นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 254 หย่า 3
“อะไรนะ? มอบหนังสือหย่าให้พวกเรา ดูสภาพผีก็ไม่ใช่คนก็ไม่เชิงของพี่สาวเจ้าซิ ยังคิดจะมอบหนังสือหย่าให้พวกเรา? เป็นตระกูลซุนของเราต่างหากที่ไม่เห็นนางในสายตา! ตระกูลของเราจะหย่านาง! ลูกชายของข้ารูปร่างหน้าตาก็ดีนิสัยก็เยี่ยม คิดหรือว่าจะแต่งเมียใหม่ไม่ได้?” ป้าซุนตวาดด่าด้วยน้ำเสียงโกรธจัด
นางไม่เชื่อหรอก ว่านังโจวคายจือคนนี้มันจะกล้ายอมถูกหย่า นังเด็กตระกูลโจวนี่มันพยายามจะทำให้นางตกใจกลัว นางยิ่งไม่กลัวเด็ดขาด!
“ถ้าลูกชายของเจ้ามันดีเลิศขนาดนั้นจริง เจ้าก็ไปหาเมียใหม่มาแต่งให้ลูกชายของเจ้าซะสิ แล้วให้ลูกสะใภ้ในอนาคตคนนั้นช่วยคลอดลูกให้เขาเยอะ ๆ แบบนี้ แล้วก็ให้คอยปรนนิบัติรับใช้แม่สามีอย่างเจ้าด้วยเลย” โจวกุ้ยหลานพูดจาเย้ยหยันเหน็บแนม
ป้าซุนนั่นถูกทำให้โกรธจัดจนหูอื้อตาลาย รีบดึงตัวลูกชายมาทันที สายตาจับจ้องมองเขม็งไปที่โจวคายจือที่นั่งอยู่บนพื้น ชี้นิ้วชี้ไปทางนั้นแล้วพูดว่า: “หย่านางซะ รีบหย่านางเดี๋ยวนี้เลย! แล้วแม่จะหาเมียที่ดีกว่านี้ให้แกเอง!”
ซุนโก่วต้านเกิดนึกกลัวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว นี่คือเมียของเขานะ! ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปจับมือแม่พลางพูดเบา ๆ ว่า: “แม่ นี่แม่ลืมไปแล้วหรือว่าตระกูลโจวหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำขนาดไหน? คายจือเป็นเมียของข้า ถ้าหย่ากันจริง ๆ พวกเราจะไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลยนะ….”
ป้าซุนโกรธจนหลุดหัวเราะเลยทีเดียว รู้สึกแค่ว่าลูกชายคนที่สามของนางคนนี้สมองใช้การไม่ได้โดยแท้ นางที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งถูกสามีหย่า นางจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง? พอถึงตอนนั้นนางจะไม่คลานเข่ามาขอร้องอ้อนวอนตระกูลซุนของนางหรอกรึ? พอถึงเวลานั้นไม่ว่านางต้องการอะไร นังสวีเหมยฮวานั่น มันก็ต้องหามาประเคนให้เท่าที่นางต้องการอยู่แล้ว!
เมื่อคิดแบบนี้ ในใจนางก็ยิ่งคิดเล็กคิดน้อยหวังผลประโยชน์ยิ่งขึ้น รีบพูดทันทีว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าโง่ไปแล้วรึ? เจ้าเป็นผู้ชายนะ ยังต้องกลัวว่าจะหาเมียใหม่ไม่ได้อีกรึ? นางเป็นแค่ผู้หญิงคนนึง ถ้าถูกหย่าไป นั่นแปลว่าจะชื่อเสียงอะไรก็พังป่นปี้หมดไม่มีเหลือแล้ว!”
