นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 255 หย่า 4
กุ้ยหลานเดาไม่ผิด เหล่าไท่ไท่ดึงตัวโจวคายจือเข้ามาในบ้านของตัวเอง แล้วให้นั่งลงบนเตียงเตาของนาง มองหน้าโจวคายจือ พลางถอนหายใจเฮือก: “คายจือเอ๊ย คำพูดของกุ้ยหลานนั่นเจ้าอย่าไปเชื่ออย่าไปฟังเลยนะ ถ้าต้องหย่าขึ้นมาจริง ๆ ชีวิตจากนี้ของเจ้าจะทำยังไงล่ะ? ไหนจะพวกลูก ๆ ของเจ้าอีก ? ผู้เฒ่าตระกูลซุนนั่น จะยอมปล่อยให้เจ้าพาหลานชายหลานสาวตระกูลซุนออกไปได้ง่าย ๆ รึ?”
“ยาย พวกเราจะอยู่กับแม่แน่นอนเจ้าค่ะ” ต้าญาไม่รอให้โจวคายจือเอ่ยปาก ก็ชิงพูดเสียงดังฟังชัดขึ้นมาก่อนแล้ว
“เด็กอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร อย่าสอดปาก!” เหล่าไท่ไท่ตวาดด่าต้าญาไปประโยคหนึ่ง
กับเหล่าไท่ไท่ ต้าญายังค่อนข้างจะเกรงกลัวนางอยู่บ้าง นี่เป็นความยำเกรงที่นางรู้สึกมาตั้งแต่ยังเด็ก ครั้งนี้นางทำแค่หุบปากไว้ไม่กล้าต่อปากต่อคำอีก แต่ในใจยังคงคิดว่าอยากให้แม่พานางกับพวกน้องชายน้องสาวออกมา แล้วไปใช้ชีวิตของตัวเองอย่างอิสระ
โจวคายจือก้มหน้างุด ทั้งบิดทั้งหมุนนิ้วมือไปมา รู้สึกกระวนกระวายไม่สบายใจ แต่เมื่อนึกถึงลูก ๆ ของนาง ก็ดูเหมือนว่านางจะตัดสินใจได้: “แม่ ท่านคนเดียวก็เลี้ยงพวกต้าไห่ขึ้นมาจนโตได้ด้วยตัวเอง เพื่อลูก ๆ ของข้าแล้ว ข้าก็ไม่กลัวความลำบากหรือความเหน็ดเหนื่อยหรอก….”
“ลำบากกับเหน็ดเหนื่อย? คายจือเอ๊ย สมองของเจ้ามันคิดไม่ได้แล้วหรือยังไงกัน? ที่นี่ผู้ชายเป็นเหมือนดั่งเทพเจ้าในบ้าน ถ้าในบ้านเจ้ามีผู้ชาย ต่อให้เป็นตัวไร้ประโยชน์แค่ไหน ถ้าใครคิดจะเหยียบย่ำก้ำเกินบ้านเจ้า ก็ยังต้องชั่งน้ำหนักหาผลได้ผลเสียก่อน แต่ถ้าบ้านเจ้ามีแต่ผู้หญิงกับเด็ก ๆ ใครมันก็เข้ามาเหยียบเข้ามาย่ำได้ทั้งนั้น เจ้าจะร้องไห้ฟูมฟายแค่ไหนก็ไม่มีคนสนใจหรอก เจ้ารู้บ้างไหม?”
เหล่าไท่ไท่เกลี้ยกล่อมลูกสาวคนโตด้วยความหวังดีจากก้นบึ้งของหัวใจ
“แม่ ถ้าเรายังอยู่ที่บ้านนั้นต่อไป น่ากลัวว่าไม่ต้องรอให้คนนอกมาเหยียบ พวกเราก็คงตายกันหมดไม่มีเหลือแล้วล่ะ….” โจวคายจือพูดพลาง น้ำตาก็ไหลออกมาอีก จากนั้นก็ยื่นมือออกไปดึงต้าหู่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เข้ามา ถลกเสื้อของเขาขึ้น จึงเห็นว่าที่แผ่นหลังนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่กระจายกันแบบหนาแน่นถี่ยิบ
เหล่าไท่ไท่ดวงตาหดเกร็ง “นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง?”
