บทที่ 374 ต่อต้านซยงหนู

บทที่ 374 ต่อต้านซยงหนู

หลังจากที่หลินเหราและเหยาซูสนทนากันเรื่องสถานการณ์ทางด้านซีเป่ยได้สองวัน ภายในราชสำนักก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ทางชายแดนได้ส่งข่าวมาว่าองค์ชายรองของชาวทูเจวี๋ยที่ขึ้นครองราชย์ได้จัดการคนในชนชาติของตนที่เห็นต่างด้วยการนองเลือด หลังจากนั้นก็ได้นำกองทัพบุกตีชายแดนอย่างไม่หยุดหย่อน

เมื่อผู้เฝ้าระวังภัยเห็นการรุกรานของศัตรู ก็ได้ส่งม้าเร็วไปรายงานต่อราชสำนักทันที

หลังจากที่ถวายรายงานเสร็จ แม่ทัพเจียงหนิงก็ได้รุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าว และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมทูลเชิญฝ่าพระบาทนำทัพไปต่อกรเหล่าศัตรูที่ซีเป่ยพ่ะย่ะค่ะ”

องค์จักรพรรดิไม่ได้กล่าวอะไรออกมา หลังจากนั้นนายทหารสามนายก็ได้ทูลกล่าวขึ้นพร้อมกันทันทีที่เจียงหนิงได้ทูลเสร็จ “กระหม่อมเองก็ทูลเชิญฝ่าบาทนำทัพไปต่อกรเหล่าศัตรูที่ซีเป่ยพ่ะย่ะค่ะ”

ท้องพระโรงทองคำสร้างขึ้นอย่างกว้างใหญ่และสง่างาม ตอนนี้เสียงของผู้คนเหล่านี้ดังกึกก้องอยู่ในท้องพระโรง ทำให้ผู้คนรู้สัมผัสได้ถึงความกระตือรือร้นและเลือดร้อน

นอกจากบุคคลในรายชื่อที่แม่ทัพเจียงหนิงนำกลับมาจากซีเป่ยแล้ว คนอื่น ๆ ในราชสำนักก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใด ๆ

บนพระพักตร์ไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ๆ จึงเอ่ยถามออกมา “ท่านแม่ทัพคิดว่าพวกเราควรโจมตีกลับหรือไม่?”

สีหน้าของเจียงหนิงแน่วแน่จริงจัง และกล่าวทูลด้วยความเคารพ “ปีที่แล้วพวกทูเจวี๋ยโจมตีอย่างรุนแรงและยึดเมืองสี่แห่งของเราภายในครึ่งเดือน ”

เจ้าอาลักษณ์ตู้ก้าวไปข้างหน้าพลางกล่าวว่า “กระหม่อมคิดเห็นว่าที่แม่ทัพเจียงหนิงกล่าวมานั้น เหมาะสมและไม่ผิด ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่าชาวฮั่นกล้าหาญและต่อสู้เก่งแต่ก็ไม่ได้กินมังสวิรัติ ทว่าฝ่าบาทต้องใช้เงินทำสงคราม ราชสำนักจะรวบรวมเงินพร้อมกันได้มากขนาดนี้ได้อย่างไร?”

หลังจากนั้นก็พูดเสริมขึ้นอีกว่า “ถ้าหากไม่ทำสงคราม ถ้าเราใช้วิธีการปูนบำเหน็จเพื่อเอาใจ ค่าใช้จ่ายก็เป็นแค่ไม่กี่ส่วนในท้องพระคลังเท่านั้น ในส่วนนี้ประชาชนก็พร้อมที่จะสนับสนุนได้”

“นอกจากนี้ หากใช้จ่ายมากเกินไปในคราวเดียว ในภายภาคหน้าคนที่จะได้รับความเดือดร้อนนั้นก็คือประชาชน”

“การไม่ทำสงครามแน่นอนว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุด”

ข้าราชการขุนนางในท้องพระโรงเริ่มถกเถียงกันขึ้น แม้แต่ข้าราชการพลเรือนต่างก็ล้วนพากันพยักหน้า

มติการต่อต้านสงครามเป็นที่ถกเถียงกันในท้องพระโรงอยู่เวลาหนึ่ง หน้าบัลลังก์เกิดเสียงโห่ร้องมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องผลกระทบจากสงครามต่อประชาชน นายทหารทั้งหมดต่างนิ่งเงียบ โดยเฉพาะเจียงหนิงที่ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังและทำอะไรไม่ถูก

องค์จักรพรรดิขมวดคิ้ว และไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา

เซี่ยเชียนที่เป็นหัวหน้าของเหล่าขุนนางเองก็ได้แต่ยืนนิ่งก็มหน้าลงเงียบ ๆ ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

