ตอนที่ 411 เถาจืออวิ๋นผู้เฉียบแหลมคล่องแคล่ว

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 411 เถาจืออวิ๋นผู้เฉียบแหลมคล่องแคล่ว

ครูหวังถามอย่างสงสัย “ทำไมเหรอ?”

หลินม่ายพูด “ฉันต้องทำธุรกิจค่ะ มีเรื่องที่ต้องจัดการไม่น้อยเลยในแต่ละวัน”

ครูหวังเองก็ได้ยินมาบ้างว่าเธอทั้งต้องเข้าเรียน ทั้งต้องทำธุรกิจไปด้วย

ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “มัธยมปลายไม่เหมือนมัธยมต้นนะ ความรู้ลึกและยากมาก ฉันกลัวว่าเธอที่ทั้งทำธุรกิจทั้งเรียนไปด้วย สุดท้ายจะคว้าอะไรไว้ไม่ได้ทั้งสองอย่าง ไม่สู้เธอมอบหมายงานธุรกิจให้คนในครอบครัวทำดีกว่า ส่วนตัวเธอเองตั้งใจเรียน เท่านี้ก็ดูแลได้ทั้งสองทางแล้ว”

หลินม่ายตอบด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ข้างบนของฉันคือคนแก่คนชราคู่หนึ่ง ข้างล่างก็เป็นเด็กที่อายุไม่กี่ขวบ จะมอบหมายให้ใครได้ล่ะคะ? อาจารย์วางใจเถอะค่ะ ฉันจะไม่หน่วงเหนี่ยวจนเสียการเรียนอย่างแน่นอน”

อย่าว่าแต่ตอนนี้เธอไม่มีใครให้ฝากฝังธุรกิจไว้เลย ต่อให้มี เธอก็ไม่ต้องการเข้าเรียนตามลำดับชั้นไปทีละก้าวหรอก ความคืบหน้ามันช้าเกินไป

เธอชอบเรียนเองที่บ้านมากกว่า รู้สึกก้าวหน้าเร็วกว่าเยอะ ซึ่งรับรองได้ว่าเธอจะเรียนจบชั้นมัธยมปลายได้โดยใช้เวลาเพียง 1 ปี จะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียที

ครูหวังขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

เขาไม่ชอบนักเรียนที่คุยโวโอ้อวดเป็นที่สุด

ทำธุรกิจไปด้วยเรียนไปด้วย แล้วจะไม่หน่วงเหนี่ยวจนเสียการเรียนได้อย่างไร?

ต่อให้อัจฉริยะก็ยังทำได้ยาก

เขาถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แล้วถ้าหากเสียการเรียนขึ้นมาจะทำยังไง?”

หลินม่ายตอบอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด “งั้นก็ย้อนกลับไปเรียนปีหนึ่ง เริ่มต้นใหม่อีกครั้งค่ะ”

ในใจของครูหวังมีคำพูดโน้มน้าวเป็นพันเป็นหมื่นคำที่ยังไม่ได้พูดออกมา ก็ถูกประโยคเดียวนั้นของหลินม่ายสกัดกั้นเอาไว้ที่ลำคอ

เขาพยักหน้าอย่างทั้งระอาทั้งโกรธนิดๆ “งั้นก็ได้ ขอแค่เธอไม่นึกเสียใจทีหลังก็พอ”

หลังกลับจากโรงเรียน หลินม่ายก็ไปที่วิลล่า

ทำอาหารกินคนเดียวมันไม่น่าอร่อย เธอจึงไปทำอาหารที่วิลล่าเสียเลย ทุกคนจะได้กินด้วยกัน

ตอนที่เธอขี่จักรยานมาถึงวิลล่า คุณย่าฟางก็ได้เตรียมวัตถุดิบที่จะทำอาหารเที่ยงเอาไว้แล้ว

หลินม่ายดันนางออกจากห้องครัว “คุณย่า คุณย่าออกไปเถอะค่ะ ในห้องครัวมีเตาย่างอยู่ตั้งสองเตา ร้อนจะตายไป!”