“เป็นคนในบ้านนั้นตี ทั้งพ่อผัวแม่ผัว ยังมีพวกลุงพวกอาทั้งหลายนั่นอีก พอพวกเขาไม่พอใจขึ้นมาก็จะตีพวกเด็ก ๆ ระบายอารมณ์” โจวคายจือพูดจบ ก็ปล่อยมือจากต้าหู่ แล้วเอื้อมไปอุ้มซานญาขึ้นมา ช่วยถอดเสื้อนอกของนางออก เมื่อเสื้อถูกเลิกขึ้นจึงเผยให้เห็นส่วนเล็ก ๆ ตรงช่วงเท้า ที่น่องของนางมีรอยแผลเป็น ซึ่งเป็นรอยแผลลวกขนาดใหญ่รอยหนึ่ง “นี่ไม่ใช่รอยที่เกิดมาพร้อมกับซานญา แต่เป็นเพราะคนตระกูลซุนพวกนั้นใช้นางที่เป็นแค่เด็กสามขวบไปยกน้ำร้อน นางถือไม่ไหวน้ำร้อนจึงหกลวกใส่ขา….”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ โจวคายจือก็ยกมือขึ้นปิดปาก ด้วยกลัวว่าตัวเองจะร้องไห้ออกมาอีก
ในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้นางเองก็รู้อยู่แก่ใจดี ว่าลูก ๆ ของนางต้องใช้ชีวิตแบบไหนในบ้านตระกูลซุนนั่น แต่นางจะทำอะไรได้ล่ะ? นางแต่งเข้าไปในบ้านนั้นแล้ว ต่อให้นางจะตายก็ต้องตายในบ้านตระกูลซุน
“ไอ้พวกตระกูลซุนมันมีแต่สัตว์เดียรัจฉานทั้งนั้น!” เหล่าไท่ไท่โกรธจัด เงื้อมือขึ้นทุบลงบนเตียงเตาแรง ๆ ไปหนึ่งฉาด
โจวคายจือทำได้แค่ร้องไห้สะอึกสะอื้น นางเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งเข้าไปในบ้านที่มีแต่คนใจดำแบบนั้น นางจะทำอะไรได้?
เป็นเพราะนางตาบอดแท้ ๆ ที่ไปตกหลุมรักซุนโก่วต้าน ไม่เพียงทำร้ายตัวเองอย่างแสนสาหัส แต่ยังทำร้ายลูก ๆ ของนางด้วย
“ร้องไห้ ๆ ๆ เจ้ามันก็รู้จักแต่ร้องไห้! ลูกของเจ้าถูกคนอื่นรังแกขนาดนี้แล้ว เจ้าก็ไม่โวยวายอะไรสักคำเลยรึ? เอะอะอาละวาดสิ สู้พวกมันสิ ทำให้ไอ้พวกตระกูลซุนนั่นมันอยู่กันไม่เป็นสุขเข้าสิ!” เหล่าไท่ไท่ทนมองคนที่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ไม่ได้ที่สุดแล้ว ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรซักอย่าง!
โดยเฉพาะลูกสาวคนโตของนางคนนี้ ทำงานก็เก่ง ทั้งมีบ้านแม่ที่คอยประคับประคองอยู่ข้างหลัง ทำไมถึงได้ทำจนตัวเองต้องมาใช้ชีวิตที่มันบัดซบได้ขนาดนี้?
“ข้ากลัวว่าบ้านเขาจะหย่าข้า แม่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรไม่ฟังแม่เอาแต่รั้นจะแต่งเข้าตระกูลซุนให้ได้ ข้าผิดไปแล้วจริง ๆ!”
ในใจของโจวคายจือรู้สึกสำนึกผิดแทบตายแล้ว ทั้งร้องไห้ทั้งคร่ำครวญ ขณะที่พร่ำรำพัน สองเท้าก็พลันอ่อนแรง ทรุดฮวบลงไปคุกเข่ากับพื้น ร้องไห้อย่างน่าเวทนา
ในใจของเหล่าไท่ไท่ก็ทุกข์ทรมานเช่นกัน พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นพวกเด็ก ๆ ต่างจ้องมองนางด้วยแววตาที่คาดหวังรอคอย
นางถอนหายใจเฮือก พูดด้วยน้ำเสียงจนใจว่า: “ตอนนี้เจ้ามาพูดถึงเรื่องพวกนี้ คิดจะให้พวกลูก ๆ ได้มาเห็นความน่าขบขันของแม่ตัวเองรึ?”
