคนนี้ฟังไม่เข้าใจภาษาคนหรือเนี่ย หรือเขาพูดไม่ชัด? ทำไมยังทนทายาดขนาดนี้?

หน้าด้านจริง ๆ!

“ฉันจะพูดอีกครั้งนะ ฉันกับเธอเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน เธออยากแต่งหรือ ฉันไม่แต่งหรอกนะ!”

“อีกอย่าง เธอแน่ใจหรือว่าตัวเองโดนรังแกน่ะ ไม่ใช่ว่าตัวเองกำลังรังแกคนอื่นหรอกหรือ?”

เสี่ยวเถียนก็เพิ่งรู้ว่าฉืออี้หย่วนเป็นคนปากร้ายคนหนึ่ง เด็กเย็นชาคนนั้นต่างไปจากที่คิดไว้จริง ๆ!

เด็กหนุ่มเห็นเสี่ยวเถียนยิ้มตาจนตาปิด เขาก็รู้สึกมีความสุขมากขึ้น

ขอแค่เสี่ยวเถียนมีความสุข อย่างอื่นก็ไม่สำคัญแล้ว!

“นาย นาย…” โจวหรุ่ยซูพูดต่อไม่ออก

เพราะฉืออี้หย่วนกำลังมองไปที่เสี่ยวเถียนอยู่ เธอจึงโกรธด้วยความหึงหวง

เลยพูดอะไรไม่ออกสักคำ

“แล้วเธอล่ะเป็นอะไร? เด็กคนนี้ รีบออกไปจากบ้านฉันเลยนะ บ้านฉันไม่ต้อนรับคนอย่างเธอ!”

คุณย่าซูไม่อยากดูต่อแล้ว จึงเอ่ยปากไล่อย่างไม่อ้อมค้อม

“พวกแกกล้าดียังไงมาไล่ฉันออกไป? รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?” โจวหรุ่ยซูตะคอก

เสี่ยวเถียนรู้สึกขำขัน ประโยคสุดท้ายต้องพูดว่า ‘พ่อฉันคือหลี่กัง’*[1] ใช่ไหม?

เธอหวังว่าจะได้ยินจริง ๆ นะ!

ทว่าไม่มีใครตอบเธอเลย ทุกคนคิดว่าโจวหรุ่ยซูจะเป็นใคร มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรนี่

สำหรับพวกเขา เด็กคนนี้ก็เป็นแค่คนหน้าด้านเท่านั้นเอง

โจวหรุ่ยซูไม่รอให้คนอื่นตอบก็เอ่ยขึ้นเอง

“คุณปู่ฉันคือโจวฉี่เลี่ยง ส่วนคุณตาฉันคือว่านเหนียน!” ตอนเธอพูด แววตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจมาก

กลัวหรือยังล่ะ? กลัวหรือยัง?

จะได้รู้สักทีว่าพวกเขากลัวอะไรกัน

ทั้งปู่ทั้งตาต่างก็เป็นคนที่เก่งกาจ คนธรรมดาไม่กล้ายั่วยุพวกเขาหรอกนะ!

แต่ทำไมเธอถึงไม่เห็นความกลัวบนใบหน้าคนพวกนี้เลยล่ะ?

“อ๋อ คุณปู่ชื่อโจวฉี่เลี่ยง คุณตาชื่อว่านเหนียนสินะ! พวกเรารู้จักแล้วล่ะ เธอไปได้แล้วนะ!”เหลียงซิ่วพูดอย่างจริงจัง

เหลียงซิ่วไม่ได้แสร้งทำนะ ก็เธอไม่รู้จริง ๆ นี่ว่าสองคนนั้นเป็นใคร

แต่โจวหรุ่ยซูไม่รู้ว่าที่เหลียงซิ่วไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เพราะคิดว่าปู่กับตาของเธอมีอำนาจแค่ชื่อเท่านั้น

และคิดว่าเหลียงซิ่วจงใจกลั่นแกล้งด้วย

“พวกแกมันน่ารังเกียจเหลือเกิน ฉันจะไปหาคุณปู่ แล้วก็จะไปหาคุณตาด้วย พวกแกไม่ได้มีวันอยู่สุขแน่!”