“แม่ ข้าไม่อยากหย่ากับคายจือ!” หาได้ยากที่ซุนโก่วต้านจะไม่เชื่อฟังคำพูดของแม่ตัวเอง
ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เขากับคายจือต่างก็มีความรู้สึกผูกพันต่อกัน ที่ผ่านมาก็ได้รับการดูแลปรนนิบัติอย่างดีจากคายจือมาโดยตลอด ใช้ชีวิตมาได้ไม่เลวเลยทีเดียว แค่เพราะคายจือเลอะเลือนไปชั่วขณะ รอวันหลังที่นางกลับไป ก็จะกลับมาใช้ชีวิตดี ๆ ได้เหมือนเดิมแล้ว
ครั้งนี้ป้าซุนถูกลูกชายหน้าโง่คนนี้ทำให้โกรธแทบตายแล้วจริง ๆ โง่บัดซบอะไรอย่างนี้! เทียบกับพวกพี่ชายน้องชายสามคนนั้นแล้ว ห่างไกลกันคนละชั้นจริง ๆ ทำไมถึงได้โง่เง่าทึ่มทื่อแบบนี้นะ?
“ทำไม? นึกเสียใจขึ้นมาแล้วล่ะสิ? ไม่กล้าหย่ากันแล้วสินะ? ใช่สิ! จะไปหาลูกสะใภ้ที่ทั้งเก่งกาจเพียบพร้อม มากความสามารถอย่างพี่สาวคนโตของข้าคนนี้ได้จากที่ไหนอีกล่ะ?” เมื่อโจวกุ้ยหลานเห็นว่าแม่ลูกคู่นี้มัวพึมพำยักท่ากันอยู่ได้ไม่เลิก ก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาต้องมีความคิดเห็นไม่ลงรอยกันแน่ ๆ จึงรีบพูดจี้ใจดำเข้าไปอีกประโยค
“หย่ากันอะไรของเจ้า? เป็นโก่วต้านของบ้านข้าที่จะหย่าพี่สาวเจ้าต่างหาก! ข้าจะให้เขียนหนังสือหย่าเดี๋ยวนี้แหล่ะ!” ป้าซุนพูดอย่างโกรธจัด
โจวกุ้ยหลานแค่นเสียงหัวเราะเย้ยหยัน: “เขียนหนังสือหย่าพี่สาวข้างั้นรึ? อย่างเขามันคู่ควรด้วยรึไง? ถ้าไม่ชดเชยให้พี่สาวข้า นับจากนี้ไปต้องปฏิบัติต่อลูก ๆ และพี่สาวของข้าอย่างดี พวกเจ้าได้กินอิ่มต้องไม่ปล่อยให้พี่สาวของข้ากับลูก ๆ อดอยาก พวกเจ้าได้กินเนื้อต้องไม่ปล่อยให้พี่สาวของข้ากับลูก ๆ กินแต่ผัก ถ้าไม่งั้นก็หย่ากันซะ!”
เหล่าไท่ไท่ที่อยู่ข้าง ๆ ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว รีบเดินเข้าไปสามสี่ก้าว แล้วคว้าตัวโจวกุ้ยหลานทันที: “เจ้าพูดบ้าอะไรของเจ้า? เรื่องนี้มันต้องพูดกันจนได้ข้อเสนอดี ๆ ก่อนค่อยรับปาก ไม่งั้นเกิดหย่ากันขึ้นมาจริง ๆ พี่สาวของเจ้าจะอยู่ต่อไปยังไงล่ะ?”
“ขอแค่ข้ายังมีข้าวกิน ก็จะไม่มีวันปล่อยให้พี่สาวต้องหิวเด็ดขาด แม่ ถ้าแม่กลัวว่าพี่ใหญ่จะส่งผลให้การแต่งงานของพี่ชายล่าช้าออกไป ก็ให้พี่ใหญ่ย้ายไปอยู่บ้านข้าก็ได้ บ้านข้าทางนั้นมีห้องเยอะอยู่” โจวกุ้ยหลานรับปากหนักแน่น
นางไม่เชื่อเด็ดขาด ว่าคนเป็น ๆ คนนึงจะยอมอดทนอดกลั้นไม่ทำอะไรเลยจนตัวตาย หลุมไฟพรรค์นี้ถ้าไม่รีบกระโดดหนีออกมา ยังปล่อยให้นางอยู่ในนั้นต่อไป ไม่ช้าก็เร็วพี่สาวของนางคงได้ถูกไฟคลอกตาย พอถึงตอนนั้นจะมานึกเสียใจ มันก็คงสายเกินไปแล้ว
เหล่าไท่ไท่โกรธมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเวลานี้มันไม่เหมาะล่ะก็ นางเองก็อยากจะตีแม่ลูกสาวตัวดีคนนี้ให้ตายไปเสียจริง ๆ เลย!
