ตอนที่ 387

My Disciples Are All Villains

ต้วนมู่เฉิงได้กระโดดลงมา พลังอวตารของตัวเขาได้กระแทกลงบนพื้นราวกับกระสุนของปืนใหญ่

ตู๊ม!

หลุมที่ถูกทิ้งเอาไว้เพราะแรงกระแทกจากพลังอวตารได้ทิ้งเอาไว้เบื้องหลังต่อหน้าของทุกๆ คน

หุ่นเชิดทั้งหลายที่ถูกกระแทกเข้าไปได้ล้มลงกับพื้น

“ศตราวีมอดไหม้!”

“สหัสะราวี!”

[ศตราวี คือการโจมตีนับร้อยในพริบตา, สหัสะราวี คือการโจมตีนับพันในพริบตาของต้วนมู่เฉิง]

ฮั๊ววู่เด๋าอดไม่ได้ที่จะกระแอมออกมา ตัวเขากำลังรู้สึกอยากที่จะอาเจียนเมื่อได้เห็นภาพการโจมตีของต้วนมู่เฉิง ฮั๊ววู่เด๋าได้แต่แอบถอนหายใจอยู่อย่างเงียบๆ ‘อดไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องนึกถึงภาพในวันวาน ข้าจะต้องเป็นกังวลอยู่ทุกวันเมื่อต้องอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เพราะแบบนี้’ ฮั๊ววู่เด๋าเปลี่ยนไปมองฮั๊วยู่จิงที่กำลังลอยอยู่เหนือศาลาปีศาจลอยฟ้า นางได้ยิงลูกธนูพลังงานใส่หุ่นเชิดทั้งหลายต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งฮั๊ววู่เด๋าได้เห็นภาพนั้นตัวเขาก็เริ่มรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง

ในตอนนั้นเองฉางจิน หนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเฮ้งชูก็ได้ลุกขึ้นมาก่อนที่จะพุ่งเข้าหาเป้าหมายอีกครั้ง ฉางจินเองก็เป็นเพียงหนึ่งในหุ่นเชิดเท่านั้น หุ่นเชิดทั้งหลายพวกนี้ไม่ได้มีความรู้สึกเจ็บปวด, หวาดกลัว หรือกลัวที่จะต้องตาย

ฝานลี่เทียนขมวดคิ้ว ขวดน้ำเต้าของตัวเขาก็ได้เปล่งแสงสีทองออกมาอีกครั้ง ฝานลี่เทียนเลือกที่จะโยนมันออกไปที่หุ่นเชิดทั้งหลาย

หยวนเอ๋อ, จ้าวยู่, หมิงซี่หยินย และซู่ฮ่องกงเองก็กระโดดลงมาจากภูเขาทองเช่นกัน

ณ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความชุลมุน ทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยพลังจนดูวุ่นวาย พื้นที่ภายในหุบเขากว่าหลายร้อยเมตรเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย มันมีพลังปรากฏขึ้นจากทุกหนทุกแห่ง…

ลู่โจวได้เคาะไปที่หลังของวิซซาร์ดด้วยปลายนิ้ว วิซซาร์ดได้ลอยขึ้นไปบนฟ้าก่อนที่ตัวมันจะดูหายไปในอากาศอันเบาบาง สัตว์ขี่อย่างวิซซาร์ดเป็นสัตว์ขี่ที่เต็มไปด้วยพลังมงคล มันเป็นพลังที่จะทำให้ลู่โจวดูสะดุดตามากจนเกินไป ถ้าหากเป็นแบบนั้นลู่โจวคงจะถูกเจอตัวได้อย่างง่ายดายแน่ ดังนั้นตัวเขาจึงเลือกที่จะใช้บี่เอี๊ยนแทน สัตว์ขี่อีกตัวที่ไม่ได้ดูสะดุดตาแทน

ลู่โจวได้เดินไปยังก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังหุบเขาพร้อมกับบี่เอี๊ยน ลู่โจวเลือกที่จะสังเกตเหตุการณ์ทุกอย่างจากเงามืดแทน

