บทที่ 373 องค์หญิงและการปกครอง
หลังจากที่เรื่องยุ่งวุ่นวายของช่วงเทศกาลตวนอู่จบลง เรื่องที่จะยกซานเป่าให้เป็นลูกบุญธรรมก็ได้ถูกกำหนดวันเวลาขึ้นมา
เนื่องเพราะหลินเหราและเหยาซูพาลูก ๆ ออกมาจากบ้านเกิดเรียบร้อยแล้ว และไม่ต้องการที่จะแจ้งตระกูลหลินให้รับรู้ จึงทำเพียงจัดเตรียมโต๊ะสุราที่จวนตระกูลเซี่ย เชิญครอบครัวตระกูลเหยาและมิตรสหายที่สนิทสนมมาร่วมเพียงเท่านั้น ก่อนจัดพิธีมอบซานเป่าให้กับจวนตระกูลเซี่ยอย่างเป็นทางการ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อ ‘หลินเซิน’ ก็เปลี่ยนเป็น ‘เซี่ยเซิน’
แต่ว่าภายในสายตาของเด็ก ๆ กลับไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง หลายวันมานี้เซี่ยเชียนยุ่งอยู่กับงานเป็นอย่างมาก เขาต้องค้างแรมอยู่ที่วังติดต่อกันหลายวัน แม้กระทั่งคาบเรียนของอาจื้อเองก็ต้องหยุดลง ส่วนซานเป่านั้นยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านกระกูลเหยากับเหล่าพี่ชายพี่สาวของเขา
ประชาชนในเมืองหลวงภายใต้ฝ่าพระบาทขององค์จักรพรรดิที่รู้เรื่องราวของอำนาจการบริหารจัดการในราชสำนักต่างก็พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องในท้องพระโรงและเรื่องราวหลังพระราชวัง เหยาซูที่มีร้านอาหารไว้ในครอบครอง ก็มักจะได้ยินลูกค้าพูดคุยกันว่าในราชสำนักช่วงนี้จะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
วันนี้หญิงสาวอยู่ที่ร้านอาหารทั้งวัน ตอนเย็นถึงกลับบ้านมากินข้าว หลังจากรอให้ลูก ๆ เข้านอนกันหมดแล้ว หญิงสาวจึงจุดตะเกียงน้ำมันบริเวณข้างหน้าโต๊ะ ในมือถือปริศนาเก้าห่วงที่อาซือเล่นเป็นประจำขึ้นมา
ในขณะที่นางกำลังแก้ปริศนา ความคิดของนางค่อย ๆ หลุดลอย การเคลื่อนไหวของมือก็หยุดชะงักลง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรพลันได้ยินเสียงประตูถูกเปิดออก หญิงสาวจึงกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งและเห็นหลินเหราที่อยู่ใต้แสงจันทร์ จากนั้นชายหนุ่มก็ก้าวเข้ามาในห้อง
เมื่อเห็นเหยาซูนั่งอยู่บริเวณด้านหน้าโต๊ะ ชายหนุ่มก็มีท่าทางแปลกใจเล็กน้อย “ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมเจ้ายังไม่นอน”
เหยาซูได้แต่มองหน้าชายหนุ่มเงียบ ๆ ชายหนุ่มผู้นี้ได้นอนร่วมเตียงเดียวกับนางมาเป็นเวลานาน ทุก ๆ ลายเส้นทุก ๆ รายละเอียดบนใบหน้าของเขา หญิงสาวล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ภายใต้แสงจันทร์อันเยือกเย็น เงียบเหงา และแสงเทียนที่อบอุ่น ใบหน้าที่หล่อเหลาของชายหนุ่มแสดงสีหน้าที่ดูอบอุ่นเป็นพิเศษ
เหยาซูฝืนยิ้มแล้วกล่าวออกมาว่า “ข้านอนกลางวันมากเกินไป เลยทำให้ตอนนี้นอนไม่หลับ”
ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งและเดินมาข้างหน้าหญิงสาว เขายื่นมือขวาออกไปลูบหัวหญิงสาว “ข้าจะนั่งเป็นเพื่อนเจ้าสักครู่”
