ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก หลี่หันโยวคิดในใจว่าโชคดีที่เสี่ยวซุ่นจื่อผู้นี้ยังมีจุดอ่อนอื่น นางกลับไม่รู้ว่าเมื่อครู่ข้ากับเสี่ยวซุ่นจื่อสังเกตเห็นสายตาจับจ้องหยั่งเชิงของนางแล้ว แต่ของขวัญของฉีอ๋องดันทำให้เสี่ยวซุ่นจื่อเผยจุดอ่อนข้อใหญ่ที่สุดออกมา นั่นก็คือข้า ดังนั้นข้าจึงจงใจเผยสีหน้ายินดี ความจริงหนังสือเล่มนั้นแม้ไม่เลว แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้ข้าเก็บอารมณ์ยินดีไว้ไม่อยู่ เจตนาของข้าก็คือให้ผู้อื่นลงมือผ่านทางข้า ข้ามีเสี่ยวซุ่นจื่อกับยงอ๋องปกป้องจึงน่าจะไม่มีปัญหา แต่เสี่ยวซุ่นจื่อตระหนักถึงเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว เขาจึงอาศัยการเสียดสีของรัชทายาทแสร้งทำเป็นโกรธจัดจนต้องลงมือคล้ายห้ามตนเองไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนย่อมคิดว่าเขายังฝึกปรือไม่ถึงขั้นจึงไม่จำเป็นต้องเล็งเป้ามาที่ข้าแล้ว ข้าเข้าใจเจตนาของเขา แต่ก็ทำได้เพียงปล่อยให้เขาทำเช่นนี้ ถึงอย่างไรในใจเขา ความปลอดภัยของข้าก็สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด
เมื่อเสี่ยวซุ่นจื่อกลับมาอยู่หลังข้า หลี่หันโยวก็แย้มยิ้มเอ่ยว่า การละเล่นในวงสุราของพวกเราสมควรเริ่มได้แล้ว ความจริงทุกคนหมดสนุกกันไปแล้ว แต่ในเมื่อสัญญาแล้วย่อมต้องทำ อีกทั้งเรื่องนี้ยังเป็นการขันแข่งกันกลายๆ อีกด้วย ด้วยเหตุนี้การละเล่นในวงสุราที่มีบรรยากาศตึงเครียดครั้งนี้จึงเริ่มขึ้น ก่อนเริ่มเล่น เหวยอิงเอ่ยพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง หลายคนไม่ได้สนใจ แต่ข้ากลับได้ยินกระจ่างชัด เขาพูดว่า วันนี้ช่างน่าดูชมจริงเชียว การประชันเล่ห์เหลี่ยมยามคนเหล่านี้อยู่รวมกันน่าดูกว่าการละเล่นร่ายบทกวีอันใดทั้งสิ้น ข้าหัวเราะฝืดเฝื่อนอยู่ในใจอย่างห้ามไม่ได้ ข้ากลายเป็นละครน่าดูชมในสายตาผู้อื่นตั้งแต่เมื่อใด ก่อนหน้านี้ข้าน่ะเป็นผู้นั่งชมละครตลอดเลยนะ
เวลานี้เอง หลี่หันโยวก็แย้มยิ้มเอ่ยว่า กฎของการละเล่นนี้ไม่ยาก เริ่มแรกเอ่ยนามสถานที่แห่งหนึ่ง หลังจากนั้นยกบทกวีขึ้นมา หากยกขึ้นมาเหมาะสม ข้าก็จะยอมรับ หากยกขึ้นมาไม่ดี ถ้าเช่นนั้นต้องถูกลงโทษดื่มสุราสามจอก พวกเราคงจะตีกลองส่งบุปผา[1]เช่นผู้อื่นมิได้ ให้ข้ากรรมการผู้นี้เป็นคนกำหนดลำดับก็แล้วกัน ไม่ว่าลำดับยศถาหรือบรรดาศักดิ์ รัชทายาทล้วนเป็นผู้อยู่ในอันดับแรก เช่นนั้นขอเชิญรัชทายาทประเดิมก่อนเถิด
