นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 253 หย่า 2
ต้องก้มหน้าทำงานตัวเป็นเกลียวทั้งวันก็ยังไม่พอ นางต้องมีความสามารถยอดเยี่ยมขนาดไหน คายจือคนนี้ยังได้ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่งอยู่ไหมเนี่ย?
“แม่ อย่าร้องไห้ พวกเขาไม่ต้องการแม่ แต่พวกเราต้องการแม่นะ!” ต้าญาโผเข้าไปกอดศีรษะของโจวคายจือ พูดจาปลอบโยนไม่หยุด
พวกเด็ก ๆ ต่างยื่นมือออกมากอดศีรษะของโจวคายจือ ไม่มีใครยอมปล่อย
“ข้าล่ะสงสารเด็ก ๆ พวกนี้จริง ๆ ล้วนเป็นเด็กดีกันทั้งนั้น!”
“พวกเด็ก ๆ เขารู้ดีว่าใครดีต่อพวกเขาที่สุด พ่อกับย่าโดนไล่ตีหัวซุกหัวซุนยังไม่แม้แต่จะวิ่งออกมาดู พอแม่ได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจกลับรีบเข้ามากอดปลอบใจกันใหญ่ น่ากลัวว่าพวกตระกูลซุนนี่ คงจะทำให้หัวใจของเด็ก ๆ ต้องเจ็บปวดแน่แล้ว”
หญิงชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองไปที่เด็ก ๆ และโจวคายจือที่กำลังกอดกันกลม พลางส่ายหน้า
“เจ้าจะไปรู้อะไร? เป็นเพราะนังสะใภ้คนนี้มันไม่มีเจตนาดี จงใจพูดจาว่าร้ายพวกเราต่อหน้าลูก ๆ ต่างหาก! สะใภ้ปากพล่อยแบบนี้พวกเราไม่เอาแล้ว! ตระกูลซุนเราจะหย่านังสะใภ้ตัวดีคนนี้ซะ!”
เมื่อเริ่มเห็นท่าไม่ดี ป้าซุนก็รีบตะโกนแก้ตัวขึ้นมาอีกสามสี่ประโยค คิดจะดึงเกมกลับมาทางตัวเอง
“โย่ว! คิดจะมอบหนังสือหย่างั้นเหรอ? ซุนโก่วต้านไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเขียนหนังสือหย่าให้พี่ใหญ่ของข้าหรอกนะ!”
เสียงหนึ่งดังแว่วมาจากด้านหลังของฝูงชน ทุกคนหันกลับไปมอง เมื่อเห็นว่าถึงกับเป็นกุ้ยหลานก็พากันหลีกทาง ปล่อยให้กุ้ยหลานเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย
โจวกุ้ยหลานชำเลืองมองสองแม่ลูกที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมแวบหนึ่ง จากนั้นค่อยมองไปที่เหล่าไท่ไท่ที่ยืนเด่นเป็นสง่าน่าเกรงขามอยู่อีกด้าน ในใจก็รู้ทันทีว่าคงโดนเหล่าไท่ไท่ผู้แข็งแกร่งไล่ฟาดเอาแน่นอนแล้ว พลันยกนิ้วกดไลค์แบบรัว ๆ ให้เหล่าไท่ไท่ในใจอีกครั้ง
แม่ของนาง เจ๋งสุดยอด!
เมื่อเห็นว่าโจวกุ้ยหลานมาแล้ว โจวต้าไห่ก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง สีหน้าก็ผ่อนคลายลงมาหลายส่วน ส่วนโจวคายจือ เมื่อเห็นน้องสาวของตัวเองเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าแบบนี้ ในใจก็พลันเกิดความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
นี่แหล่ะคือแม่ของนาง เป็นแม่ที่ปกป้องคุ้มครองนางและน้องชายน้องสาว ต้องแบบนี้สิ ถึงจะเป็นบ้านของนาง!
โจวกุ้ยหลานเดินผ่านสองแม่ลูกนั่น มีสวีฉางหลินเดินตามมาข้างหลัง เดินเข้าไปหา มือก็ยื่นออกไปดึงตัวโจวคายจือให้ลุกขึ้นมา: “พี่สาวใหญ่ พี่จะร้องไห้ทำไม? อยากให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาหรือ? ที่นี่คือหมู่บ้านต้าสือของเรานะ คนในหมู่บ้านเราจะปล่อยให้พี่โดนคนอื่นรังแกได้รึ?”
