ตอนที่ 412 การวางแผนธุรกิจ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 412 การวางแผนธุรกิจ

ทุกคนตามหลินม่ายมายังห้องประชุม

หลังจากที่ทุกๆ คนนั่งลงกันหมดแล้ว หลินม่ายก็มองไปรอบๆ รอบหนึ่ง “ทุกคนอาจจะยังไม่รู้ ว่าฉันได้จดทะเบียนบริษัทหลักแล้ว ซึ่งก็คือบริษัทว่านทง ที่ฉันไม่ได้แจ้งให้ทุกคนทราบมาตลอดเพราะตอนนั้นสาขาย่อยภายใต้บริษัทหลักมีน้อยมาก นอกจากนี้ยังเป็นกิจการที่เริ่มก่อตั้งทั้งหมด จึงไม่จำเป็นต้องบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ แต่ตอนนี้ สาขาเหล่านั้นมีมากขึ้นแล้ว นอกจากนี้ทุกๆ สาขาต่างก็กำลังเติบโตขึ้นด้วย หากไม่มีการจัดการแบบรวมศูนย์ ต่อไปฉันคงต้องใช้เวลากว่าค่อนวันวิ่งเต้นไปตามแต่ละสาขาทุกวัน เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน ต่อไปนี้จะมีการประชุมในทุกเช้าวันจันทร์ เพื่อให้ฉันสามารถติดตามสถานการณ์ของแผนกต่างๆ ได้ทันท่วงที”

ทุกคนต่างพยักหน้าแสดงความเห็นชอบ

หลินม่ายพูด “ประเด็นสำคัญของการประชุมในวันนี้คือการรับฟังแผนหรือข้อเสนอแนะต่อโอกาสในการพัฒนาของสาขาที่ตัวเองบริหารจัดการอยู่ของแต่ละท่านค่ะ”

เฉิงเฟิงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก “ทางฉันไม่มีทั้งแผนทั้งโอกาส แค่ต้องการทำโครงการของรัฐบาลในตอนนี้ให้ดีเท่านั้น”

หลินม่ายมองไปทางเขา “ถึงนายจะไม่มีแผนแต่ฉันมีนะ ฉันต้องการก่อตั้งอสังหาริมทรัพย์ว่านทงขึ้น และแต่งตั้งนายขึ้นเป็นรองประธานของสำนักงานใหญ่ รับผิดชอบงานของอสังหาริมทรัพย์ว่านทงโดยเฉพาะ อีกเดี๋ยวนายก็ไปขึ้นทะเบียนอสังหาริมทรัพย์ว่านทงที่สำนักงานพาณิชย์ให้หน่อยนะ”

ชาติก่อนแม้ว่าหลินม่ายจะทำธุรกิจอาหาร แต่ก็ให้ความสนใจกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นี้อยู่พอสมควร

ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด อสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นธุรกิจที่ตักตวงกำไรได้มหาศาล และยังหาเงินได้เร็วอีกด้วย

เธอนึกอยากจะก้าวเข้าสู่วงการอสังหาริมทรัพย์อยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีความกล้ามากพอ

ครั้งหนึ่งเธออยากจะใกล้ชิดกับผู้จัดการใหญ่ของอสังหาริมทรัพย์ว่านเค่อที่มีค่อนข้างมีอิทธิพลในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ในชาติที่แล้ว ให้เขาพาตัวเองแสร้งทำเป็นทะยานขึ้นไปด้วยกัน

แต่ประธานผู้มีทรัพย์สินนับแสนล้านจะเห็นเถ้าแก่เนี้ยธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่สินทรัพย์พอถูไถได้แค่ไม่กี่สิบล้านอยู่ในสายตาได้อย่างไร

ใครๆ ก็ดูถูกดูแคลนเธอ ดังนั้นในชาติก่อนหลินม่ายจึงไม่เคยได้ก้าวเข้าสู่วงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เลย

ทว่าเธอให้ความสนใจกับว่านเค่อกรุ๊ปอยู่เสมอ

เธอจำได้ว่า ว่านเค่อกรุ๊ปนั้นก่อตั้งในปี 1984 และเริ่มดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 1988 จากนั้นก็ได้เติบโตขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์มาโดยตลอด

ในชาตินี้ เธอสามารถเลียนแบบเส้นทางความสำเร็จของว่านเค่อได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ส่วนผลกระทบวงคลื่นที่เกิดจากการฉกชิงโอกาสในอนาคตของเธอนั้น เป็นไปได้อย่างมากว่าจะทำให้ว่านเค่อกรุ๊ปไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะออกสู่โลกเลยทีเดียว ซึ่งนั่นก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของเธอ

วงการธุรกิจก็เหมือนกับสนามรบ ใครจะมาสนใจว่าใครอยู่ใครจะไปกัน?