เขาไม่ได้นั่งลง แต่เพียงยืนอยู่ข้าง ๆ หญิงสาวเท่านั้น ให้นางค่อย ๆ ซบศีรษะลงบนร่างกายของเขา
มีเพียงความเงียบงันระหว่างทั้งสองคน
ความอบอุ่นของชายหนุ่มยังคงส่งผ่านไปถึงหญิงสาว เหยาซูดมกลิ่นอันคุ้นเคย เวลานี้นางก็รู้สึกเจ็บคอเล็กน้อย
แขนเรียวทั้งสองข้างของหญิงสาวโอบเอวที่แข็งแรงของชายหนุ่มไว้แล้วซบใบหน้าของนางลงไปบนอ้อมแขนของชายหนุ่ม
ผ่านไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มก็เอ่ยถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “อาซู เจ้าได้ยินเรื่องนั้นแล้วใช่ไหม”
หญิงสาวหลบซ่อนใบหน้าอยู่ในอ้อมกอดของหลินเหลา ไม่จำเป็นที่จะต้องปกปิดความโศกเศร้าอีกต่อไป เหยาซูจึงกล่าวขึ้น “เรื่องราวแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองขนาดนี้ แน่นอนว่าข้าก็ต้องได้ยินมาแล้วเหมือนกัน บ้างก็กล่าวกันว่าจะส่งองค์หญิงไปอภิเษกสมรส และบ้างก็กล่าวกันว่าแม่ทัพที่จะถูกส่งตัวไปในไม่กี่วันนี้…ท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร ใครเล่าจะรู้ได้”
หลินเหรายื่นฝ่ามือที่อบอุ่นของเขาออกไปแล้วดึงปิ่นปักผมของนางออก ชายหนุ่มค่อย ๆ ใช้มือลูบไล้ไปตามเรือนผมสีดำเงาที่ทิ้งตัวยาวสยายลงมาของภรรยาเบา ๆ
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ได้ร้ายแรงเพียงนั้น เพียงแต่ทางตะวันตกเฉียงเหนือมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อย พวกเขาก่อเรื่องวุ่นวายเพราะว่าต้องการเสบียงอาหารและเงินทอง”
เหยาซูเงยหน้าขึ้นมามองหลินเหรา “หลายปีมานี้ชายแดนไร้ซึ่งสงครามแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมจึงเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีก?”
ดวงตาทั้งสองข้างอันลึกซึ้งของหลินเหราสะท้องแสงเทียนออกมา ราวกับว่าเป็นดวงดาวมากมายบนห้วงนภา และดวงดาวที่ดูเยือกเย็นเหล่านั้นพลันอบอุ่นขึ้นทีละน้อย
ชายหนุ่มกล่าวอย่างนุ่มนวลเพื่อปลอบโยนภรรยาของตน “ผู้สอดแนมของพวกเราส่งข่าวกลับมาว่าเหตุการณ์ไม่ได้เลวร้าย เกิดเรื่องวุ่นวายเล็กน้อยในกลุ่มชาวทูเจวี๋ย[1] ผู้นำของพวกเขาถูกลอบสังหาร หลังจากอำนาจมีการเปลี่ยนแปลงมีผู้คนมากมายถูกสังหาร ตอนนี้องค์ชายรองของชาวทูเจวี๋ยขึ้นครองบัลลังก์ เขาเองเป็นฝ่ายต่อต้านมาโดยตลอด ความทะเยอทะยานที่ไม่น้อยของตน ปากก็บอกว่าทำไปเพื่อเสบียงอาหารและเงินทอง ทว่าแท้ที่จริงเขาต้องการยั่วยุให้เกิดสงครามขึ้นในชายแดน”
แขนที่กอดชายหนุ่มไว้ทีแรกกำลังจะเริ่มคลายออกก็กลับมากอดหลินเหราแน่นอีกครั้ง
เสียงชายหนุ่มยังคงนุ่มนวลและเสนาะหู “อาซู เขตชายแดนก็เป็นเช่นนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดสงคราม พอสงบลงก็กลับมาเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง”
หญิงสาวไม่ได้เอ่ยเอื้อนสิ่งใดออกมา