เมื่อการถกเถียงของเหล่าขุนนางยิ่งมีอารมณ์และน้ำเสียงที่รุนแรงขึ้น ในที่สุดก็มีนายทหารนายหนึ่งไม่สามารถทนฟังต่อไปได้ จึงกล่าวแย้งขึ้นมา “การทำสงครามเสียทั้งเรี่ยวแรงเสียทั้งเงินตรา แต่พวกท่านทั้งหลายก็ย่อมสามารถทำความเข้าใจได้ ไม่ใช่ต้าเยี่ยนของพวกเราที่ต้องการจะทำสงคราม แต่เป็นเพราะพวกซยงหนูที่รุกรานเข้ามา เหตุใดถึงทำราวกับว่าทหารที่ต่อสู้ที่เขตชายแดนอย่างกล้าหาญเป็นคนบาปของราชสำนักเล่า?”

คนที่เสียงดังที่สุดในบริเวณนั้นได้ขมวดคิ้วแล้วกล่าวแย้งขึ้นมา “เมื่อพวกซยงหนูเข้ามารุกราน พวกเราก็ควรที่จะต้องต่อต้านหรือไม่? ถ้าปิดประตูไว้พวกเขาจะเข้ามาได้หรือ? ต่อให้แย่แค่ไหนการประนีประนอมสานสัมพันธ์ก็เป็นหนทางที่ดีที่สุด…”

ดวงตาของนายทหารเบิกกว้างก่อนกล่าวขึ้นด้วยความโกรธเคือง “พวกเราจะยอมรับความพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มที่จะต้อสู้เยี่ยงนั้นหรือ?”

“ชนะหรือพ่ายแพ้เป็นเพียงแค่สิ่งที่ท่านแม่ทัพของท่านให้ความสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับคนทั่วไป มันไม่คุ้มค่าที่จะเอ่ยถึง! หาคำเรียกชื่อที่น่าฟังกว่านี้ให้กับเผ่าซยงหนู แล้วจัดสรรเงินตรา ผ้าไหมและธัญพืชให้กับพวกเขา แล้วส่งกลุ่มต่างด้าวกลุ่มนี้ออกไป หลาย ๆ ราชวงศ์ที่ผ่านมาก็ทำเช่นนี้ เหตุใดต้าเยี่ยนของข้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้เล่า?”

ผู้คนในท้องพระโรงต่างพยักหน้า

และก็มีคนกล่าวขึ้นมาว่า “ราชสำนักเพิ่งจะสงบสุขได้เพียงไม่กี่เดือน ก็จะเข้าสู่สงคราม ข้าคิดว่าสงครามครั้งนี้ก็เป็นเพราะทหารอย่างพวกท่านเป็นคนทำให้มันเกิดขึ้น”

หลังจากที่ประโยคนี้ได้ถูกกล่าวออกมา มันก็พาให้เหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหมดขุ่นเคือง แม้กระทั่งขุนนางบางคนก็ยังขมวดคิ้วไม่พอใจ

การถกเถียงของทั้งสองฝ่ายยิ่งเสียงดังดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ท้องพระโรงไม่ต่างอะไรกับตลาดในเมืองหลวง

เซี่ยเชียนยืนอยู่อย่างสันโดษราวกับว่าเสียงรอบข้างไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตน

เมื่อเห็นท่าทางที่สงบนิ่งของเซี่ยเชียน องค์จักรพรรดิก็ได้ระงับความขุ่นเคืองในพระทัยอย่างช้า ๆ

พระองค์โบกมือส่งสัญญาณให้ต๋ากงกงเริ่มเอ่ยปาก

ต๋ากงกงกล่าวขึ้นด้วยเสียงสูง “ขุนนางทุก ๆ ท่าน! พวกท่านกำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการว่าความรอบเช้า ก็ควรจะระมัดระวังวิธีการกันด้วย อย่าได้เสียมารยาทต่อหน้าฝ่าบาท”

เมื่อเหล่าขุนนางมีปากเสียงกัน เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะควบคุมอารมณ์ของตนไม่ได้

ครั้นเมื่อได้ยินเสียงของต๋ากงกงเอ่ยขึ้น และเห็นท่าทางเย็นชาขององค์จักรพรรดิ ทุก ๆ คนก็เริ่มยับยั้งตนเอง

เมื่อเสียงทะเลาะวิวาทเงียบลง องค์จักรพรรดิจึงได้เริ่มกล่าวขึ้น “อย่างไรเล่า? ทะเลาะกันเสร็จแล้วหรือ?”