แค่เดินไปตามเส้นทางของตน และทำให้คนอื่นหมดหนทางที่จะเดินไป

เฉินเฟิงยิ้มมุมปาก “แต่งตั้งตำแหน่งใหญ่โตให้ฉันขนาดนี้ ฉันคงไม่ทำให้ดีไม่ได้แล้วสิ”

ทุกคนต่างพากันหัวเราะออกมาเบาๆ

หลินม่ายเบนสายตาไปยังวังเสี่ยวลี่ “ว่าไง เธอมีแผนหรือคำแนะนำอะไรต่อร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่วไหม”

วังเสี่ยวลี่ไม่มีการเตรียมตัวใดๆ มาเลย เมื่อถูกเรียกชื่อจึงพูดขึ้นด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “แม้ว่าธุรกิจของร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่วจะดีมาก แต่ฉันแค่อยากรักษาสภาพในปัจจุบันเอาไว้ ไม่มีแผนอะไรค่ะ”

หล่อนเห็นทุกคนต่างมองมาที่ตน จึงอธิบายอย่างค่อนข้างลำบากใจ “เกณฑ์การเปิดร้านเซาเข่ามันค่อนข้างต่ำ ใครก็สามารถทำได้ ดูจากถนนเส้นนั้นของพวกเราสิ ก็มีร้านเซาเข่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การแข่งขันเองก็ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน การรักษายอดรายได้ในตอนนี้เอาไว้ และเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง ฉันคิดว่า…ก็โอเคแล้วค่ะ”

พูดจบก็มองไปยังหลินม่ายอย่างละอายเล็กน้อย

รู้สึกว่าตนนั้นเป็นถึงผู้จัดการร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่ว แต่กลับไม่สามารถคิดแผนพัฒนาร้านเซาเข่าออกมาได้ หล่อนไม่มีหน้าจะมองใครแล้วจริงๆ

แต่หลินม่ายกลับไม่มีความคิดจะตำหนิหล่อนแต่อย่างใด “อีกเดี๋ยวเธอช่วยเอาสมุดบัญชีของร้านเหรินเจียนเยียนหั่วมาให้ฉันดูหน่อย ถ้าผลประกอบการกับกำไรไม่เลวและมั่นคงดี ก็พิจารณาการเปิดสาขาย่อยได้”

วังเสี่ยวลี่พยักหน้า

หลินม่ายจึงเชิญให้เจิ้งซวี่ตงเสนอบ้าง

เจิ้งซวี่ตงพูด “ผมคิดว่าร้านอาหารเช้าเปาห่าวชือสามารถเปิดร้านสาขาได้แล้ว แต่มักจะมีลูกค้าจากอู่ชางและฮั่นหยาง กระทั่งจากชิงซานบ่นอยู่บ่อยๆ บอกว่าพวกเขาจะได้กินซาลาเปาเกี๊ยวอาหารเหล่านี้ของร้านเปาห่าวชือสักครั้ง มันยากเย็นเสียเหลือเกิน ต้องนั่งรถอยู่หลายชั่วโมงเลยทีเดียว”

หลินม่ายพยักหน้า “เดี๋ยวคุณทำแผนโครงการให้เรียบร้อย ว่าแต่ละเขตจะเปิดร้านสาขากี่ร้าน เลือกที่ตั้งไว้ที่ไหน แล้วยื่นรายงานให้ฉันนะคะ”

เจิ้งซวี่ตงพยักหน้า แล้วพูดอีกครั้ง “ร้านของเรามักจะมีลูกค้าถามถึงการจัดส่งอาหาร พวกเรา… พิจารณาเรื่องกิจการนี้ได้ไหม?”