นางฟังสิ่งที่ชายหนุ่มได้กล่าวต่อ “ตอนนี้เรื่องราวในราชสำนักค่อนข้างตึงเครียด เนื่องจากการจากไปของพระสนมเอก องค์จักรพรรดิจึงไม่มีพระโอรส คนในราชวงศ์ก่อนหน้าก็ล้วนพาพวกพ้องเข้าพระราชวัง ตระกูลชนชั้นสูงเป็นอะไรที่ซับซ้อนเกินกว่าที่จะเข้าใจ ฝ่ายหนึ่งต้องการเชื่อมสัมพันธ์กับฝ่าบาทก็เพื่อเป็นการเพิ่มแรงกดดัน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้พระองค์เองก็ไม่สามารถอดทนรอคอยได้นาน หากว่ายอมถอยในตอนนี้ เกรงว่าวันข้างหน้าจะเกิดเรื่องวุ่นวายที่ไม่สิ้นสุด”
เหยาซูกล่าวขึ้นด้วยเสียงอู้อี้ “แสดงว่าท่านต้องเข้าร่วมสงครามแล้วต้องทำให้สำเร็จ หลังจากนั้นท่านจะมีอำนาจมากขึ้นในราชสำนักเพื่อช่วยลดทอนแรงกดดันให้ฝ่าบาท”
อำนาจที่แท้จริงในราชสำนักนั้น ส่วนใหญ่อยู่ในมือของตระกูลชนชั้นสูง และคนเหล่านี้ล้วนมีความคิดต่างกัน เจียงหนิงสนใจเรื่องชายแดนและไม่สนใจว่าผู้ใดจะนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร มีเพียงแค่ฝ่ายของเซี่ยเชียนเท่านั้นที่องค์จักรพรรดิทรงไว้วางพระทัย
นอกจากเซี่ยเชียนที่มีตำแหน่งที่สูงแล้ว หลินเหราและเหยาเฉายังไม่ได้มีตำแหน่งที่สูงขึ้นมา นับประสาอะไรกับจอหงวนในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินที่สอบจิ้นสื้อได้ มันผิดกับวิสัยของบัณฑิต จึงไม่สมควรที่จะได้รับมอบหมาย
ดังนั้นด้วยคำถามของหญิงสาว เรื่องราวก็ได้เข้ามาถึงส่วนสำคัญแล้ว
หลินเหราเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นเบา ๆ “อาซู พระโอรสองค์แรกขององค์จักรพรรดิ ไม่สามารถเป็นอำนาจของราชสำนักหรือตระกูลใด ๆ ได้ ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าจะไม่ใช่การทำเพื่อองค์จักรพรรดิ การทำสงครามที่ชายแดน ข้าเองก็ไม่สามารถวางตัวออกห่างหรือไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้”
เหยาซูไม่ได้ขยับหรือกล่าวอะไรออกมา
เวลาผ่านไปสักพัก หลินเหราก็ดึงหญิงสาวออกอย่างอ่อนโยน ชายหนุ่มเห็นดวงตาดุจดอกท้ออันงดงามของนางในตอนนี้ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อขึ้นมา
ชายหนุ่มตกใจอยู่ครู่หนึ่ง “อาซู เจ้าเป็นอะไร อย่าร้องไห้เลย…”
หญิงสาวเช็ดหยดน้ำตาของตนก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองหลินเหรา นางยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “ท่านมองผิดแล้ว ข้าร้องไห้ตรงไหน”
หลินเหรารู้ใจภรรยาของตนเป็นอย่างดี หญิงสาวไม่ต้องการให้ชายหนุ่มเข้าร่วมสงคราม แต่…
“ตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่องค์จักรพรรดิที่ต้องการข้า ชายแดนเองก็ต้องการข้าเช่นกัน อาซู เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่”
เหยาซูกัดริมฝีปากของตนและไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ความรู้สึกภายในดวงตาของหญิงสาวชัดเจน ถ้านางต้องการเขา ลูก ๆ ก็ต้องการเขา หลินเหรายังจะไปอยู่หรือไม่?