ลูกสาวที่แต่งออกไป ก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำที่สาดออกไป ต่อให้ตายนางก็ต้องตายที่บ้านสามี ถ้าถูกหย่าขึ้นมาจริง ๆ นั่นย่อมแปลว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ดี ต้องถูกผู้คนชี้หน้าด่าว่าไปตลอดชีวิตที่เหลือ!
ตอนนี้ไม่มีธุรกิจขายถ่านแล้ว แม่ลูกสาวคนนี้ยังคิดบ้างไหมว่านับจากนี้จะเลี้ยงดูปากท้องมากมายขนาดนี้ได้ยังไง?
แต่ฝั่งป้าซุนพอเห็นภาพฉากนี้ตรงหน้า ในใจกลับรู้สึกมีความสุขขึ้นมาไม่น้อย
เห็นไหมล่ะ? ยายแก่นี่มันไม่กล้าปล่อยให้ลูกสาวถูกหย่าหรอก ทั้งหมดนี้เป็นแค่การเสแสร้งแกล้งทำไปอย่างนั้นเอง!
“หย่าเลย! รีบหย่ากันไปเลย!” ป้าซุนรีบพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ซุนโก่วต้านที่อยู่ข้าง ๆ ทำท่าเหมือนยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เพราะแขนถูกแม่บีบไว้จนแน่น เวลานี้จึงไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของแม่แล้ว
คนที่อ่อนแออย่างคายจือ มีหรือจะกล้าหย่ากับเขาจริง ๆ? คงตั้งใจจะหาเรื่องเพื่อเรียกร้องความสนใจมากกว่า ใช่! แม่พูดถูกแล้ว! ต้องเป็นเพราะอยากเรียกร้องความสนใจจากเขาแน่!
“ได้ หย่าก็หย่า!”
เขากัดฟันกรอด พ่นคำพูดเหล่านี้ออกมาในที่สุด
เมื่อเด็ก ๆ ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ก็รู้ทันทีว่าในที่สุดพวกเขาก็หนีพ้นจากตระกูลซุนได้ซักที จึงดีใจจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ ต้าญาถึงกับตบ ๆ ที่แผ่นหลังของแม่พลางพูดอย่างตื่นเต้นว่า: “แม่ จากนี้ไปพวกเราจะได้ใช้ชีวิตดี ๆ เหมือนคนปกติแล้ว!”
โจวคายจือถูกคำพูดของพวกลูก ๆ ทำเอาหัวใจเจ็บแปลบ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองซุนโก่วต้าน หวนนึกถึงเรื่องราวทั้งหลายตลอดหลายปีที่ผ่านมา เปรียบเทียบกับวันเวลาหลังแต่งงานที่ได้เผชิญ ในใจนางเกิดความรู้สึกผสมปนเปจนว้าวุ่นไปหมด ในที่สุดก็กัดฟันแล้วพูดว่า: ” เช่นนั้นก็หย่า”
ทันทีที่คำพูดประโยคนี้หลุดออกมา ในใจพลันรู้สึกโล่งสบายผ่อนคลายลงไปไม่น้อย นางไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะกล้าพูดอะไรแบบนี้
สวีฉางหลินยกขาขึ้นได้ “ฉางหลิน นั่นเจ้าจะไปไหนน่ะ?”
“ไปเรียกผู้ใหญ่บ้าน” สวีฉางหลินหันหน้ากลับมาตอบประโยคหนึ่ง จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินเร็วขึ้น
เหล่าไท่ไท่เห็นท่าไม่ดี แต่เพราะไม่อาจเรียกเขากลับมาต่อหน้าธารกำนัลได้ ไม่อย่างนั้นคงได้โดนแม่ลูกตระกูลซุนคู่นี้บีบคอรีดไถจนหมดเนื้อหมดตัวแน่ จึงทำได้แค่กระทืบเท้าอยู่กับที่ แล้วเข้าไปดึงตัวโจวกุ้ยหลานมา: “เจ้ารีบไปเรียกสวีฉางหลินกลับมาเดี๋ยวนี้เลย อย่าให้เขาไปเรียกผู้ใหญ่บ้าน!”