คนอื่นๆ ต่างก็เข้าใจเรื่องนี้ได้ดีเมื่อเห็นผู้เป็นปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าหายตัวไป ศัตรูที่ทุกคนในตอนนี้กำลังเจอเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น เพราะแบบนั้นปรมาจารย์อย่างลู่โจวจึงไม่จำเป็นจะต้องจัดการกับเรื่องนี้ด้วยตัวเองเลย

สำหรับลู่โจว การที่ตัวเขาจะอยู่ต่อไปก็คงไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้ อย่างมากลู่โจวก็คงจะโบกธงส่งเสียงให้กำลังใจกับเหล่าสาวกที่กำลังสู้อยู่ก็เท่านั้น

ลู่โจวที่เฝ้าสังเกตการณ์การต่อสู้ที่อยู่ด้านล่างได้พึมพำออกมา “ไป่มาเต็มใจที่จะสละอายุขัยกว่า 200 ปีเพื่อที่จะทำลายศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ?”

จางหยวนฉานในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ตัวเขาได้เป็นผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ เท่ากับว่าไป่มาไม่ใช่คนที่อ่อนแอเลย เป็นไปได้ไหมว่ายู่ฉางตงจะถูกไป่มาจับเป็นตัวประกันหลังจากที่ยู่ฉางตงได้จัดการกับจางหยวนฉานได้? ลู่โจวไม่คิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นไปไม่ได้ซะทีเดียว

ในขณะที่ฝานลี่เทียนกำลังขับไล่ฉางจินอีกครั้ง ในตอนนั้นเองตัวเขาก็ได้พึมพำออกมา “เจ้านี่มีร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ”

เล้งลั่วได้ใช้พลังจากวิชาเต๋าพรางตัวเพื่อโจมตีเข้าใส่ฉางจิน ในตอนที่เล้งลั่วเปิดฉากการโจมตี ในตอนนั้นพลังฝ่ามือจำนวนมากก็ได้พุ่งเข้าใส่ฉางจิน เล้งลั่วที่โจมตีได้พูดออกมา “ฝานลี่เทียน โจมตีที่ด้านหลังหัวของมันซะ”

“ก็ได้ ข้าจะฟังเจ้าแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ” ด้วยความร่วมมือของเล้งลั่วทำให้ฝานลี่เทียนสามารถปลดปล่อยพลังอย่างเต็มที่ได้ ขวดน้ำเต้าของฝานลี่เทียนได้ปล่อยแสงสีทองออกมามากขึ้น แสงสีทองได้ขยายขนาดใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ก่อนที่ฝานลี่เทียนจะกู่ร้องออกมา “หลับให้สบาย!”

ตู๊ม!

ฝานลี่เทียนได้ใช้ขวดน้ำเต้าโจมตีฉางจินจากที่ด้านหลังศีรษะ

แคร๊ก!

เสียงของอะไรบางอย่างที่แตกหักได้ดังขึ้น

หุ่นเชิดฉางจินที่ถูกโจมตีได้สะบัดแขนอย่างเกรี้ยวกราด มันดูเหมือนจะบ้าคลั่งขึ้นมา แต่หลังจากนั้นไม่นานฉางจินก็ได้ถอยหลังกลับไป ท้ายที่สุดแล้วฉางจินก็ได้ล้มลง

“เจ้าคิดยังไงกับวิชาหลับให้สบายของข้ากัน?” ฝานลี่เทียนได้ถามเล้งลั่ว

เล้งลั่วไม่ได้ตอบคำถาม ตัวเขาได้เลือกที่จะถามกลับมา “มีวิชาแบบนี้อยู่ในสำนักแห่งความบริสุทธิ์ด้วยอย่างงั้นหรอ?”