หลี่อันสงบใจได้แล้ว เขามีศักดิ์เป็นถึงรัชทายาท แม้มิแตกฉานบทกวีก็ยังท่องได้อยู่สองสามบท เขาจึงเอ่ยตอบว่า ฉางอัน…วสันต์ผันสู่คิมหันต์ แสงนวลลออจับนครต้องห้าม จู้หรง[2]เข้าบัญชาฤดูกาล เหยียนตี้[3]เบิกดวงสุริยา ทิวากรอำลาบุปผาร่วงโรย วาโยโชยพัดอุทยานเย็นชื่น ท้องทุ่งผลิยอดข้าวสาลี ชลาธารแย้มกลีบปทุมา เงาไม้จรดบรรพตวะวูบไหว สกุณาเหินเฉี่ยวชลธีวะว่อนไว โชคดีมีเหยา[4]อวี่[5] แว่นแคว้นจึ่งรุ่งเรืองดีงาม ทุกคนปรบมือเอ่ยชม ข้าก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น แต่ในใจกลับคิดว่าบทกวีที่คนผู้นี้ชื่นชอบขาดสง่าราศีของโอรสสวรรค์อยู่หลายส่วน ดูท่าคงไม่มีชะตาขึ้นครองใต้หล้าจริงๆ หลี่อันดื่มหนึ่งจอก หลี่หันโยวเพียงยกสุราแตะริมฝีปากเล็กน้อย แต่เสี่ยวซุ่นจื่อดื่มจนหมดหนึ่งจอก
หลี่หันโยวแย้มรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า ถัดจากรัชทายาท ก็ควรเป็นยงอ๋อง
หลี่จื้อเอ่ยขึ้นว่า โยวโจว…ทุ่งหญ้าชายแดนจรดฟ้ายามเย็นย่ำ สายลมนอกด่านต้องธราสารทฤดู ไร้วาสนาร่วมทางไกล มีเพียงดาบผูกข้างกาย กล่าวจบพลันดื่มเองหนึ่งจอก
ในใจข้ารู้ดี บทกวีที่องค์ชายหยิบยกขึ้นมาฉบับเต็มประพันธ์ไว้ว่า ‘ทวารเหลืองเปิดสู่พระวิสูตร บันไดแดงรับใช้มหามงกุฎ แม้นตำแหน่งสูงถึงเสนาบดี ยังภักดีนายเหนือหัว มิคิดเปลี่ยนผันโจวหนาน[6] คอยเฝ้าจ้าวเป่ย[7]ขจัดภัย ขบวนเกียรติยศข้ามลำน้ำอี้ พันทหารม้าเข้าโยวโจว ทุ่งหญ้าชายแดนจรดฟ้ายามเย็นย่ำ สายลมนอกด่านต้องธราสารทฤดู ไร้วาสนาร่วมทางไกล มีเพียงดาบผูกข้างกาย’ การยกกลอนบทนี้ย่อมเป็นการแสดงออกต่อรัชทายาทว่าตนต้องการเป็นเพียงผู้ครองหัวเมืองคนหนึ่ง แม้รัชทายาทไม่มีทางเชื่อ แต่ผู้อื่นย่อมหาข้อตำหนิมิได้
คนต่อมาผลัดถึงตาฉีอ๋อง หลี่เสี่ยนยิ้มน้อยๆ ตอบว่า จิ้นฉือ…เดินท่องพนารับอรุณ ชมสระน้ำวสันตฤดู อักษรข้องเกี่ยวพันเรื่องราว หนึ่งกองทัพปกป้องแดนดิน ตะวันเหนือทุ่งกว้างขาวหม่น สายลมครวญพัดเอื่อยเฉื่อย มิวาดหวังความยิ่งใหญ่ เพียงกำปณิธานเดียวดาย
ข้าเล่นจอกสุราในมือ ในใจคิดว่าที่แท้สิ่งที่ฉีอ๋องคะนึงหามีเพียงการสยบเป่ยฮั่น การรบพุ่งเข้าประจันกับทหารหาญเป่ยฮั่นต่างหากเป็นความปรารถนาเดียวในใจเขา คนผู้นี้รู้จักตนเองดี เขารู้ว่าไม่มีโอกาสชิงตำแหน่งจักรพรรดิจึงมุ่งมั่นปรารถนาเป็นแม่ทัพใหญ่ น่าเสียดายเขาหลงเข้ามาในศึกชิงราชบัลลังก์ น่ากลัวว่าสุดท้ายคงได้แต่กำปณิธานไว้ในใจ ข้ามองฉีอ๋องด้วยแววตาเต็มเปี่ยมความเสียดาย แล้วข้าก็เห็นหลี่เสี่ยนมองมาทางข้าเช่นกัน สีหน้าเขาแฝงความเหนื่อยล้าอันยากจะเอื้อนเอ่ย