คุณย่าฟางเดินออกไปข้างพลางเอ่ยถาม “เป็นเธอใช่ไหมที่สั่งนมสดสี่ชุดมาให้พวกเราน่ะ?”

เช้านี้คนส่งนมมาส่งนมสด นางยังนึกว่าเขาส่งผิดเสียอีก

หลังจากถามแล้วถามอีก คนส่งนมก็บอกว่าหลินม่ายเป็นคนส่งมา จนตอนนี้นางก็ยังไม่ค่อยเชื่อ จึงถามหลินม่ายด้วยตัวเอง

หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ฉันแล้วยังมีใครอีกล่ะคะ? แต่ถึงจะมีคนอยากทำเรื่องดีๆ แบบนี้ ก็ต้องหาโควต้านมสดมาให้ได้ก่อนนะคะ”

คุณย่าฟางพูดพลางค้อนปะหลับปะเหลือก “ดูเธอเก่งเสียขนาดนี้ แล้วตัวเธอเองล่ะมีไหม?”

“มีแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าฉันไม่มี คุณปู่คุณย่าจะได้ดื่มอย่างสบายใจเหรอคะ?”

ตอนเที่ยง ทันทีฟางจั๋วหรานเลิกงานกลับมา ก็ชะโงกหัวเข้าไปในห้องครัวแล้วถามเรื่องนมสดเช่นเดียวกัน

หลินม่ายเอ่ยคำที่เคยพูดกับคุณย่าฟางกับเขาอีกรอบหนึ่ง

ฟางจั๋วหรานถามกระซิบข้างหูเธอ “คุณสั่งนมสดให้ตัวเองด้วยจริงๆ ใช่ไหม? ไม่ใช่นมผงนะ?”

ลมหายใจอุ่นๆ นั้นเป่ารดอยู่ข้างหูของหลินม่าย ทำเอาเธอรู้สึกทั้งชาทั้งอ่อนยวบจนหน้าแดงร้อนผ่าวใจเต้นรัว

เธอพูดอย่างแง่งอน “ถ้าไม่เชื่อพรุ่งนี้คุณก็ไปตรวจดูเองเลยสิ ดูว่าคนส่งนมได้มาส่งนมสดให้ฉันหรือเปล่า”

ฟางจั๋วหรานฉวยโอกาสตอนที่ในห้องครัวมีแค่พวกเขาสองคน แอบกัดใบหูเล็กของหลินม่ายเบาๆ ทำให้เธอยิ่งใจเต้นแรงเหมือนจะทะลุออกมา

เมื่ออาหารเที่ยงยกขึ้นโต๊ะ ฟู่เฉียงจึงรีบกลับมาอย่างเร่งร้อน

ในมือของเขาถือใบผลการตรวจใบหนึ่ง เมื่อเห็นหลินม่ายก็พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น “อาหญิงม่ายจื่อ ผลเพาะเชื้อของพ่อผมออกมาแล้วครับ!”

“ผลลัพธ์เป็นยังไงเหรอ?” หลินม่ายรีบถาม

“คุณหมอบอกว่า เป็นแบคทีเรียที่หายากชนิดหนึ่งครับ แบคทีเรียชนิดนี้จะกัดกินเซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ นำไปสู่ความผิดปกติของระบบเผาผลาญ…”

พูดถึงตรงนี้ เขาก็เกาศีรษะ “ที่จริงแล้วเรื่องที่คุณหมอพูดพวกนี้ผมฟังไม่เข้าใจเลย ผมฟังเข้าใจแค่ประโยคเดียว คุณหมอบอกว่า อาการป่วยของพ่อผมมีความเป็นไปได้สูงที่จะรักษาให้หายขาดได้ครับ”

หลินม่ายยิ้มพลางพูด “อย่างนั้นก็ดีเลย”

ฟางจั๋วหรานหยิบผลตรวจในมือของฟู่เฉียงขึ้นมาอ่านดู

หลินม่ายเองก็ขยับเข้ามาให้ ถามอย่างสงสัย “แบคทีเรียอะไรกันแน่ มันสุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอ?”