แม้ว่าบางครั้ง นางจะไม่ค่อยคุ้นชินกับเรื่องซุบซิบนินทาที่มักแพร่สะพัดในหมู่บ้านนัก แล้วก็ไม่ชอบนิสัยโลภมากชอบเอารัดเอาเปรียบของพวกเขา แต่เมื่อไหร่ที่มีคนมารังแกคนในหมู่บ้าน ไม่ว่าในเวลาปกติจะมีความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ อะไรกันก็ตาม พวกเขาก็จะรวมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทันที ซึ่งจุดนี้ ในชีวิตก่อนของนางไม่เคยได้มีโอกาสรู้สึกถึงมาก่อน
นี่แหล่ะ ถึงจะเรียกว่าหมู่บ้าน ถึงจะเรียกว่าการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เหล่าไท่ไท่หันไปมองลูกสาวคนเล็กของตัวเอง นึกอยากด่าแบบโหด ๆ สักยก ว่าเป็นบ้าอะไรถึงได้วิ่งเตลิดออกไป ทำให้สวีฉางหลินต้องวิ่งวุ่นตามหาแทบแย่ แต่เพราะตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลา นางจึงฝืนอดทนไว้ หันหน้าไปมองคู่แม่ลูกตระกูลซุน โทสะในใจยังคุกรุ่นเสียจนรู้สึกอึดอัด แน่นในอกจนทรมานไปหมด
ถ้าลูกสาวคนโตของนางเกิดถูกหย่าขึ้นมาจริง ๆ จะทำยังไงล่ะ? จากนี้ไปนางจะใช้ชีวิตยังไงได้?
“มันถึงคราวให้นางเด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้ามาสอดปากพูดได้แล้วงั้นรึ? รีบไสหัวไปซะ!” ป้าซุนตวาดด่าพลางกัดฟันกรอด
สวีฉางหลินขมวดคิ้วมุ่น ยกขาขึ้นได้ก็เดินตรงดิ่งไปหานาง เมื่อโจวกุ้ยหลานที่อยู่ข้าง ๆ เห็นดังนั้น ก็รีบเข้าไปคว้าตัวเขาเอาไว้ พลางส่ายหน้าไปให้เขาทันที
ทำแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเขาที่เป็นผู้ชายคนหนึ่งเกิดไปตบตีป้าซุนเข้า นั่นเท่ากับว่ารังแกคนที่อ่อนแอกว่าแล้ว จะไปถึงไหนก็แก้ตัวไม่ขึ้นทั้งนั้น
สวีฉางหลินมองออกถึงสิ่งที่ภรรยาต้องการจะสื่อ จึงยอมหยุดฝีเท้าลงทันที แต่ในใจยังคงรู้สึกโกรธจนแทบระงับไม่อยู่
ภรรยาที่เขาเฝ้าทะนุถนอมดั่งแก้วตาดวงใจ จะให้มาโดนใครก็ไม่รู้ตวาดด่าแบบนี้ได้ยังไงกัน?
“ยายแก่หนังเหี่ยวอย่างเจ้าจะโวยวายไปทำไมล่ะ? ลูกสาวคนเล็กของข้ายืนหยัดต่อสู้เพื่อพี่สาวคนโตของนางไม่ได้หรือยังไง? ถ้าพวกเจ้าทำเรื่องที่คนดี ๆ เขาทำกัน จะต้องกลัวโดนคนอื่นตัดสินอีกรึ?” เหล่าไท่ไท่ตะคอกกลับอย่างโกรธจัด
ถ้าไม่ใช่เพราะคิดว่าจะยอมให้ลูกสาวคนโตถูกหย่าไม่ได้จริง ๆ แล้วล่ะก็ นางคงจะเอาไม้ฟาดพวกนี้ให้หนัก ๆ จนหนีกลับบ้านกันแทบไม่ทันแน่!
โจวกุ้ยหลานปรายตามองแม่ลูกคู่นั้น จะดูยังไงก็ขัดหูขัดตาสิ้นดี ทำไมถึงได้มีตระกูลที่มันสุดยอดขนาดนี้อยู่บนโลกนี้ได้นะ? ช่างน่าขยะแขยงซะจริง ๆ เลย!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็หันหน้าไปมองโจวคายจือ แล้วถามว่า: “พี่สาว เจ้าอยากให้ลูก ๆ ได้ใช้ชีวิตที่ดีต่อจากนี้ หรือว่าจะกลับไปบ้านตระกูลซุน ใช้ชีวิตลำบากลำบนแบบกินไม่อิ่มนอนไม่อุ่นต่อไป?”
