ตอนที่ 420 ยังมีอีกไหมครับ

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

อึ้งสิครับท่านผู้ชม!

อึ้งกันถ้วนหน้า!

ถ้าฉู่ขวงไม่ได้ใช้ชื่อผลงานที่แตกต่างกันทุกครั้งที่เมนชันถึงนักเขียนนิทานชื่อดังเหล่านี้ ทุกคนคงสงสัยว่าฉู่ขวงไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของการประชันวรรณกรรม คิดว่าใช้ผลงานชิ้นเดียวรับคำท้าจากเก้าคนได้ แต่เมื่อเห็นชื่อผลงานทั้งเก้าชิ้นซึ่งไม่เหมือนกันเลย ความสงสัยนี้จึงไม่สมเหตุสมผล ข้อเท็จจริงนี้ไม่ว่าจะยืนยันกี่ครั้งก็ปราศจากความคลุมเครือใด เขากำลังต่อสู้แบบหนึ่งต่อเก้า!

‘แม่เจ้าโว้ย!’

‘เดือดมาก!’

‘คำนับเจ้าแก่ฉู่ขวงเลย!’

‘หนึ่งต่อเก้าเลยเหรอ!’

‘ก่อนหน้านี้เพิ่งคุยเล่นกับพี่คนเยี่ยนที่เพิ่งรู้จักว่าเจ้าแก่ฉู่ขวงเป็นนักเขียนที่ยโสโอหังที่สุดในฉินเรา น่าจะให้ชาวเยี่ยนมาท้าทายฉู่ขวงให้มากสักหน่อย ตอนนี้เห็นทีสิ่งที่ฉันพูดตอนนั้น ฉันก็ไม่ได้โกหก ฉู่ขวงเป็นนักเขียนที่ยโสโอหังที่สุดในประวัติศาสตร์ฉิน ครั้งนี้เขาไม่ได้เห็นใครอยู่ในสายตาเลย นักเขียนชื่อดังเก้าคนส่งคำท้ามาก็ตอบรับทั้งหมด ยังไม่ต้องพูดถึงว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง แค่ความกล้าหาญในการยืนหยัดต่อสู้กับนักเขียนชื่อดังเก้าคนก็สุดยอดมากแล้ว!’

‘แบบนี้โคตรฉู่ขวง!’

‘เรียงกันเป็นระบบสุริยจักรวาลเลยนะ!’

‘ตั้งแต่เดบิวต์มา มีครั้งไหนที่ฉู่ขวงไม่ท้าทายตัวเอง ตอนที่เขาเริ่มเขียนนิยายแฟนตาซี นิยายกระแสหลักเขาไม่ยอมเขียน แต่ดันมาเขียนแนวเฉพาะกลุ่ม จะเดินก็เดินในเส้นทางที่ไม่เคยมีคนผ่านมาก่อน แถมยังกลายเป็นผู้บุกเบิกนิยายอีกตั้งหลายเล่ม!’

‘…’

จินตนาการของชาวเน็ตก่อนหน้านี้คือภาพของนักเขียนทั้งเก้าคนรุมโจมตีฉู่ขวง เป็นเก้าร่างสูงตระหง่านเจิดจรัสพร่างตาล้อมรอบฉู่ขวงไว้ แววตาของทุกคนเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณอันบ้าคลั่งและความยั่วยุอันดุเดือด ราวกับกำลังจะตะลุมบอนใส่ฉู่ขวง

และในขณะนี้

จินตนาการของชาวเน็ตเกิดภาคต่ออันน่าตื่นเต้น นั่นคือขณะที่ฉู่ขวงเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีของนักเขียนชื่อดังทั้งเก้าคน ทันใดนั้นเองเขาก็กระดิกนิ้วไปทางคนกลุ่มนั้น เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า

‘มาพร้อมกันเลย’

ไม่มีใครรู้ว่าผลงานทั้งเก้าชิ้นที่ฉู่ขวงปล่อยมาพร้อมกันในครั้งนี้จะเก็บกวาดภารกิจด้วยวิธีการใด แต่ลำพังความทะนงองอาจและห้าวหาญซึ่งฉู่ขวงแสดงให้เห็นนี้ บวกกับจินตนาการล่วงหน้า ก็ทำให้ชาวเน็ตนับไม่ถ้วนต้องตกตะลึงจนแทบหยุดหายใจ!