ฟางจั๋วหรานตอบ “คลอสทริเดียม เททานี(1)กลายพันธ์ุที่หายากชนิดหนึ่ง คนที่ติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้มีอัตราการตายสูงมาก เป็นเรื่องมหัศจรรย์ทีเดียวที่พ่อของฟู่เฉียงสามารถยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ได้ ในสถานการณ์ที่ไม่ได้มีการรักษาตามอาการแบบนี้”

“คลอสทริเดียม เททานี?” หลินม่ายถามอย่างฉงน “นั่นไม่ใช่แบคทีเรียที่มีสาเหตุจากบาดแผลบนผิวหนังหรอกเหรอ?”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “ใช่แล้ว เป็นไปได้ว่าตอนนั้นพ่อของฟู่เฉียงเกิดบาดแผล แต่เขาไม่ได้ใส่ใจนัก แบคทีเรียจึงแทรกซึมเข้าสู่บาดแผล”

คุณย่าฟางเชิญชวนทุกคนกินอาหารที่โต๊ะ “มีอะไรก็กินไปคุยไปเถอะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดหมด”

บนโต๊ะอาหาร หลินม่ายพูดถึงเรื่องที่ตนจะข้ามชั้นขึ้นมา

ทุกคนต่างประหลาดใจกันอย่างมาก ก่อนแสดงความยินดีกับเธอ

ฟู่เฉียงมองเธอด้วยดวงตาเป็นประกายเป็นครั้งคราว ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความนับถือเลื่อมใส

กินข้าวเสร็จ หลินม่ายก็กลับมาที่บ้านตัวเอง เธองีบหลับไปครึ่งชั่วโมง จากนั้นจึงตื่นขึ้นมาเรียนด้วยตัวเองครู่หนึ่ง ก็ถึงเวลาบ่ายสองโมง

เธอโทรหาเฉิงเฟิง เจิ้งซวี่ตง…ผู้รับผิดชอบทั้งหมด แจ้งให้พวกเขารีบมาการประชุมเสื้อผ้า Unique ภายในครึ่งชั่วโมง

หลังจากแจ้งให้ทราบแล้ว เธอก็เปลี่ยนเป็นใส่เสื้อสูท แล้วขี่จักรยานไปที่เสื้อผ้า Unique

เสื้อผ้าที่สวมเมื่อช่วงเช้านั้นทำให้เมื่อมองแวบแรกเธอก็ดูเหมือนนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่ง ไม่เหมาะกับที่ทำงาน

ต่อไปนี้เมื่อไหร่ที่ไปโรงงานหรือว่าที่ร้าน เธอจะใส่ชุดทำงานตลอด เพื่อให้ตัวเองดูภูมิฐานขึ้นสักหน่อย

เถาจืออวิ๋นรู้ว่าวันนี้หลินม่ายไปรายงานตัวที่โรงเรียน นอกจากนี้ยังคิดจะเรียนข้ามชั้นอีก

เมื่อเห็นเธอก็ถามขึ้น “เรื่องข้ามชั้นผ่านแล้วเหรอ?”

หลินม่ายชูสองนิ้ว “ผ่านแล้วล่ะ”

เถาจืออวิ๋นเอ่ยชม “สุดยอดเลย!”

จากนั้นจึงหยิบกระเป๋าสะพายไหล่ยีนส์สองใบเล็กหนึ่งใหญ่หนึ่งออกมาให้หลินม่าย “ฉันใช้ผ้ายีนที่เหลือจากการทำเสื้อผ้ามาทำน่ะ ของเธอกับโต้วโต้วคนละใบ”

หลินม่ายรับมาดู

กระเป๋ายีนใบเล็กใบใหญ่ทั้งสองใบต่างถูกตัดเย็บขึ้นอย่างประณีต

กระเป๋ายีนใบเล็กของโต้วโต้วยังปักเป็นรูปเป็ดน้อยน่ารักผูกโบว์ตัวหนึ่งอีกด้วย

หลินม่ายตื่นเต้นดีใจแทบไม่ไหว “พี่ฝีมือดีจริงๆ แม้แต่กระเป๋าสะพายไหล่ก็ยังทำได้ด้วย!”