“แม่ เรื่องนี้แม่อย่ายุ่งอีกเลยนะ” โจวกุ้ยหลานพูดไปพลาง ขาก็เดินไปหยุดยืนอีกด้าน
ความคิดของเหล่าไท่ไท่คร่ำครึเกินไป นางไม่อยากพูดอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ไปมากกว่านี้
“นังลูกน่าตายคนนี้นี่!” เมื่อเหล่าไท่ไท่เห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง ก็ทำได้แค่กระทืบเท้าแล้วด่านางไปประโยคหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัว ยื่นมือออกไปคว้าตัวโจวคายจือ “ ไป ตามแม่เข้าไปในบ้าน!”
โจวคายจือไม่กล้าขัดขืนเหล่าไท่ไท่ จึงทำได้แค่ยืนขึ้นแล้วพาพวกลูก ๆ เข้าไปในบ้านในสภาพเหมือนลมพายุหอบหนึ่งก็ไม่ปาน
โจวต้าไห่มองไปที่แม่ของตัวเอง แล้วคิดในใจว่าแม่ลูกตระกูลซุนคู่นั้นยังอยู่ข้างนอก จึงตัดสินใจรั้งอยู่ ด้วยการไปยืนอยู่ข้าง ๆ กุ้ยหลาน
ตอนนี้น้องเขยไม่อยู่ ถ้ากุ้ยหลานโดนรังแกขึ้นมาจะไม่ยิ่งแย่ไปกันใหญ่รึ
ป้าซุนเห็นท่าทางร้อนอกร้อนใจของเหล่าไท่ไท่ สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความลำพองใจ
ทำเป็นเสแสร้งเข้าไปเถอะ! ดูซิว่าใครมันจะเสแสร้งได้มากกว่ากัน!
คิดพลาง ก็ใช้นิ้วจิ้มไปที่กะโหลกของซุนโก่วต้านไปพลาง: “เห็นแล้วหรือไม่? แม่ยายเจ้ากำลังไปคุยกับเมียตัวดีของเจ้าแล้วว่าจะทำยังไงดี ทำไมเจ้าถึงได้ไม่รู้จักอดทนอดกลั้นแบบนี้นะ เป็นผู้ชายแท้ ๆ ยังต้องกลัวนางที่เป็นแค่ผู้หญิงคนนึงด้วยรึ?”
บรรดาย่ายายสามสี่คนที่อยู่ข้าง ๆ เดินเข้าไปหยุดข้างตัวกุ้ยหลาน แล้วพูดเกลี้ยกล่อมนางเบา ๆ ว่าอย่าได้หุนหันพลันแล่น ชีวิตของผู้หญิงคนนี้ถ้าถูกหย่าขึ้นมาจริง ๆ ก็คงจบสิ้นแน่แล้ว แต่โจวกุ้ยหลานกลับเอาแต่ส่งยิ้มละไมไปให้พวกนางไม่หยุด
ในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่แห่งศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดคนหนึ่ง ความคิดของกุ้ยหลานย่อมไม่เหมือนกับพวกนาง ชีวิตคนเราชีวิตหนึ่งช่างสั้นนัก ถ้าแต่งแล้วต้องไปเผชิญกับความเจ็บปวดสิ้นหวังขนาดนี้ งั้นก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องดำเนินต่อไป เพราะมันมีแต่จะทำให้ทุกคนต่างต้องเป็นทุกข์
แน่นอนว่านางรู้ชัดแจ้งแก่ใจดี ว่าแม่ดึงพี่ใหญ่เข้าไปทำอะไร แต่นางก็จะไม่ไปหยุดไม่ไปรั้ง เพราะเรื่องนี้เป็นทางเลือกของพี่ใหญ่ หากว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์ออกมาคือการไม่หย่า นางก็จะไม่พูดอะไรให้มาก จะขอเคารพในการตัดสินใจของพี่ใหญ่ ติดแค่ว่าถ้าในอนาคตมีอะไรเกิดขึ้นกับพี่ใหญ่อีก นางก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งอีกต่อไปแล้ว