ฉินอี๋เอ่ยขึ้นเรียบๆ ลั่วหยาง…เหยียบขึ้นเนินเป่ยหมาง ทอดมองเขาลั่วหยาง ลั่วหยางช่างเดียวดาย เวียงวังมอดมลาย กำแพงเหลือเพียงซาก ทุกข์ยากแสนลำเค็ญ มองไม่เห็นผู้เฒ่าชรา กวาดตาพบเพียงเด็กน้อย เกาะกลุ่มเซื่องซึมเหงาหงอย ปล่อยท้องทุ่งรกร้างไร้ผืนนา ข้าจากจรนานมิได้กลับ สับสนไหนคันนาเหนือใต้ นครเขตขันธ์วิเวกวังเวง พันลี้ไร้ควันฟืนไฟ หวนนึกยามเคยอาศัย สะท้อนใจมิอาจเอื้อนเอ่ย
ผู้อื่นฟังแล้วเฉยเมยเพราะทราบว่าฉินอี๋คิดถึงบ้านเกิด พวกเขาล้วนรู้ว่าฉินอี๋เป็นชาวลั่วหยาง แต่หลี่จื้อกลับฟังแล้วตกอยู่ในภวังค์ อดมิได้เอ่ยขึ้นว่า ลั่วหยางรกร้างปานนั้นเชียวหรือ
ฉินอี๋มิตอบคำ เพียงดื่มสุราจอกหนึ่งเงียบๆ หลี่จื้อถอนหายใจแล้วเอ่ยต่อว่า ลั่วหยางแดนร้อยศึก เกิดภัยสงครามติดกันหลายปีจนประชาชนอยู่อย่างแร้นแค้น ข้าจะกราบทูลขอให้เสด็จพ่อบูรณะลั่วหยางขึ้นอีกครั้ง
หลี่อันฟังแล้วไม่พอใจ คิดในใจว่า ไยต้องให้เจ้าเอ่ยปาก ข้าไม่รู้วิธีกราบทูลเสด็จพ่อหรือไร หากมิใช่เจ้าจ้องจะแย่งชิงบัลลังก์จากข้า ข้าคงได้ตั้งใจดูแลราชกิจนานแล้ว เขาคิดในใจเช่นนี้ แต่ใบหน้าไม่เผยสีหน้า
ต่อจากนั้นนับตามตำแหน่งขุนนางจึงผลัดมาถึงเซี่ยโหวหยวนเฟิง เขายิ้มน้อยๆ ตอบว่า ซีหู…จันทราเย็นเยือกธาราเฉื่อยเฉย นาวาครวญเพลงก้องผืนน้ำ ตับเต่าขาวเอื้องแดงลมประจิม ชมใบไม้ร่วงห้วงนที
ผู้อื่นล้วนชมว่าบทกวีที่เซี่ยโหวหยวนเฟิงเลือกสง่างาม แต่ข้ากลับยิ้มเฉยชา คนผู้นี้จิตใจล้ำลึก เฉลียวฉลาดช่างพลิกแพลง แม้แต่ขับขานบทกวีก็มิลืมปิดบังความรู้สึก หากมิใช่วันนั้นเขามาเยือนถึงเรือนยอมรับเรื่องที่ช่วยเพชฌฆาตใจทมิฬ เกรงว่าข้าก็คงมองทะลุโฉมหน้าของคนผู้นี้ไม่ออกเช่นกัน คงคิดว่าเขาเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญผู้หนึ่งเท่านั้น
ถัดจากนั้นหลู่จิ้งจงก็ตอบบ้าง ฉางซา…ถูกขับตรอมตรมสามหนาว ทุกข์ระทมต่างถิ่นตรึงตราหมื่นฝน คนจากจรเหลือเพียงดงหญ้า พงพนาวังเวงใต้แสงตะวัน มาตรแม้นจักรพรรดิผู้ทรงธรรมยังไร้เยื่อใย ชลาธารไร้ใจไฉนจักปลอบ ภูผาสงัดใบไม้ปลิดปลิว ตัวข้าผิดเพียงไรจึงไสส่งสุดขอบฟ้า เขาขับขานเป็นทำนองสูงต่ำ แต่สายตากลับเหลือบมองมาที่ตัวข้า