เถาจืออวิ๋นกลอกตาใส่เธอ “มีอะไรยากกัน แค่มีมือก็ทำได้แล้วไม่ใช่หรือไง?”

หลินม่ายชี้ไปที่ยังลายเป็ดน้อยบนกระเป๋าสะพายยีนนั้นของโต้วโต้ว “ปักเจ้านี้ก็คงใช้เวลาไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ”

เถาจืออวิ๋นมองเธออย่างแปลกประหลาด “เธอคงไม่รู้จักการปักลายด้วยเครื่องสินะ? การปักลายด้วยเครื่องจักรนั้นเร็วมากเลยนะ”

“อ๊ะ! ฉันไม่รู้จริงๆ ใช้เครื่องจักรอะไรปักเหรอ?” หลินม่ายถามอย่างสงสัยใคร่รู้

เหรินเป่าจูที่อยู่ข้างๆ หัวเราะขึ้นมา “แน่นอนว่าปักด้วยจักรเย็บผ้าน่ะสิ”

ในชาติก่อนหลินม่ายไม่เคยเรียนการปักลายผ้ามาก่อนเลย แถมไม่รู้วิธีเย็บจักรด้วย

เมื่อได้ยินเหรินเป่าจูพูดว่าจักรเย็บผ้าสามารถปักลายได้ด้วย ก็รู้สึกอัศจรรย์ใจมาก

เถาจืออวิ๋นพูดกับเธอ “เสื้อเชิ้ตพวกนั้นที่เธอออกแบบครั้งนี้ ฉันก็อยากจะเพิ่มดีเทลการปักผ้าลงไปด้วยนิดหน่อย แต่กลัวว่าหากเพิ่มขั้นตอนการปักจะทำให้การผลิตช้าลง จนส่งผลกระทบต่อยอดขายก็เลยไม่กล้าวางแผน”

หลินม่ายลองสะพายกระเป๋าเป้ที่เถาจืออวิ๋นทำให้เธอขึ้น แล้วพูดอย่างสบายๆ “ต่อไปเพิ่มดีเทลลายปักเข้าไปก็ดีเหมือนกันนะ”

เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “เสื้อผ้าล็อตนี้ของช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ฉันก็เพิ่มดีเทลลายปักเข้าไปแล้วล่ะ”

หลินม่ายถอดกระเป๋าเป้บนหลังลงมา แล้วถาม “พี่ทำกระเป๋าหนังสือให้แค่ของฉันกับโต้วโต้ว ไม่ได้ทำให้ฉีฉีด้วยสักใบเหรอ?”

“ทำแล้ว” เถาจืออวิ๋นไม่เพียงหยิบกระเป๋าเป้ยีนใบเล็กขึ้นมาอีกแค่ใบเดียวเท่านั้น หล่อนยังหยิบกระโปรงยาวสามส่วนที่ทำจากเศษผ้ายีนขึ้นมาสองสามตัว เสื้อสูทยีนหนึ่งตัว และชุดยีนสำหรับเด็กอีกสองชุด

“กระเป๋าหนังสือใบนี้กับชุดเด็กชุดนี้เป็นของฉีฉีของบ้านเรา กระโปรงสามตัวนี้กับเสื้อสูทตัวนี้เป็นของเธอทั้งหมดเลย ส่วนชุดยีนของเด็กชุดนี้เป็นของโต้วโต้วบ้านเธอน่ะ”

หลินม่ายพูดขึ้นอย่างตื่นตะลึง “พี่ทำเยอะชะมัดเลย!”