สีหน้าองค์จักรพรรดิดูราวกับว่าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก ทุกคนต่างได้แต่ก้มหน้าและปฏิเสธที่จะเป็นนกตัวแรก[1] กันพัลวัน

เจียงหนิงกำหมัดแน่น สีหน้าของเขาไม่ได้กลัวการแสดงออกอันเย็นชาขององค์จักรพรรดิแม้แต่น้อย ท่านแม่ทัพทูลกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ฝ่าบาท เหล่าขุนนางต่างก็ยืนหยัดในความคิดของตน ซีเป่ยควรเข้าสู่สงคราม แล้วเราต้องจัดการโดยเร็ว ให้พวกซยงหนูที่เย่อหยิ่งล่าถอยกลับไปพ่ะย่ะค่ะ”

ตู้จงขึ้นเสียงกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ! ครานั้นที่ชายแดนเกิดสงคราม ใช้ทรัพย์สินของบ้านเมืองไป ต้องใช้เวลาถึงสามปีเพื่อจะเติมให้เต็มในท้องพระคลัง วันนี้ยังไม่ถึงหนึ่งปีเลยก็จะก่อสงครามอีกแล้วหรือ”

องค์จักรพรรดิขมวดพระขนง แม้ว่าตู้จงจะอยู่ฝ่ายขุนนางเก่า แต่ประโยคนี้ของเขากลับสามารถชี้ให้เห็นถึงจุดสำคัญได้

ในตอนนี้ท้องพระคลังก็เต็มแล้ว เกือบเพียงพอที่จะนำไปใช้

ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เขาเองก็จะไม่ลังเลเลยที่จะสนับสนุนเจียงหนิงในการทำสงครามในเวลานี้

เมื่อต้องเผชิญกับข้อกังขาจากเหล่าขุนนาง น้ำเสียงเจียงหนิงก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด เอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “เผ่าซยงหนูเป็นชาติพันธ์ุที่กินขนดื่มเลือด[2] อีกทั้งยังผ่านการนองเลือดมาแล้วหนึ่งครั้ง ในแง่ของเสบียงอาหารและเงินตราพวกเขาไม่สามารถเปรียบเทียบต้าเยี่ยนของพวกเราได้ ตอนนี้พวกซยงหนูกลับกล้าโจมตีทั้ง ๆ ที่พวกเขาเองยังอ่อนแอ หากต้าเยี่ยนยังยืนยันที่จะปฏิเสธการทำสงคราม หากวันนี้ยังทรงปูนบำเหน็จให้แก่พวกซยงหนู เลี้ยงดูพวกเขาให้อยู่ดีกินดี ในอนาคตจะก่อปัญหาที่ไม่รู้จบ”

ถึงแม้ขุนนางฝ่ายกลาโหมจะเป็นลูกหลานขุนนางตระกูลเก่าแก่ เขากลับกล่าวเห็นด้วยกับท่านแม่ทัพ “ทูลฝ่าบาท สิ่งที่ท่านแม่ทัพกล่าวมาเป็นความจริงอย่างยิ่ง การเลี้ยงเสือไว้จะสร้างปัญหาให้พวกเราในภายหลัง แล้วพวกเราต้าเยี่ยนไม่ควรจะทำอะไรที่จะทำให้เราเสียเปรียบพ่ะย่ะค่ะ”

ตู้จงขมวดคิ้ว “ใต้ท้าวลู่ ท่านพูดจาช่างมีเหตุผล”

ในขณะที่เขายังกล่าวไม่เสร็จ ก็ถูกองค์จักรพรรดิขัดจังหวะขึ้นมา “พอแล้ว ท้องพระโรงเป็นที่ที่พวกเจ้าจะต่อล้อต่อเถียงกันหรือ”

เมื่อเห็นองค์จักรพรรดิทรงกริ้ว ทุก ๆ คนต่างก็กลั้นหายใจและไม่กล้าที่จะกล่าวอะไรออกมา

องค์จักรพรรดิขมวดพระขนงแล้วกล่าวถามว่า “เงินตราและเสบียงอาหารในท้องพระคลังตอนนี้สามารถสนับสนุนทหารในซีเป่ยได้นานแค่ไหน”

เมื่อเห็นท่าทางขององค์จักรพรรดิที่ดูเหมือนจะประกาศสงคราม ตู้จงเองก็ตะลึงเล็กน้อยและตอบกลับต่อพระองค์ “ทูลฝ่าบาท พอที่จะเลี้ยงกองทัพได้ครึ่งปีพ่ะย่ะค่ะ”

หลังพูดจบตู้จงก็เสริมขึ้น “ถ้าหากไม่ทำสงคราม ถ้าเราใช้วิธีการปูนบำเหน็จเพื่อเอาใจ ค่าใช้จ่ายก็เป็นแค่ไม่กี่ส่วนในท้องพระคลังเท่านั้น ในส่วนนี้ประชาชนก็พร้อมที่จะสนับสนุนได้… ”

องค์จักรพรรดิไม่ได้กล่าวอะไร และในท้องพระโรงก็เต็มไปด้วยความเงียบงัน

จักรพรรดิมองเซี่ยเชียนที่ไม่ได้กล่าวอะไรตั้งแต่ต้น จึงกล่าวขึ้นว่า “ใต้เท้าเซี่ย ท่านคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง?”