นอกจากจิงฉือกับซือหม่าสยงผู้ไม่ชำนาญกาพย์กลอน ทุกคนล้วนเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมา ทุกคนต่างรู้ว่าหลู่จิ้งจงกำลังเสียดสีข้า ตำหนิข้าว่าแม้มีความสามารถล้นเหลือแต่ไม่รู้จักเลือกนาย ในใจเขายงอ๋องไม่มีทางกลายเป็นจักรพรรดิได้ ยิ่งไปกว่านั้น เจี่ยอี๋[8]ผู้กล่าวโทษตนเองว่ามิได้รับผิดชอบหน้าที่อาจารย์ให้ดีจนเหลียงอ๋องตกม้าสิ้นพระชนม์คนนั้น สุดท้ายร่ำไห้จนสิ้นใจ หมายความว่าวาจาของหลู่จิ้งจงแฝงเจตนาร้าย หมายสาปแช่งข้าผู้มาอยู่ต่างแดนคนนี้ให้สูญเสียยงอ๋องผู้คอยคุ้มครองแล้วกลายเป็นเจี่ยอี๋คนต่อไป เจี่ยอี๋ตายเมื่ออายุสามสิบสามปี ดูท่าหลู่จิ้งจงก็คงไม่ปล่อยให้ข้ามีชีวิตอยู่พ้นอายุเท่านั้น
ดวงตาของยงอ๋องทอประกายเย็นเยียบชิงชังอย่างลึกซึ้ง เขาคงไม่โกรธแค้นหากหลู่จิ้งจงสาปแช่งตน ในเมื่อเป็นศัตรู ไม่ต้องพูดถึงสาปแช่ง ต่อให้เหวี่ยงดาบสังหารตนก็มิอาจตำหนิได้ แต่หลู่จิ้งจงกลับสาปแช่งเจียงเจ๋อให้ตายโดยไว เรื่องนี้ทำให้เพลิงโทสะพลุ่งพล่านในใจเขา เพราะนับตั้งแต่เจียงเจ๋อถูกลอบสังหาร ร่างกายก็อ่อนแออย่างยิ่ง ยงอ๋องมักเป็นห่วงว่าข้าจะจากไปเพราะโรคภัยบ่อยครั้ง ดังนั้นเขาจึงโกรธเคืองการกระทำของหลู่จิ้งจงเป็นพิเศษ ขณะที่เขากำลังจะสาดโทสะออกมา ข้ากลับหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้นว่า หลู่เส้าฟู่กล่าวได้ดี เจียงเจ๋อชื่นชมเจี่ยอี๋ยิ่งนัก หากมีโอกาสไปเยือนฉางซาจะต้องไปเคารพที่พำนักเก่าของเขาเป็นแน่ จอกนี้ผู้แซ่เจียงร่วมดื่มกับเส้าฟู่ กล่าวจบ ข้าก็ดื่มสุราที่อยู่ในจอก ใบหน้าซีดเผือดมีเลือดฝาดขึ้นมาทันใด เสี่ยวซุ่นจื่อจ้องหลู่จิ้งจงเขม็ง ดวงตาปรากฏไอสังหาร
ในใจหลู่จิ้งจงนึกเสียใจเล็กน้อยว่าตนมิควรไร้มารยาทปานนี้ ทว่านับแต่คนผู้นี้เข้าไปอยู่ในจวนยงอ๋อง เขาก็รู้สึกว่าแผนการที่ตนใช้ไม่เคยราบรื่นอีกเลย ในใจจึงขุ่นเคืองมานานแล้ว ครั้งนี้จึงอดไม่อยู่ เอ่ยเสียดสีเจียงเจ๋อ ครึ่งหนึ่งเพื่อระบายโทสะ อีกครึ่งหนึ่งเพราะเขาพอรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง เมื่อเห็นร่างกายอ่อนระโหยโรยแรงของเจียงเจ๋อ จึงหวังว่าเขาจะโกรธจนสิ้นใจไปเสีย
เหวยอิงเห็นบรรยากาศไม่ดีจึงเอ่ยขึ้นว่า สมควรผลัดถึงตาข้าแล้ว จงหนาน…จงหนานซ่อนหมู่เขาตระการ กองหิมะขาวดุจมวลเมฆ ไพรพนัสสว่างสดใส ปลายเหมันต์แต่งแต้มนครา เขาร่ายจบก็ดื่มหมดหนึ่งจอก การเบี่ยงประเด็นครั้งนี้ทำให้บรรยากาศดีขึ้นอยู่บ้าง ข้าคิดในใจ เหวยอิงผู้นี้สมกับที่ได้รับการสั่งสอนจากตระกูลอัครเสนาบดีจริงๆ ไม่เสียทีเป็นบุตรของอัครมหาเสนาบดีเหวย กลอนบทนี้สละสลวยมิซ้ำซาก น่าเสียดายที่สุดท้ายยังสลัดลาภยศสรรเสริญมิได้ ใต้หล้าล้วนรู้ว่า จงหนานคือทางลัด[9]