“ข้าไม่อยากกลับไป! ข้าไม่อยากโดนย่าตี!” เสี่ยวหู่ตะโกนออกมา คุกเข่าลงไปกองกับพื้นพลางยกมือขึ้นมากุมหัวของตัวเองไว้
เมื่อเด็ก ๆ ที่เหลือซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ หวนนึกถึงวันเวลาที่พวกเขาต้องถูกทุบตีอย่างทารุณ ร่างกายเล็กจ้อยเหล่านั้นก็สั่นสะท้าน “ไม่อยากกลับไป! ไม่อยากโดนตี!”
หัวใจของโจวคายจือเจ็บปวดราวถูกมีดกรีดเฉือน ลูก ๆ ของนางช่าง…..
“แต่….แต่แม่จะเลี้ยงดูพวกเจ้ายังไงล่ะ…..” โจวคายจือพูดได้เพียงครึ่งประโยค น้ำเสียงก็สะดุด จากนั้นก็ร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดกลั้น
นางชิงชังเหลือเกิน ทำไมนางถึงเกิดมาเป็นผู้หญิงนะ? ไม่มีที่ดินทำกิน ไม่มีบ้านจะอยู่ แล้วนางจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง? จะเลี้ยงดูลูก ๆ เหล่านี้ได้ยังไง?
ส่วนบ้านแม่ … บ้านแม่ที่เป็นบ้านเดิม นางจะอยู่ไปตลอดชีวิตได้เสียที่ไหนล่ะ? ต้าไห่ยังไม่ได้แต่งเมียเลย….
สุดท้าย…นางยังคงต้อง….ยังคงต้องกลับไปที่บ้านตระกูลซุน….
“แม่ ขายข้าไปเสียเถอะ พอได้เงินแล้ว แม่ก็จะมีเงินเลี้ยงดูน้องชายน้องสาว!” ต้าญาพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น
โจวคายจือเงยหน้าขึ้นขวับ มองลูกสาวคนโตที่ฉลาดรู้ความด้วยสองตาที่อาบนองไปด้วยน้ำตาจนพร่ามัว กอดนางไว้พลางร้องไห้อย่างขมขื่น: “แม่จะตัดใจได้อย่างไรกัน? ต้าญา ต้าญาของแม่!”
“ช่างเป็นเด็กดีเสียจริง ๆ เลย….” พอบรรดาย่ายายในหมู่บ้านต้าสือได้ยินคำพูดของต้าญา ต่างก็พากันส่ายหน้า เฮ้อ! เด็กคนนี้ชะตาชีวิตช่างอาภัพจริง ๆ
“แม่ ขายข้าไปด้วยอีกคนเถอะนะ แบบนี้แม่ก็จะมีเงินซื้อที่ดินแล้ว พวกเจ้าก็จะได้มีข้าวกินด้วย!” เอ้อร์ญาที่สงบปากสงบคำไม่พูดอะไรมาโดยตลอด ก็เอ่ยปากพูดขึ้นด้วยอีกคน
ถ้าพี่สาวคนเดียวคงขายได้เงินไม่มากเท่าไหร่นัก แต่ถ้าขายนางไปด้วยกัน ก็คงช่วยประหยัดอาหารไปได้มาก ทั้งยังได้เงินเยอะพอสมควรด้วย
“ไม่ ข้าเป็นเด็กผู้ชาย ข้าจะแพงกว่า ขายข้าออกไปพวกเจ้าถึงจะมีเงิน” ต้าหู่แทรกขึ้นมาประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงอู้อี้
โจวคายจือมองลูกคนนี้ จากนั้นก็หันไปมองลูกคนนั้น น้ำตาไหลพรากออกมาราวกับว่านี่เป็นวันสุดท้ายของชีวิตก็ไม่ปาน
นางฝืนระงับอารมณ์ของตัวเอง “ไม่ขาย แม่ไม่ขายใครทั้งนั้น พวกเจ้าล้วนเป็นแก้วตาดวงใจของแม่…. ต่อให้แม่ต้องเหนื่อยแทบตายหรือหิวแทบตาย แม่ก็จะเลี้ยงดูพวกเจ้าเอง!”