วังเสี่ยวลี่เองก็พูดขึ้น “ร้านของเราเองก็มีลูกค้าร้องขอเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ เหมือนกันค่ะ”

เจิ้งซวี่ตงพูด “ถึงยังไงพวกเราทั้งสองร้านต่างก็มีโทรศัพท์ ขอแค่ลูกค้าโทรศัพท์มาสั่งอาหาร พวกเราก็สามารถส่งคนไปส่งอาหารได้ ในภาพยนตร์ฮ่องกงก็มีหนุ่มน้อยเดลิเวอรี่ส่งอาหารไม่ใช่เหรอ? พวกเราเองก็ทำได้เหมือนกัน”

หลินม่ายพยักหน้าเล็กน้อย “ความคิดของคุณก็ดีนะคะ แต่คุณมองข้ามไปเรื่องที่เศรษฐกิจของเรากับฮ่องกงนั้นห่างกันเป็นแสนลี้ ฮ่องกงเขาแค่งานล้างจาน ค่าจ้างแต่ละเดือนก็สองพันกว่าดอลลาร์ฮ่องกงแล้ว ส่วนพวกเราน่ะรองศาสตราจารย์สาขาศัลยศาสตร์คนหนึ่ง เงินเดือนเดือนหนึ่งยังแค่หกร้อยกว่าเท่านั้นเอง ที่ฮ่องกง ใครๆ ก็ซื้อจักรยานกันได้ แต่ละบ้านมีโทรศัพท์กันทั้งนั้น แต่พวกเราที่นี่ จักรยานเป็นสินค้าราคาแพง โทรศัพท์ก็ยิ่งไม่เป็นที่แพร่หลาย ถ้าคุณอยากจะจัดคนส่งอาหาร ก็จำเป็นต้องมีจักรยาน ซึ่งในจุดนี้ยังไม่สามารถทำได้จริง นอกจากนี้หากลูกค้าบอกที่อยู่ไม่ถูกต้องแม่นยำ ลูกค้าไม่อยู่ที่บ้าน หรือคนส่งอาหารติดต่อกับลูกค้าไม่ได้เพราะไม่มีโทรศัพท์ ก็จะส่งอาหารล้มเหลว นับว่าเป็นความเสียหายทั้งนั้น ดังนั้นตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะขยายกิจการนี้หรอก รออีกสักสองสามปีเถอะค่ะ”

เจิ้งซวี่ตงครุ่นคิดเล็กน้อย เขาไม่ได้คัดค้านใดๆ แต่ก็ต้องการที่จะขยายพื้นทางธุรกิจของร้านเปาห่าวชือในปัจจุบันออกไป

เหตุผลก็คือ ทุกวันหลัง11โมง ลูกค้าจะแน่นขนัดร้าน มักจะมีลูกค้ามารอโต๊ะ และต้องรอเป็นเวลานานมากอยู่บ่อยๆ

วังเสี่ยวลี่เบิกตากว้างอย่างตระหนก “คุณอยากจะขยายพื้นที่ธุรกิจออกไป คงไม่ใช่จะให้ร้านเหรินเจียนเยียนหั่วของเราย้ายพื้นที่ให้คุณหรอกใช่ไหมคะ?”

เจิ้งซวี่ตงลูบจมูกของตัวเองเล็กน้อย โดยไม่ได้เอ่ยอะไร ซึ่งเป็นการยอมรับคำพูดของหล่อนโดยนัย

วังเสี่ยวลี่โมโหขึ้นมาในฉับพลัน แล้วสะบัดหน้าใส่เขา

หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเราจะถกเถียงกันเพื่อเรื่องงานได้ และโมโหได้เช่นกัน แต่จะผูกพยาบาทกันไม่ได้นะคะ”

วังเสี่ยวลี่พูดอย่างขุ่นเคือง “ไม่ผูกพยาบาทหรอกค่ะ ก็แค่โมโหมากๆ ทำไมร้านของเขาจะขยายพื้นที่ แล้วต้องมาเอาพื้นที่ของร้านเซาเข่าของฉันด้วย?”