ต่อจากนั้นจึงวนเวียนไปถึงตาแม่ทัพหลายคน นอกจากจ่างซุนจี้ พวกเขาทุกคนล้วนสีหน้าย่ำแย่ ทันใดนั้นก็มีคนผลุนผลันเดินเข้ามา เป็นแม่ทัพคนหนึ่งของจวนฉิน เขามองผู้คนที่นั่งอยู่แวบหนึ่งด้วยสีหน้าลำบากใจ จากนั้นจึงเดินมาเบื้องหน้าฉินอี๋แล้วกระซิบเสียงเบาหลายประโยค ฉินอี๋ร่างกายสะท้าน โบกมือให้แม่ทัพผู้นั้นถอยไป ตอนนี้เอง คนจากหลายกลุ่มอำนาจก็บุกเข้ามาในลานฝึกยุทธ์แทบจะในเวลาเดียวกัน พวกเขาคือองครักษ์ของรัชทายาท ยงอ๋อง และฉีอ๋อง ข้าได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง พวกเขาล้วนพูดถึงเรื่องเดียวกัน เมื่อครู่นี้เองมี คนจู่โจมคลังเก็บอาวุธที่แม่น้ำเว่ยของกรมกลาโหม เผาทำลายอาวุธยุทโธปกรณ์ที่นั่นจนเสียหายแล้วทิ้งเครื่องหมายเอาไว้ เครื่องหมายนั่นคือผ้าแพรไหมชั้นยอดของหนานฉู่ บนผ้าไหมขาวโพลนดั่งหิมะเขียนอักษรเลือดไว้สามคำว่า กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว
รัชทายาท ยงอ๋องกับฉีอ๋องลุกขึ้นขอตัวทันที ทว่าหลี่หันโยวกลับแสร้งไม่รับรู้สถานการณ์แล้วลุกขึ้นเอ่ยว่า ผู้อื่นต้องการไปย่อมได้ แต่ใต้เท้าเจียงอย่างไรก็ต้องร่ายบทกวีสักบทก่อนถึงจะสมควร ใต้เท้าเจียงเป็นอัจฉริยะแห่งหนานฉู่ จะจากไปเช่นนี้ได้อย่างไร
ข้ารู้แก่ใจว่านางกำลังวางกับดัก หากข้ากล่าวว่าชมชอบหนานฉู่ นางย่อมใส่ร้ายข้าว่ามิลืมเลือนบ้านเกิด หากข้าชื่นชมต้ายง นางก็จะเสียดสีข้าว่าไม่คะนึงความผูกพันเก่าก่อน เรื่องนี้ข้ามองออกทะลุปรุโปร่งก่อนแล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินนางเอ่ยนาม ข้าจึงเพียงขับบทกวีด้วยท่าทางนิ่งสงบ กลองครื้นเครงคลอพิณแว่วหวาน หรือจะเป็นเทพธิดาลำน้ำเซียงดั่งเล่าขาน เฝิงอี๋เคลิบเคลิ้มลุกขึ้นเต้นรำ วิญญาณพลัดถิ่นสดับฟังกลับบาดหู ฆ้องระฆังซ่อนทำนองเศร้าหมอง ดังกังวานก้องแทรกราตรี ชางอู๋[10]ยินเสียงร่วมอาลัย ไป๋จื่อ[11]โศกซึ้งส่งกลิ่นหอม จากชลธีสู่ริมฝั่งวังเวง พระพายพาเพลงเศร้าพัดผ่านต้งถิง[12] สิ้นเสียงบรรเลงมิเห็นผู้ใด เหนือชลาลัยเหลือเพียงทิวเขาคราม…เจียงเจ๋อเคยได้ยินว่าศาลเทพธิดาแม่น้ำเซียงบนเขาจวินซานริมทะเลสาบต้งถิงมักจะมีคนได้ยินเสียงดีดพิณยามค่ำคืน แต่เมื่อคิดอยากพบกลับมิอาจเจอ วันนี้ยกบทกวีนี้มาละเล่นในวงสุรา มิทราบว่าใช้ได้หรือไม่