ในที่สุด โจวหรุ่ยซูก็ทนไม่ไหวหันหลังวิ่งกลับไปทั้งน้ำตา

ฉืออี้หย่วนมองร่างที่วิ่งหนีออกไปก่อนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

เขากำลังคิดว่าจากนี้ไปตนคงไม่สามารถมาที่หออีหมิงได้อีกแล้วใช่ไหม

ที่นี่เปิดร้านอาหาร ถ้าผู้หญิงที่ชื่อโจวหรุ่ยซูมาสร้างปัญหาบ่อย ๆ น่าจะลำบากแล้วล่ะ

เสี่ยวชียิ้ม “อันนี้คือไปโวยวายฟ้องที่บ้านหรือ?”

เสี่ยวลิ่วตอบน้อง “พี่ก็คิดว่างั้น ไร้ค่าจริง ๆ!”

“โชคดีที่คนแบบนี้สอบเข้าโรงเรียนไม่ได้ ถ้าสอบได้ขึ้นมา เราคงอยู่ไม่สงบแน่!” เสี่ยวปาพูดอย่างหนักแน่น

“ไม่ใช่เราหรอก หลัก ๆ คือพี่อี้หย่วนต่างหาก!” เสี่ยวจิ่วพูดอย่างไม่พอใจ แถมยังมองอีกฝ่ายด้วยสายตาล้ำลึกด้วย

พี่เขาไปทำกรรมอะไรไว้ถึงได้พบเจอสิ่งแปลกประหลาดแบบนี้นะ

“ทำไมเด็กคนนั้นเป็นแบบนี้ล่ะ? ผู้หญิงทุกคนในเมืองหลวงเป็นแบบนี้ไหม?” คุณย่าซูพูดอย่างเป็นห่วง

ถ้าเด็กผู้หญิงในเมืองหลวงทุกคนไร้ยางอายแบบนี้ เธอคงไม่กล้าปล่อยให้เสี่ยวเถียนอยู่ในเมืองหลวงแล้วล่ะ

จู่ ๆ คุณย่าซูก็นึกถึงเด็กสองคนที่เสิ่นจื่อเจินเลี้ยงดูมา เหมือนจะเป็นแบบนั้นด้วย

หรือเด็กในเมืองจะเติบโตขึ้นมาอย่างบิดเบี้ยวกันนะ?

งั้นไม่ต้องเปิดร้านนี้แล้ว รีบกลับบ้านเลย

คุณย่าซูเป็นคนเด็ดขาด พอคิดถึงความเป็นไปได้ก็ลงมือทันที

เห็นหญิงชราทำท่าเหมือนจะปิดร้านและเก็บกระเป๋า ทุกคนก็แปลกใจ

“แม่ แม่ทำอะไรคะเนี่ย?”

เหลียงซิ่วสงสัยมาก ถึงจะมีคนมาสร้างปัญหาถึงบ้านเราก็จริง แต่มันก็แค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ไม่ใช่หรือ? แล้วจะรีบร้อนหนีไปไหน?

“ฉันเก็บของกลับบ้านอยู่ไม่ใช่หรือไง? เด็กในเมืองหลวงโตมาบิดเบี้ยวทุกคน!” คุณย่าซูพูดอย่างชัดเจน

“คุณย่า มันจะเป็นไปได้ยังไงครับ ย่าดูสิ พี่เสี่ยวเหมยอยู่ในเมืองมาปีกว่าแล้วนะ ไม่เห็นเปลี่ยนเป็นแบบนั้นเลย” เสี่ยวชีรีบเอ่ย

ได้ยินเช่นนั้นแกก็กลอกตา แล้วมองหลานชายอย่างแข็งกร้าวก่อนจะเอ่ยด้วยความโกรธ

“ที่พี่เขาไม่เป็นแบบนั้นเพราะพวกเราหงซินเป็นคนเลี้ยง แล้วแกดูที่เมืองหลวงสิ ฉันเจอมากี่คน ไม่ดีเลยสักคน!”

ทุกคนพูดไม่ออก คุณย่าเหมือนจะพูดถูกนะ แต่ไอ้หลักฐานที่แกบอกมาเนี่ย แกไม่เคยเห็นเด็กในเมืองมาก่อนเลยนะ!

แถมเพิ่งเจอสิ่งมหัศจรรย์อย่างโจวหรุ่ยซูด้วย กะว่าพลิกเรือด้วยไม้อันเดียว*[2] หรือไง?

“คุณย่า มันไม่เป็นแบบนั้นหรอก พวกเราโตแล้วนะ ถึงจะอยู่เมืองหลวง… ก็ไม่โตมาอย่างบิดเบี้ยวหรอกนะ!” เสี่ยวเถียนรีบเอ่ย

เธอเพิ่งให้ที่บ้านตกลงปลงใจที่จะออกมาเริ่มต้นธุรกิจในเมืองหลวง แล้วจะให้กลับไปเพราะเหตุผลแปลกประหลาดแบบนี้เนี่ยนะ?