พูดจบดังนั้น เธอก็เหลือบมองกระเป๋าหนังสือใบเล็กของฉีฉีเล็กน้อย บนนั้นได้ปักลายเป็ดน้อยตัวหนึ่งเอาไว้

เพียงแต่เป็ดน้อยตัวนี้ไม่ได้ผูกโบว์ สื่อความหมายว่าเป็นเป็ดตัวผู้

เถาจืออวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม “ผ้ายีนที่เหลือจากการทำเสื้อผ้า ฉันไม่ได้ขายต่อ ก็เอามาทำเสื้อผ้าให้เธอกับเจ้าหนูน้อยสองคนนั่นแหละ ผ้ายีนดีๆ ขนาดนี้ ในเมืองที่ห่างไกลทะเลของพวกเราแม้แต่ขายยังไม่มีขายเลย เศษผ้าแบบนี้เอาไปขายถูกๆ มันน่าเสียดายจะตายไป”

หลินม่ายวางกระเป๋าหนังสือใบเล็กของฉีฉีลง แล้วมองไปยังชุดยีนตัวเล็กที่เถาจืออวิ๋นทำให้ฉีฉีอีกครั้ง

เสื้อกับกางเกงยีนอย่างละหนึ่งตัว

เธอยิ้มพลางพูด “น่ากลัวว่าเสื้อผ้าเด็กทั้งประเทศคงไม่มีตัวไหนที่ใช้ผ้ายีนมาทำเลยล่ะ ถ้าฉีฉีได้ใส่เสื้อผ้ายีนชุดนี้ล่ะก็ จะต้องเป็นเจ้าหนูที่เฉิดฉายที่สุดในเมืองเจียงเฉิงแน่นอน”

เถาจืออวิ๋นหัวเราะจนตัวโยนอยู่ครู่หนึ่ง

หลินม่ายมองไปที่ชุดยีนที่หล่อนทำให้โต้วโต้วอีกที

เสื้อเบลาส์ติดระบายตัวหนึ่ง และกระโปรงสั้นที่มีระบายสามชั้นอีกตัวหนึ่ง

เธอพูดอย่างเสียดาย “น่าเสียดายที่พวกเราไม่ได้ขายเสื้อผ้าเด็ก ไม่อย่างนั้นแบบเสื้อผ้าเด็กที่พี่ออกแบบขึ้นมาจะต้องเป็นที่นิยมกันแน่!”

ผู้หญิงล้วนให้ความสนใจกับเสื้อผ้า

เหรินเป่าจูวางงานในมือลงแล้วเดินเข้ามามุงดู

ทันใดนั้นก็พูดเร่งเร้าอย่างอดไม่ได้ “หัวหน้าหลิน รีบลองเสื้อผ้าสิคะ ฉันอยากเห็นจนแทบทนรอไม่ไหวแล้ว”

หลินม่ายพูดอย่างลำบากใจ “จะลองยังไงล่ะคะ หัวหน้าโฮ่วยังอยู่ในสำนักงานอยู่เลย”

เหรินเป่าจูพลันไล่โฮ่วซินอี้ออกไป “พวกเราสาวๆ กำลังคุยกันเรื่องเสื้อผ้า ผู้ชายอกสามศอกแบบคุณจะอยู่ที่นี่ทำไมกันคะ? ออกไปเลยออกไปค่ะ!”

โฮ่วซินอี้ประท้วง “คุยเรื่องส่วนตัวในเวลาทำงาน จะหักโบนัสให้หมดเลย!”

ปากว่าเช่นนั้น แต่กลับออกจากห้องทำงานไปอย่างซื่อตรง แล้วจึงไปตรวจตราในโรงงาน

หลินม่ายเหล่ตามองเหรินเป่าจู “คุณไล่หัวหน้าโฮ่วออกไปแล้ว ฉันก็ยังลองไม่ได้อยู่ดี หน้าต่างสำนักงานก็ไม่มีผ้าม่านด้วย”

เถาจืออวิ๋นตบไหล่ของเธอเบา “เอาเถอะ อย่าเอะอะโวยวายเลยน่า ลองสวมทับทั้งอย่างนั้นเลย ไม่ต้องถอดเสื้อผ้าข้างในก็ได้”