“ไม่มี ข้าด้นสดเอาน่ะ” ฝานลี่เทียนได้ตอบกลับมาอย่างไร้ยางอาย

“…” เล้งลั่วพูดไม่ออก ตัวเขาได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหายไปจากสายตาของฝานลี่เทียน เล้งลั่วได้ลงหุบเขาไปแล้วนั่นเอง

“มันไม่ใช่ชื่อที่เท่หรอกหรอ?” ฝานลี่เทียนกระโดดตามไป

เล้งลั่วได้เคลื่อนไหวไปหาต้วนมู่เฉิงและคนอื่นๆ “เล็งไปที่ด้านหลังศีรษะของพวกหุ่นเชิดซะทุกคน!”

“สมแล้วที่เป็นผู้อาวุโสเล้งลั่ว ท่านมีความรู้กว้างขวางจริงๆ” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างสุภาพก่อนที่จะเคลื่อนไหวต่อไปอย่างรวดเร็ว ตัวเขาได้ใช้เคียวพื้นพิภพของตัวเองจู่โจมเข้าใส่หุ่นเชิดจำนวนมาก

ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!

ท้ายที่สุดแล้วหุ่นเชิดทั้งหลายก็เริ่มล้มลง

จากตำแหน่งที่ลอยอยู่เหนือทุกคน ฮั๊วยู่จิงเองก็เริ่มเล็งยิงไปที่ด้านหลังศีรษะของพวกหุ่นเชิดด้วยลูกธนูพลังงานของนางเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะยิงโดนด้านหลังของหุ่นเชิดพวกนั้นได้ ท้ายที่สุดแล้วนางก็ต้องรอให้หุ่นเชิดหันหลังให้กับนางก่อน แม้ว่าจะเล็งได้ยากขึ้นแต่ฮั๊วยู่จิงก็ยังสามารถจัดการหุ่นเชิดได้อยู่ดี

ในขณะเดียวกันลู่โจวที่อยู่หลังก้อนหินก็ได้แต่ถอนหายใจ หุ่นเชิดทั้งหมดล้วนแต่เป็นคนที่ตายแล้ว เป็นไปตามคาด ตัวเขาไม่ได้แต้มบุญจากการจัดการหุ่นเชิดเหล่านี้ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ลู่โจวเริ่มเกลียดของอย่างพวกเวทมนตร์คาถา

ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้เห็นเจ้าอาวาสซู่จิงลอยอยู่บนอากาศ นักบวชคนนี้กำลังลอยอยู่เหนือเหล่าหุ่นเชิด มีสาวกนักบวชอีกหลายสิบคนยืนอยู่ที่ด้านหลังของตัวเขา

“อมิตตาพุทธ ยังไงซะกาฝากก็ไม่มีวันที่จะเป็นต้นไม้ กระจกใสก็ไม่มีวันที่จะเป็นกระจกเงา”

ซู่จิงและสาวกของตัวเขาได้เปิดปากขึ้นมาก่อนที่จะเริ่มสวดพระสูตรอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่นานนักเสียงสวดพระสูตรก็ได้ดังขึ้นทั่วภูเขาทอง

“นี่มันเคล็ดวิชาอันยิ่งใหญ่ของชาวพุทธ วิชากระจกแห่งแสง”

เมื่อซู่จิงและเหล่านักบวชเริ่มสวดพระสูตร ในตอนนั้นวงแหวนก็ได้ส่องสว่างก่อนที่จะขยายอาณาเขตไป

ลู่โจวเคยเห็นวู่เหนียนใช้วิชานี้บนแท่นประลองดอกบัวมาก่อน ตัวเขาไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นพลังกระจกแห่งแสงที่มีระยะกว้างถึงเพียงนี้เมื่อเหล่านักบวชที่ร่วมมือกัน

เมื่อแสงจากวงแหวนตกลงสู่พื้นดิน แสงสว่างก็เริ่มขยายตัวต่อไปเมื่อเหล่านักบวชสวดพระสูตรต่อ

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้าอย่างพอใจ แม้ว่าเจียงอาเฉียนจะเป็นชายผู้ที่ขี้เกียจและไร้ยางอาย แต่ถึงแบบนั้นคำแนะนำจากเขาก็ยังดูใช้งานได้