“ยาย ข้าอยากอยู่กับท่านและแม่ที่นี่ ข้าอยากได้กินข้าวอิ่มท้อง….” ซานญากำชายเสื้อตัวเองแน่น พูดเสียงแผ่วเบา
นางชอบบ้านยาย อยู่ที่นี่นางได้กินข้าวอิ่ม….
พอเสี่ยวหู่เห็นว่าซานญาพูดออกมาแล้ว ก็เอ่ยปากตามทันที: “ข้าก็ไม่อยากไปบ้านตระกูลซุน ไม่ชอบปู่กับย่า!”
ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็ยังเป็นแค่เด็กเล็ก ๆ พอต้องมาคุยถึงเรื่องอะไรแบบนี้ จึงไม่มีความวิตกกังวลใด ๆ
เหล่าไท่ไท่เกิดความรู้สึกสับสนว้าวุ่นไปหมด ในใจอึดอัดทรมานจนชั่วขณะหนึ่งไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ พลันอดทอดถอนใจไม่ได้ วันนี้หนอ ช่างเป็นวันที่สารพัดความคับข้องใจมันประเดประดังเข้ามาซะจริง ๆ เลย…..
ป้าซุนเอียงหน้ามองไปในบ้าน พอเห็นว่าทุกคนต่างก็กำลังเกลี้ยกล่อมกุ้ยหลาน นางก็รู้สึกลำพองใจสุดขีด “ข้าว่านะ อีกเดี๋ยวกํานันก็จะมาแล้ว ถ้าหย่ากันจริง ๆ แบบนั้นพี่สาวของเจ้าก็ไม่มีทางใช้ชีวิตต่อไปได้แล้ว! ”
โจวกุ้ยหลานไม่สนใจนาง หันไปตอบรับคำพูดของบรรดาย่ายายที่อยู่ข้าง ๆ ต่อ
คนธรรมดาทั่วไปที่เห็นฉากนี้ ส่วนมากก็คงจะเดาไปว่าหรือกุ้ยหลานจะไม่รู้สึกกลัวเรื่องนี้เลย? แต่ป้าซุนคนนี้ไม่ใช่พวกธรรมดาทั่วไป เพราะนางรู้ว่าผู้หญิงที่แต่งออกไป ก็เป็นได้แค่น้ำที่ถูกสาดออกจากบ้าน มีหรือที่ทางฝั่งบ้านแม่จะหาเรื่องก่อปัญหาใหญ่โตขึ้นมา? นอกจากนี้ ในรัศมีสิบลี้จากหมู่บ้านนี้ ก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ถูกหย่าจนต้องกลับบ้านแม่เลยสักคน ต่อให้จะตาย พวกนางก็ต้องดื่มยาพิษตายในบ้านสามีกันทั้งนั้น
“ถ้าพวกเจ้าคิดจะกลับคำล่ะก็ คงต้องรีบหน่อยล่ะ ให้คนบ้านเจ้าเอาข้าวของเงินทองชดเชยความผิดมามอบให้พวกเรา แล้วให้จ่ายเงินค่ารักษาบาดแผลเหล่านี้ให้พวกเราอีกสองสามตำลึง แล้วต้องสอนวิธีการเผาถ่านของบ้านเจ้าให้ลูกชายข้าด้วย พวกเราถึงจะรับพี่สาวเจ้ากับพวกลูก ๆ ของนางกลับไป” ป้าซุนเรียกร้องเงื่อนไขที่ตัวเองตั้งขึ้นมาแบบหน้าด้าน ๆ
เงินสองสามตำลึง?
เมื่อบรรดาย่ายายได้ยินคำพูดประโยคนี้ สีหน้าของพวกนางก็พลันเปลี่ยนไปทันที
หนังหน้าพวกมันทำมาจากทองคำเรอะ? แค่รอยแผลปริเลือดไหลแค่นี้ถึงกับต้องชดเชยตั้งหลายตำลึง? แถมยังจะเอาวิธีการเผาถ่านอีก นั่นเป็นช่องทางหาเงินของบ้านนี้เชียวนะ เรื่องอะไรจะให้พวกมันไปง่าย ๆ?! กระทั่งคนในหมู่บ้านนี้ของพวกเขาก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ!