หากแต่หญิงสาวกลับไม่ได้ถามอะไรออกมา
“ข้าไม่ต้องการให้ท่านรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก” เหยาซูจ้องมองไปที่ดวงตาของหลินเหราแล้วกล่าวขึ้นว่า “แต่ว่าท่านต้องสัญญากับข้าหนึ่งเรื่องก่อน”
ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยท่าทีที่จริงจัง “อาซู เจ้าพูดมาเถิด”
มือทั้งสองของเหยาชูคว้าเสื้อผ้าของหลินเหราไว้ด้วยโดยไม่รู้ตัว ดวงตาดอกท้อฉายแววว่าตนยังไม่สามารถตัดใจได้ ไม่นานนางก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง
หญิงสาวกล่าวขึ้นด้วยเสียงเบา ๆ “ท่านต้องสัญญากับข้าว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย ข้ากับลูก ๆ จะรอท่านกลับมาอย่างปลอดภัย”
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก “เจ้าสบายใจเถอะ ข้าจะปลอดภัย เพียงแต่ว่าตอนนี้เรื่องราวยังไม่ได้เกิดขึ้น ยังมีเวลาก่อนที่จะออกเดินทาง เจ้าอย่ากังวลไปก่อนเลย”
เหยาซูถอนหายใจ นางไม่สามารถขจัดปัญหาที่อยู่ในใจของตนได้ แต่ก็ไม่ได้ต้องการเพิ่มภาระให้หลินเหราต้องรู้สึกเป็นกังวลใจ
หญิงสาวจึงตอบด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “วันนี้ยังไม่ไป วันพรุ่งก็ควรไปได้แล้ว การศึกไม่ใช่เรื่องที่เร่งด่วนหรอกหรือ”
หลินเหราลูบผมของภรรยาแล้วเอ่ยขึ้นข้างหูของหญิงสาว “เอาละ ก่อนอื่นเจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป แล้วช่วงไม่กี่วันนี้กิจการร้านอาหารและร้านขายผ้าเป็นอย่างไรบ้าง ราบรื่นดีไหม?”
เหยาซูพยักหน้า หันไปมองลูก ๆ ที่นอนหลับอยู่ด้านหลัง หลังจากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “ดีทั้งหมดเลย แต่ว่ามีอยู่หนึ่งเรื่อง…”
หลินเหรานั่งลงข้าง ๆ ภรรยาของตน และเริ่มฟังคำพูดของเหยาซู
หญิงสาวจ้องมองสามีของตน ดูเหมือนว่านางกำลังสับสนว่าควรกล่าวออกมาดีหรือไม่
“เรื่องอันใดเล่า หืม?”