ด้วยความช่วยเหลือจากซู่จิงและเหล่านักบวชทำให้การต่อสู้ในครั้งนี้พวกสาวกของลู่โจวชิงความได้เปรียบไปได้ ถ้าหากขาดซู่จิงและเหล่านักบวชไปการต่อสู้ในครั้งนี้ก็คงจะยากลำบากมากกว่านี้แน่

ผู้คนที่กำลังต่อสู้อยู่กับหุ่นเชิดที่เชิงเขาล้วนแต่เป็นยอดฝีมือของศาลาปีศาจลอยฟ้า มีทั้งเล้งลั่ว, ฝานลี่เทียน, หยวนเอ๋อ, ต้วนมู่เฉิง, หมิงซี่หยิน, จ้าวยู่ และซู่ฮ่องกง พวกเขาทุกคนล้วนแต่มีพลังที่เพิ่มมากขึ้นเพราะผลมาจากวิชากระจกแห่งแสง หลังจากนั้นไม่นานที่เชิงเขาก็เต็มไปด้วยพลังอวตาร

ในขณะที่การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ในตอนนั้นเองแสงสว่างจากเหล่านักบวชก็เริ่มส่องสว่างมากขึ้น

ในตอนนั้นเองไป่มาที่สังเกตเห็นแสงสว่างก็ได้ขมวดคิ้ว “นี่มันชาวพุทธอย่างงั้นหรอ?”

ไป่มาที่เห็นหุ่นเชิดทั้งหลายของตัวเองกำลังล้มลงไปกับการต่อสู้กับศัตรูก็ยังไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา แม้ว่าจะเป็นแบบนั้นตัวเขาก็ได้แต่กำหมัดแน่น

ไป่มาได้โบกมือขวาของตัวเอง “ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า…ข้าไม่คิดหรอกว่าเจ้าจะเต็มใจดูเหล่าสาวกของตัวเองกำลังตายไปในกองซากศพแบบนี้…”

ทันใดนั้นเองแสงสีม่วงก็ได้พุ่งเข้าหาเหล่านักบวช มันเป็นแสงที่มาจากรถม้าสีดำนั่นเอง

ดวงตาของเหล่านักบวชเบิกกว้างขึ้น เหล่านักบวชได้จ้องมองท้องฟ้าอย่างว่างเปล่า

“กงหยวน…ไปจัดการพวกมันซะ! พวกมันทั้งหมดคือศัตรูของเจ้า จงปลดปล่อยความเกลียดชังที่มีเพื่อทำลายทุกอย่างซะ!”

กงหยวนตายไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นกงหยวนก็ยังดูเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ไป่มาพูด ดวงตาของกงหยวนเบิกกว้างขึ้น

ตู๊ม!

ด้วยการเคลื่อนไหวที่เร็วดุจดั่งปีศาจทำให้กงหยวนบินออกมาจากวงแหวนเวทมนตร์คาถาของไป่มาก่อนที่จะพุ่งไปใกล้เหล่านักบวชที่กำลังรวมตัวกันภายในพริบตา ทันทีที่กงหยวนพุ่งตัวมาใกล้มากพอ พลังฝ่ามือสีดำจำนวนมากก็ได้ปรากฏขึ้นตามมาด้วย

“ระวัง!” ฮั๊วยู่จิงได้ตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง ในตอนนั้นเองนางก็เลือกที่จะจู่โจมไปที่กงหยวนด้วยธนูพลังงานสามดอก

ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!

ลูกธนูพลังงานทั้งหมดได้พุ่งเข้าหาพลังฝ่ามือสีดำก่อนที่จะหายไป

ในตอนนั้นเองลู่โจวที่เห็นเหตุการณ์ก็ได้แต่ขมวดคิ้ว

‘หุ่นเชิดที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ? เจ้านี่ได้ทุ่มทุกอย่างกับการโจมตีครั้งนี้จริงๆ ด้วย…’

ลู่โจวไม่เคยคิดชอบเวทมนตร์คาถามาก่อนเลย ยิ่งหุ่นเชิดที่ไป่มาควบคุมมีระดับที่สูงมากเท่าไหร่ สิ่งที่ลู่โจวใช้เพื่อที่จะจัดการกับมันก็จะต้องมีมูลค่าที่สูงขึ้นตามไปด้วย

ลู่โจวได้นึกถึงต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาที่ดูเหมือนจะเพิ่มจำนวนในช่วงหลังๆ มานี้ ‘หรือว่านี่จะเป็นการหยิบยืมพลังชีวิตจากสวรรค์กัน?’