ซุนโก่วต้านที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินแม่ของตัวเองเปิดปากแล้ว ในใจก็แอบนึกโล่งอก จากนั้นก็รีบเข้าไปพูดกับโจวกุ้ยหลานว่า: “กุ้ยหลาน รีบไปบอกพี่สาวกับแม่ของเจ้าเร็ว ๆ เถอะ ว่าแม่ของข้ายินดีที่จะยกโทษให้นางแล้ว รีบไปบอกให้นางมาโขกหัวสำนึกผิดกับแม่ของข้าเร็ว ๆ เข้า!”
“โขกหัวคำนับทำไม? ตระกูลซุนของพวกแกกดขี่ห่มเหงคนขนาดนี้ ยังมีหน้ามาสั่งให้คนเขาโขกหัวคำนับอีก? จะหน้าด้านหน้าทนเกินไปหน่อยไหม?”
“ถุย! ไอ้พวกเศษสวะเอ๊ย!”
พวกย่ายายทนไม่ไหว พากันแผดเสียงด่าดังลั่น
ป้าซุนนั่นก็ไม่ใช่พวกเล่น ๆ เหมือนกัน สองมือยกขึ้นท้าวเอวหมับ เริ่มตีฝีปากด่าทอกับบรรดาย่ายายเหล่านั้นทันที
โจวกุ้ยหลานเห็นว่าบรรดาย่ายายในหมู่บ้านต่างก็ช่วยกันพูดแทนบ้านนางแบบนี้ ก็รู้สึกประทับใจน้อย ๆ คนในหมู่บ้านยังไงก็เป็นคนในหมู่บ้าน เวลาแบบนี้ถึงได้เลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งเดียวกับนาง
ซุนโก่วต้านเห็นว่าแม่ของตัวเองโดนคนชี้หน้าด่าทอขนาดนี้ ในใจก็รู้สึกอึดอัดคับข้อง เขาจึงเดินเข้าไปหาโจวกุ้ยหลาน โจวต้าไห่เห็นดังนั้น ก็รีบดึงกุ้ยหลานมา แล้วผลักนางไปหลบอยู่ข้างหลังของตัวเองทันที
พอเห็นน้องชายเมียคนนี้ ซุนโก่วต้านก็นึกหวาดกลัวอยู่ในใจหลายส่วน เพราะก่อนหน้านี้ที่อยู่ในบ้านเคยถูกต่อยเข้าไปเต็ม ๆ หมัด ตอนนี้จึงยังรู้สึกเข็ดขยาดไม่หาย จึงทำได้แค่ต้องหยุดฝีเท้าแล้วก้มหน้าลงจากที่ไกล ๆ : “กุ้ยหลาน แม่ของข้าโกรธแล้วนะ ทำไมเจ้ายังไม่รีบเอาของไปขอขมานางอีกล่ะ? ไปขอให้แม่ข้ายกโทษให้เจ้าเร็วเข้าสิ”
โจวกุ้ยหลานทนไม่ไหวถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเลยทีเดียว นางโผล่หัวออกมาจากด้านหลังของโจวต้าไห่ ปรายตามองไปที่ซุนโก่วต้าน: “ทำไมข้าต้องมอบของขอขมาให้แม่ของเจ้าไม่ทราบ?”
“แม่ของข้าโกรธแล้วนะ เจ้าไม่เห็นหรอกรึ?” น้ำเสียงของซุนโก่วต้านเริ่มฟังไม่ดีแล้ว
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยล่ะ? แม่ของเจ้า ไม่ใช่แม่ของข้าซักหน่อย เจ้าก็ไปคุกเข่าโขกหัวคำนับแม่ของเจ้าให้นางหายโกรธเองสิ” โจวกุ้ยหลานยิ่งหัวเราะเพราะนึกขำมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
ซุนโก่วต้านถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ: “เจ้าพูดแบบนี้ได้ยังไงกัน? นั่นคือแม่ของข้านะ! เจ้าเป็นน้องสาวของคายจือ เจ้าก็สมควรจะ…..”