เหยาซูยิ้มขึ้นก่อนที่จะส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ช่างมันเถอะ ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไร ข้าจัดการเองได้”
หญิงสาวต้องการจะพูดถึงเรื่องของตู้เหิงมาที่ร้านขายผ้าเมื่อสองสามวันก่อน แต่ว่าสีหน้าท่าทางที่ดูเหนื่อยล้าของหลินเหราทำให้นางเองก็รู้สึกไม่สบายใจที่จะเอ่ยออกมา หญิงสาวไม่ต้องการที่จะเพิ่มภาระให้กับสามีของตนอีกต่อไป
หลินเหราจ้องมองสีหน้าของหญิงสาวอย่างจริงจัง ครั้นเห็นท่าทางที่ไม่ต้องการจะพูดออกมาของนาง เขาจึงกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”
เหยาซูกอดเอวชายหนุ่มเบา ๆ แล้วกล่าวขึ้นว่า “ดีแล้ว ท่านพักผ่อนเร็วหน่อยเถอะ วันพรุ่งยังต้องเข้าวังแต่เช้าตรู่ไม่ใช่หรือ”
ชายหนุ่มหาวขึ้นมาหนึ่งรอบก่อนที่จะพยักหน้า “ข้าต้องไปเข้าเวรแทนพี่รอง ไม่กี่วันมานี้ด้านตะวันตกเฉียงเหนือมีเรื่องวุ่นวาย อีกทั้งมีเรื่องโกลาหลที่ราชสำนัก ตอนนี้วังหลังเรียบร้อยขึ้นมาบ้างแล้ว ข้ากับพี่รองก็กดดันน้อยลงมาบ้าง ”
หลายวันมานี้หลินเหรานับวันยิ่งกลับบ้านดึกขึ้น ทุก ๆ วันเหยาซูเห็นท่าทางที่เหน็ดเหนื่อยของสามี ภายในใจของตนก็รู้สึกเป็นกังวลมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่กล้าที่จะบอกเล่าให้ชายหนุ่มฟัง
“อื้ม” หญิงสาวตอบเบา ๆ เพียงแค่หนึ่งคำแล้วยื่นมือออกมาแล้วลูบเบา ๆ ที่หว่างคิ้วของชายหนุ่ม “ถ้าหากว่าดึกมากแล้ว ก็พักที่วังเถิด พี่รองและท่านน้าก็ล้วนทำเช่นนี้ไม่ใช่หรือ”
หลินเหราหลับตาลงสัมผัสถึงปลายนิ้วเย็น ๆ ของหญิงสาวกดลงบนคิ้วของตนที่ขมวดมุ่น ไม่รู้สึกถึงความสงบเลยในสองสามวันที่ผ่านมา แม้แต่การหายใจของชาวหนุ่มในยามนี้เองก็ช้าลง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ชายหนุ่มก็กลับมามีสติอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงรู้ตัวว่าตนเองเผลอหลับไปขณะที่ยังนั่งอยู่
ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวยังคงอยู่เคียงข้างตนอยู่ จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “อาซู ข้าขอโทษ ข้าเหนื่อยมาก เจ้าง่วงแล้วหรือยัง รีบเข้านอนเถอะ”
ภายใต้แสงตะเกียง ปิ่นปักผมของนางก็ค่อย ๆ ถูกถอดออกนานแล้ว ใบหน้างดงามของหญิงสาวไร้ซึ่งการแต่งแต้ม ทำให้นางดูอ่อนโยนและสง่างาม
หญิงสาวยิ้มแล้วกล่าวขึ้น “ถ้าเกิดว่าในตอนกลางวันข้ารู้สึกเหนื่อยและเพลีย ข้าจะกลับมาพักผ่อนที่บ้าน ข้าไม่อยากจะพลาดช่วงเวลานี้ ตรงกันข้ามกับท่านที่เป็นขุนนาง เวลาทำงานต้องใช้จิตสติ ข้าจึงอยากให้ท่านพักผ่อนสักครู่…”
หญิงสาวกล่าวพลางดึงหลินเหราให้ลุกขึ้น ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า หญิงสาวก็เตรียมน้ำสำหรับการล้างหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาทั้งสองคนเข้ากันได้ดี และทั้งสองก็ยังรู้สึกว่าหากวันข้างหน้าพวกเขาได้ใช้ชีวิตเช่นนี้คงจะมีความสุขไม่ใช่น้อย…
……………………………………………………………………………………………………….
[1] ชาวเติร์ก ปัจจุบันคือประชากรส่วนใหญ่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
สารจากผู้แปล
พี่เหราจะออกไปรบแล้วเหรอ ใจหายเหมือนกันนะคะ
ไหหม่า(海馬)