ในเวลาเดียวกันซู่จิงที่ได้สวดพระสูตรอยู่ก็ได้เห็นพลังฝ่ามือสีดำที่กำลังใกล้เข้ามา เมื่อเห็นแบบนั้นตัวเขาจึงรีบใช้พลังพระพุทธองค์กายาทองคำในทันที

หวืออ!

ตู๊ม!

พลังฝ่ามือสีดำได้เข้าปะทะกับพลังฝ่ามือของซู่จิงที่ใช้พลังอวตาร การปะทะกันของสุดยอดพลังทั้งสองได้ทำให้เหล่าสาวกของซู่จิงกระเด็นถอยกลับไป

“ประจำที่เอาไว้! อย่าแยกกันเด็ดขาด!” ซู่จิงสั่งการเหล่าสาวกของตัวเอง

กงหยวนที่โจมตีไม่สำเร็จได้กระเด็นถอยกลับไปเช่นกัน

ฝานลี่เทียนได้โจมตีไปที่กงหยวนด้วยการเคลื่อนไหวที่ดูอ่อนช้อยราวกับนกนางแอ่น “ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้กับเจ้าเอง!” แม้ว่าฝานลี่เทียนจะยังไม่สามารถฟื้นฟูพลังวรยุทธทั้งหมดที่มีได้ แต่ถึงแบบนั้นครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบมาก่อน เป็นเรื่องยุติธรรมที่ผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบจะสู้กับผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบด้วยกันเอง ด้วยน้ำเต้าสุดยอดอาวุธที่ฝานลี่เทียนมี การที่จะรับมือกับกงหยวนได้ก็คงจะไม่ใช่ปัญหาอะไร พลังลมปราณของกงหยวนคงจะหมดลงในไม่ช้าก็เร็ว

ลู่โจวมองไปที่จำนวนหุ่นเชิดที่ยังเหลืออยู่ แม้ว่าจะใช้ความพยายามของเหล่าสาวกแล้วก็ตาม แต่ในตอนนี้จำนวนของหุ่นเชิดลดลงไปเพียงแค่หนึ่งในสามเท่านั้น ลู่โจวยังคงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะเหวี่ยงแขนและตะโกนออกมา “ซู่จิง รับนี่ไปซะ!”

ก่อนที่ซู่จิงจะรู้ว่าสิ่งที่ลอยมาคืออะไร ตัวเขาก็ได้คว้ามันเอาไว้ซะแล้ว “นี่มันลูกประคำอธิษฐาน?”

“มันก็คือลูกประคำชาวพุทธ ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของกงหยวนมาก่อน แม้ว่ามันจะมีเจ้าของเดิมที่เคยครอบครองไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นก็ยังดีกว่าที่ไม่มีอาวุธอะไรเลย”

เมื่อซู่จิงได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็รู้สึกดีใจมาก “อาตมาไม่กล้ารับความปรารถนาดีจากท่านปรมาจารย์จีได้แล้วจริงๆ ขอบคุณท่านปรมาจารย์จี!”

ในสายตาของลู่โจวอาวุธชิ้นนั้นเป็นเพียงแค่ขยะไร้ค่า ไม่เพียงแต่มันจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ แต่มันยังต้องการการขัดเกลาเพื่อทำให้มันเปลี่ยนเจ้าของได้อีกด้วย

ในทางตรงกันข้ามกันซู่จิงได้ทำราวกับว่าลูกประคำที่ได้รับไปเป็นสมบัติล้ำค่า ตัวเขารู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อได้รับมันมาจากลู่โจว