โจวหรุ่ยซูนี่อันตรายจริง ๆ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วมีศัตรูเยอะขนาดไหนเนี่ย

“ใช่ครับคุณย่าซู คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงเป็นคนดีนะ แต่เด็กที่มีนิสัยแบบเมื่อกี้หายากต่างหาก”

หลังจากทุกคนยืนกราน คุณย่าซูก็ยอมเชื่ออย่างไม่เต็มใจว่าไม่ใช่เด็กทุกคนในเมืองหลวงหรอกที่จะโตมาอย่างเลวร้าย

แต่แกก็ยังไม่หยุดบอกพวกลูกหลานอีกหลายครั้งว่า “พวกแกจะเป็นแบบนั้นไม่ได้นะ ไอ้ที่วัน ๆ ไม่ทำอะไร คิดแต่อะไรก็ไม่รู้น่ะ?”

“ตอนนี้พวกแกอยู่ในวัยเรียน ต้องตั้งใจเรียนเพื่อหาความรู้ ดูพี่ชายเราทั้งสามนู่นสิ ยังไม่คิดเรื่องพวกนี้เลย!”

“อี้หย่วนเอ้ย เธอก็เป็นคนที่ฉันเฝ้าดูมากเหมือนกัน อย่าไปคบกับเด็กผู้หญิงแบบนั้นนะ เดี๋ยวจะเสียคน”

ฉืออี้หย่วนฟังที่หญิงชราสอน ก่อนเหลือบมองเสี่ยวเถียนโดยไม่รู้ตัว

เขาไม่คิดจะคบกับผู้หญิงแบบนั้นอยู่แล้ว เขาแค่อยากคบกับเสี่ยวเถียน แค่นั้นเอง

“ผมเข้าใจแล้วครับคุณย่า วางใจได้เลยครับ ผมจะอยู่ห่างจากผู้หญิงคนนั้นแน่นอน!”เด็กหนุ่มตอบอย่างเชื่อฟัง

คุณย่าซูรู้สึกโล่งใจนัก แกพยักหน้า “ช่วยดูแลไอ้พวกลูกลิงของย่าด้วยนะ!”

ฉืออี้หย่วนพยักหน้าอีกครั้ง

เสี่ยวเถียนหัวเราะให้พี่ ๆ ที่กุมขมับ

อยู่โรงเรียนก็โดนควบคุม พวกเขาคงไม่มีความสุขแน่เลย!

“พี่อี้หย่วน ถึงพี่อยากจะอยู่ให้ห่างจากเธอ แต่ถ้าเธอไม่ยอมปล่อยพี่ไปล่ะ?” เสี่ยวเถียนถามด้วยความสงสัย

เพราะเด็กสาวไร้สมองอย่างโจวหรุ่ยซูไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าเป็นฝ่ายยอมแพ้หรอก เธอน่าจะพัวพันกับฉืออี้หย่วนไปอีกนานแน่นอน

ต้องบอกว่า เรื่องวุ่นวายของฉืออี้หย่วนยังมาไม่ถึง!

เด็กหนุ่มไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย แต่เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่ปัญหา

เพราะเขาไม่มีทางมองเธอด้วยสีหน้าดี ๆ แน่นอน แล้วก็ไม่เชื่อหรอกว่าทุกครั้งที่เจอหน้านิ่ง ๆ แล้วอีกฝ่ายจะทนไหว

ตอนนั้นฉืออี้หย่วนไม่รู้จริง ๆ ว่า ที่จริงแล้วเขาได้เจอสิ่งที่น่าประหลาดท่ามกลางความประหลาดอีกที

*[1] เป็นวลีที่มาจากเหตุการณ์ดังที่เกิดขึ้นในปี 2010 มีผู้ชายแซ่หลี่คนหนึ่งขับรถชนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยคนหนึ่งเสียชีวิต และอีกคนบาดเจ็บสาหัส เขาเลยพยายามหนี แต่ก็โดนสกัดไว้ได้ แถมยังไม่คิดขอโทษและตะโกนใส่อีกว่า “เห็นไหม รถฉันเป็นรอยหมดแล้ว! รู้ไหมว่าพ่อฉันเป็นใคร? พ่อฉันคือหลี่กัง! ถ้าแน่จริงก็ไปฟ้องเลย!”

*[2] ไม่ถามต้นสายปลายเหตุ ไม่แยกแยะผิดถูก มองแค่มุมเดียว