หลินม่ายพูดอย่างจริงจัง “พวกคุณแต่ละคนจะคิดถึงแต่พื้นที่เล็กๆ ของตัวเองไม่ได้ พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ต้องมองภาพโดยรวม หากร้านเปาห่าวชือขยายพื้นที่แล้ว สร้างผลกำไรได้มากกว่าร้านเหรินเจียนเยียนหั่ว อย่างนั้นเหรินเจียนเยียนหั่วก็ควรจะจัดพื้นที่ว่างให้”

วังเสี่ยวลี่ได้ยินก็เสียกำลังใจอย่างมาก

หลินม่ายพูดปลอบใจหล่อน “หากจำเป็นต้องให้เธอย้ายพื้นที่จริงๆ ฉันเองก็จะจัดเตรียมร้านเหรินเจียนเยียนหั่วให้อย่างดี”

วังเสี่ยวลี่บ่นอุบอิบ “กว่าจะสะสมลูกค้าได้สักกลุ่มหนึ่งมันยากแค่ไหน พอเปลี่ยนสถานที่ก็ต้องสะสมลูกค้าใหม่อีกครั้งหนึ่ง ก็ไม่ต่างจากเปิดร้านใหม่เลย”

“ฉันจะเลือกที่ที่อยู่ใกล้เคียงให้ใหม่ พยายามไม่ให้เสียลูกค้าไปให้มากที่สุด”

หลินม่ายหันไปมองเจิ้งซวี่ตง “ตอนนี้ยังไม่ต้องขยายพื้นที่ธุรกิจของร้านเป่าห่าวชือที่ถนนเจี่ยเฟิงไปก่อนชั่วคราว ปล่อยให้ลูกค้ารอโต๊ะไปก่อน ถ้ามีลูกค้าที่ใจร้อนรอไม่ไหว ก็เตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เพื่อมอบให้เป็นการขอโทษ ถ้าลูกค้าได้รับการชดเชยแล้ว ก็จะไม่เกิดการร้องเรียน พอเหรินเจียนเยียนหั๋วเปิดร้านสาขาในพื้นที่ใกล้เคียง และกิจการมั่นคงแล้ว ค่อยโยกย้ายพื้นที่ของเหรินเจียนเยียนหั่วให้กับร้านเปาห่าวชือ”

วังเสี่ยวลี่ได้ยินคำพูดนั้น ในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อยในที่สุด

หากรอให้ร้านสาขาที่เปิดอยู่ข้างเคียงตั้งหลักได้อย่างมั่นคงแล้ว ค่อยยุติร้านในตอนนี้ หล่อนก็ยังพอจะรับได้อยู่

เดิมทีหลินม่ายคิดจะแต่งตั้งเจิ้งซวี่ตงเป็นรองประธานอีกคนหนึ่งในวันนี้ รับผิดชอบดูแลส่วนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มนี้

แต่เมื่อเห็นว่าวังเสี่ยวลี่มีอารมณ์ไม่สู้ดีนัก เธอจึงวางแผนว่าจะชะลอเรื่องนี้ออกไปเล็กน้อย

เพื่อไม่ให้วังเสี่ยวลี่กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจิ้งซวี่ตงอย่างกะทันหัน และทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมา

ในบริษัทหนึ่ง การบริหารจัดการเป็นลำดับขั้นที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมีความสำคัญมาก

หลังจากถามถึงโอกาสในอนาคตและแผนงานของแต่ละสาขาแล้ว หลินม่ายก็เริ่มถามถึงการรับมือในเทศกาลวันไหว้พระจันทร์และวันชาติที่กำลังจะมาถึงของตลาดสด โรงงานเสื้อผ้าและร้านอาหารทั้งสองร้าน

ในด้านตลาดสดฝูตัวตัว เฉินเฟิงได้มอบหมายให้จ้าวเลี่ยงผู้เป็นมือขวาของเขาจัดการไปแล้ว

ตอนนี้จ้าวเลี่ยงจึงกลายเป็นผู้จัดการของตลาดสดฝูตัวตัว

ซึ่งคนที่หลินม่ายถามถึงเป็นอันดับแรกก็คือเขา

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อย่าเพิ่งขอแบ่งพื้นที่ดูแลกันเลยค่ะ ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่งั้นเดี๋ยวผิดใจกันยาว

ไหหม่า(海馬)