ขุนนางส่วนมากต้องการที่จะต่อต้านสงคราม ซึ่งแนวคิดนี้ก็ใกล้เคียงกับตู้จงที่เป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน พวกเขารู้สึกว่าค่าใช้จ่ายในการทำสงครามนั้นสูงเกินไป

ทว่าเซี่ยเชียนกลับไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกับพวกขุนนาง และได้ทูลกับองค์จักรพรรดิว่า “ใต้เท้าตู้คำนวณเสบียงของทหารที่ซีเป่ยได้ครึ่งปี ซึ่งเพียงพอต่อราชสำนัก และถ้าหักส่วนที่ราชสำนักสงวนเอาไว้เพื่อบรรเทาภัยพิบัติ กระหม่อมคิดว่าพระองค์ควรเริ่มต้นจากบนสุด ประหยัดอาหารจากบนลงล่าง อีกทั้งเพิ่มภาษีในปีนี้และปีหน้าเพื่อเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย สนับสนุนชายแดนด้วยอำนาจของทั้งบ้านเมือง”

หลังจากที่เขากล่าวจบก็มีคนตำหนิขึ้นมาทันที “เหลวไหล จะลดพระกระยาหารของฝ่าบาทได้อย่างไร”

คำพูดของเซี่ยเชียนกลับทำให้องค์จักรพรรดิเริ่มเปิดใจขึ้นมาทันที

ทำให้พระองค์ได้ย้อนคิดขึ้นมาทันทีในเมื่อยังวัยเยาว์ เขากับองค์รัชทายาทองค์ก่อนที่อยู่ในห้องศึกษาและฟังการบรรยายจากท่านราชครู คำถามที่ท่านราชครูถามก็คล้ายกับเหตุการณ์ในวันนี้มาก

เวลานั้นองค์รัชทายาทองค์แรกยิ้มแล้วส่ายหน้า การที่จะใช้พระคลังส่วนตัวขององค์จักรพรรดิ นับว่าเป็นการเสียเกียรติอย่างมาก

เซี่ยเชียนส่ายหัวอย่างดื้อรั้น แล้วยังกล่าวประโยคนี้

‘ถ้าข้าไม่ได้เป็นบัณฑิต ข้าขอลาออกจากตำแหน่งและจะขออยู่บ้านดีกว่ารับใช้ราชสำนัก’

เมื่อนึกนึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาองค์จักรพรรดิก็อดที่จะสรวลขึ้นมาไม่ได้ “ใต้เท้าเซี่ยก็คือใต้เท้าเซี่ยจริง ๆ ข้าไม่เห็นว่ามันจะไม่เหมาะสมตรงไหนถ้าข้าจะเริ่มประหยัดอาหารและเป็นแบบอย่างให้กับประชาชนตั้งแต่วันนี้ ”

องค์จักรพรรดิและขุนนางจ้องตากัน ต่างก็เข้าใจความหมายของกันและกันจากภายในดวงตา

หลังจากที่พระองค์ทรงกล่าวเสร็จก็หันไปทอดพระเนตรยังตู้จง แล้วกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแส “เจ้าทำงานเป็นขุนนางพลเรือนแต่กลับนึกถึงประเด็นสำคัญไม่ได้ ก็เพียงได้แต่บอกว่าไม่มีเงินทอง ไม่มีเงินทอง สิ่งที่ขุนนางท่านนี้ทำมีประโยชน์อันใดเล่า”

ขุนนางคนอื่น ๆ เห็นว่าองค์จักรพรรดิมีความคิดเหมือนกับฝั่งของเซี่ยเชียน นอกจากจะกล่าวว่า ‘ไม่เหมาะสม’ มาเป็นเหตุผลที่ใช้ในการหักล้าง ก็คงจะไม่สามารถใช้เหตุผลนั้นมาแย้งได้

เรื่องที่เจียงหนิงเสนอว่าจะทำสงคราม ก็ถูกพิจารณาไปตามนั้น

เพียงแต่ว่าเขาเองยังสับสนว่าหลินเหราที่อยู่ในตำแหน่งราชองครักษ์จะทำอย่างไร…

………………………………………………………………………………………………………

[1] สำนวนประมาณว่าไม่อยากโดนทำโทษเป็นคนแรก

[2] ชนเผ่าที่กินของดิบ ไร้อารยธรรม

สารจากผู้แปล

สหายรู้ใจก็แบบนี้แหละค่ะ เพียงมองตาก็รู้ใจ ฝ่าบาทมีอะไรก็ปรึกษาท่านเซี่ยก่อน เรือฉันแล่นแรงมากค่ะ

อาเหราไปรบแล้วจะเป็นยังไงนะ

ไหหม่า(海馬)