เมื่อนั้นหลินม่ายจึงยิ้มพลางถอดเสื้อสูทตัวนอกออก แล้วสวมเสื้อแจ็กเก็ตที่ทำจากผ้ายีนที่เถาจืออวิ๋นทำให้เธอเข้าไป ก่อนจับคู่กับกระโปรงทรงเอยาวผ่าข้างถึงสะโพกอีกตัวหนึ่ง

ทันใดนั้นเหรินเป่าจูก็อุทานอย่างตกตะลึง “นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเอาผ้ายีนมาทำเสื้อแจ็กเก็ต พอใส่แล้วจะดูดีขนาดนี้! แถมกระโปรงยาวทรงเอผ่าข้างถึงสะโพกก็ดูดี มีเสน่ห์ของหญิงสาวล้นเหลือเลย!”

หลินม่ายได้ลองสวมกระโปรงทรงเอยาวสามส่วนแบบไม่มีผ่าข้างตัวหนึ่งและกระโปรงสั้นที่มีระบายสามชั้นดูรอบหนึ่ง

รูปแบบของกระโปรงยีนสามตัวกับเสื้อแจ็กเก็ตยีนนี้จะเป็นที่เห็นได้ทั่วไปในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่ในแผ่นดินใหญ่ยุคนี้กลับไม่มีให้เห็นเลย

หลินม่ายนึกชื่นชมอยู่ในใจอย่างเลื่อมใส

เถาจืออวิ๋นมีพรสวรรค์ในด้านการออกแบบเสื้อผ้าจริงๆ แนวคิดของหล่อนล้ำหน้าอย่างมาก

เธอพูดด้วยรอยยิ้ม “กระโปรงสั้นติดระบายสามชั้นนี้เหมือนกับของโต้วโต้วตัวนั้น ใส่เป็นชุดครอบครัวได้เลย”

เถาจืออวิ๋นถามอย่างสงสัย “ชุดครอบครัวหมายความว่าอะไรเหรอ?”

หลินม่ายถอดเสื้อผ้าที่ลองไปพลาง อธิบายไปพลาง “ชุดครอบครัวก็คือ เสื้อผ้าที่พ่อแม่ใส่เหมือนกันกับลูกน่ะ”

เธอพูด “พี่เองก็ทำชุดครอบครัวให้พี่กับฉีฉีใส่กันได้นะ”

เถาจืออวิ๋นโบกมือ “ฉันใช้ผ้าของโรงงานมาทำเสื้อผ้าให้ฉีฉีสองชุดก็มากเกินไปแล้ว ยังให้ทำให้ตัวเองอีกเหรอ?”

เหรินเป่าจูแนะนำ “กระโปรงยีนกับเสื้อแจ็กเก็ตพวกนี้ที่หัวหน้าเถาทำออกมาต่างก็เหมาะกับเด็กสาววัยรุ่น พวกเราสามารถเปิดตัวเสื้อผ้ายีนพวกนี้ได้เลยนะคะ”

เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “ฉันเองก็กำลังมีความคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน วางแผนไว้ว่าจะเปิดตัวในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์น่ะ”

ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่ พวกเฉินเฟิงต่างทยอยกันมาถึงแล้ว

ทันทีที่เฉินเฟิงเดินเข้ามาก็ถามขึ้น “ทำไมจู่ๆ ถึงจะประชุมขึ้นมาล่ะ?”

หลินม่ายเก็บเสื้อผ้าและกระเป๋าพวกนั้นไปพลางพูดขึ้น “ต่อจากนี้ไปก็อาจจะต้องเปิดการประชุมกันสัปดาห์ละหนึ่งครั้งนะ”

………………………………………………………………………………………………………………………….

(1)คลอสทริเดียม เททานี (Clostridium tetani) เป็นแบคทีเรียในดินที่พบได้ทั่วไป และเป็นตัวก่อโรคบาดทะยัก

สารจากผู้แปล

ถ้าเป็นแบคทีเรียก็ยังพอรักษาได้อยู่ แต่ถ้าเป็นไวรัสก็คงจะยากหน่อย

ม่ายจื่อจะส่งมอบงานให้ใครบ้างล่ะเนี่ย

ไหหม่า(海馬)