หลี่หันโยวมุ่นคิ้วกิ่งหลิว บทกวีที่เจียงเจ๋อเลือก มีกลิ่นอายภูตผีความลี้ลับแต่กลับแฝงความนัยไม่หมดสิ้นมิอาจคาดเดา นางทำได้เพียงเอ่ยอย่างขุ่นเคือง ใต้เท้าเจียงกล่าวได้ดี แล้วจิบสุราคำน้อยอย่างเชื่องช้า แม้หลี่หันโยวเพียงจิบสุราเป็นเพื่อนทุกคนทีละน้อย แต่สุราร้อนแรงของจวนฉินก็เข้มยิ่งนัก เวลานี้ใบหน้าของนางจึงแดงเรื่อแลดูงดงามเหลือจะเปรียบ ท่าทางมุ่นคิ้วแง่งอนของนางเช่นนี้ยิ่งงามจนมิอาจวางตา แม้แต่รัชทายาทที่รีบร้อนจะไปจัดการเรื่องวุ่นวายกับยงอ๋องผู้ที่ในใจวิตกกังวลก็ยังตกอยู่ในภวังค์อย่างห้ามตนเองไม่ได้ ฉินชิงยิ่งตกตะลึงอยู่กับที่ ในดวงตาเหลือเพียงเงาอรอนงค์งามล้ำเลิศผู้นั้น
[1]ตีกลองส่งบุปผา การละเล่นชนิดหนึ่งที่ผู้เล่นนั่งล้อมเป็นวง มีอีกคนหนึ่งตีกลองหันหลังให้คนอื่น เมื่อเสียงกลองดังขึ้นก็ส่งดอกไม้มือต่อมือไปเรื่อยๆ
[2]จู้หรง อัคนีเทพในตำนานจีน
[3]เหยียนตี้ หัวหน้าเผ่าในยุคโบราณของจีนที่ได้รับการนับถือเสมือนเทพ
[4]เหยา จักรพรรดิในยุคโบราณของจีน
[5]อวี่ จักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์เซี่ย ผู้มีคุณงามความดีในการจัดการชลประทาน
[6]โจวหนาน หมายถึงดินแดนแถบตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเหอหนานไปจนถึงฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหูเป่ยในปัจจุบัน
[7]จ้าวเป่ย หมายถึงดินแดนแถบมณฑลเหอเป่ยในปัจจุบัน
[8]บทกวีที่หลู่จิ้งจงยกมาเป็นบทกวีที่พรรณนานาความโศกเศร้าที่มีร่วมกันระหว่างตัวกวีกับเจี่ยอี๋
[9]ในช่วงสมัยหนึ่งมีค่านิยมว่าบัณฑิตที่ปลีกวิเวกคือบัณฑิตผู้น่านับถือ สมัยถังมีบัณฑิตสองคนเคยขึ้นไปปลีกวิเวกอยู่บนเขาจงหนานที่อยู่ไม่ไกลจากนครฉางอัน คนหนึ่งคือหลูฉางย่งผู้ทะเยอทะยาน เขาขึ้นภูเขาไปปลีกวิเวกแล้วให้คนกระพือข่าวลือเพื่อสร้างชื่อเสียง จนสุดท้ายได้ตำแหน่งสมดังหวัง บัณฑิตอีกผู้หนึ่งนามว่าซือหม่าเฉิงเจิน เขาปลีกวิเวกอยู่บนเขาจงหนานหลายสิบปีด้วยวางเฉยในทางโลก จักรพรรดิชื่นชมเขาจึงชักชวนให้เป็นขุนนางแต่เขาปฏิเสธ วันหนึ่งซือหม่าเฉิงเจินได้พบกับหลูฉางย่ง หลูฉางย่งพูดล้อเล่นเป็นนัยว่าเขาจงหนานมีดีซ่อนอยู่ ซือหม่าเฉิงเจินจึงเสียดสีกลับว่าที่แห่งนั้นคงมีดีที่เป็น ‘ทางลัด’ ของขุนนางกระมัง
[10]ชางอู๋ ชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง
[11]ไป๋จื่อ สมุนไพรชนิดหนึ่ง
[12] ต้งถิง ชื่อทะเลสาบ
ตอนต่อไป