“บ้าไปแล้ว นี่มันบ้าไปแล้ว พวกเจ้าจะขายหลาน ๆ ตระกูลซุนของข้าแล้ว!” ป้าซุนเหมือนว่าจะถูกทำให้ตกใจขึ้นมาแล้ว น้ำเสียงที่พูดออกมาจึงสั่นระรัวไปหมด
เด็กพวกนี้ จะสุดโต่งเกินไปแล้ว!
โจวต้าไห่ซึ่งอยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกอึดอัดทรมานใจไม่ต่างกัน ลูบ ๆ หัวพวกหลานชายหลานสาวของตัวเอง แล้วเอ่ยปากขึ้นว่า “ยังมีน้าอีกคน น้าจะช่วยเลี้ยงดูพวกเจ้าเอง!”
โจวกุ้ยหลานมองดูกลุ่มคนที่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายพลางกู่ก้องร้องตะโกนไม่หยุด รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างยิ่ง
ทำไมพอบทจะร้องไห้ ก็ร้องไห้กันเป็นเขื่อนแตกเลยล่ะเนี่ย? ต่อให้ยากจนแค่ไหน ก็คงไม่ถึงกับต้องขายลูกกินหรอกมั้ง?
เด็ก ๆ พวกนี้ก็ไม่รู้ว่าไปร่ำเรียนมาจากไหน เอ่ยปากได้ก็บอกว่าให้ขายตัวเองออกไปหน้าตาเฉย จริง ๆ เล้ย….. ทำเอาคนพูดอะไรไม่ออกเลยจริง ๆ
“พวกเจ้า! นี่พวกเจ้าแต่ละคน ๆ คิดจะทำอะไรกันแน่? รีบกลับบ้านไปกับข้าเดี๋ยวนี้!” ซุนโก่วต้านกัดฟันพูดกับภรรยาและพวกลูก ๆ ยกขาขึ้นได้ก็เดินตรงมาข้างหน้าทันที
ทำไมเมียคนนี้ถึงได้หูตาฝ้าฟางแบบนี้นะ? ที่นี่มีคนตั้งมากมายขนาดไหน มาสอนลูกพูดอะไรแบบนี้ ไม่อับอายขายหน้าคนอื่นเขาบ้างหรือไง?
“เฮ้ย? คิดจะทำอะไรน่ะ?” โจวกุ้ยหลันเห็นเงาร่างของเขาที่เดินใกล้เข้ามา ก็แหกปากตะโกนเสียงดัง
สวีฉางหลินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เบี่ยงตัวขึ้นไปบังนางอยู่ข้างหน้า จากนั้นก็สาวเท้าเดินเข้าไปเร็ว ๆ สองสามก้าว ไปยืนขวางอยู่ข้างหน้าของซุนโก่วต้าน
เมื่อนึกถึงคราวก่อนที่โดนเขาใช้มือแค่ข้างเดียวหิ้วคอขึ้นมา ในใจของซุนโกวต้านก็นึกหวาดกลัว รีบก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว ไม่กล้าทำให้สวีฉางหลินขุ่นเคืองใจ
เมื่อเห็นท่าทางขี้ขลาดตาขาวของเขา คนที่อยู่ข้าง ๆ ต่างก็พากันหัวเราะเยาะอย่างขบขัน
โจวกุ้ยหลานก้าวขึ้นไปข้างหน้าสองก้าว ยื่นมือขวาออกไป แล้วเริ่มร่ายข้อเรียกร้องใส่ป้าซุนไปทีละข้อ ๆ “ตระกูลซุนของเจ้าอยากได้หนังสือหย่า ได้! ให้พี่สาวคนโตของข้าเขียนหนังสือหย่าให้ซุนโก่วต้าน ทางที่สอง ก็คือให้ต่างคนต่างถือหนังสือสัญญาการหย่าคนละฉบับกับพี่สาวข้า ถ้าเต็มใจหย่า ก็จงรีบทำให้เสร็จ แต่ถ้ากลัวว่าจะแต่งเมียใหม่ไม่ได้ คิดจะถ่วงแข้งถ่วงขาพี่สาวของข้า ก็ขอโทษที แบบนั้นก็เชิญรีบไสหัวออกไปให้พ้น ๆ ซะ!”