ขณะเดียวกัน!

ชาวเยี่ยนก็ตะลึงงันไม่ต่างกัน!

โดยเฉพาะนักเขียนนิทานจากเยี่ยนซึ่งถูกฉู่ขวงเมนชันถึงทีละคนต่างสัมผัสได้ถึงความประหลาดใจร่วมกัน ทันใดนั้นความเดือดดาลและความอับอายก็พลันพลุ่งพล่านขึ้นมาจนเลือดขึ้นหน้า!

ยโสโอหังจริงๆ!

เย่อหยิ่งเหลือเกิน!

ทำไมถึงได้ทะนงตนขนาดนี้!

แรกเริ่มเดิมที ตอนที่ฉู่ขวงเมนชันถึงฉีฉี อันที่จริงนักเขียนซึ่งส่งคำท้าถึงฉู่ขวงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ดูท่าฉู่ขวงคนนี้คงไม่ได้เก่งกาจอย่างที่ชาวฉิน ฉี และฉู่อวดอ้าง ไม่กล้าแม้แต่จะตอบรับคำท้าของชาวเยี่ยนสักคน ปรากฏว่าไม่ทันไรพวกเขาก็ถูกฉู่ขวงเมนชันถึงทีละคน

ที่แท้ฉีฉีก็เป็นเพียงการเริ่มต้น!

บลูสตาร์กล่าวกันว่าชาวเยี่ยนเราหยิ่งทะนงและดื้อรั้น แต่ฉู่ขวงคนนี้กลับเหมือนชาวเยี่ยนเสียยิ่งกว่าชาวเยี่ยนอย่างเรา สงครามเก้าด้านนั้นบ้าระห่ำจนไร้ขอบเขต คุณกำลังยกย่องตัวเองหรือกำลังดูถูกนักเขียนนิทานชาวเยี่ยนอย่างเราอยู่กันแน่

‘หัวร้อนโว้ย!’

‘คันไม้คันมืออยากสู้กับคน!’

‘ผมคลุกคลีอยู่ในวงการนิทานของเยี่ยนโจวมานานหลายปี ไม่เคยเจอนักเขียนที่เย่อหยิ่งขนาดนี้มาก่อน ให้พวกเราไปสู้พร้อมกันเชียวนะ เขารู้หรือเปล่าว่าหนึ่งต่อเก้าหมายความว่าอะไร นี่มันเท่ากับว่าเขาต้องเขียนนิทานที่ระดับไม่เป็นรองนักเขียนชื่อดังออกมาทีเดียวถึงเก้าเรื่อง!’

‘บ้าไปแล้ว!’

‘พี่น้องชาวเยี่ยนทั้งหลาย นี่ไม่ใช่การประชันวรรณกรรมแล้ว นี่คือสงครามที่ฉู่ขวงเป็นคนเริ่ม เขาคิดจะหยิบยืมมือของชาวเยี่ยนมาสร้างอำนาจให้ตัวเอง ขอเพียงเขาเอาชนะการประชันวรรณกรรมได้สองสามสนาม ก็จะได้ทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์พร้อมกัน ครั้งนี้เขาคิดคำนวณมาดีกว่าเรา แต่น่าเสียดายที่เลือกคู่แข่งผิด!’

‘…’

ชาวเยี่ยนโกรธเคืองขึ้นมาแล้ว การประชันวรรณกรรมเป็นประเพณีซึ่งสืบทอดกันมานมนานของพวกเขา และในยามนี้กลับถูกคนอื่นใช้ประเพณีนี้มาท้าทายชาวเยี่ยนเอง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครกล้าดูแคลนพวกเขาเช่นนี้!

……

ส่วนทางฉิน ฉี และฉู่

ทุกคนในแวดวงวรรณกรรมก็แตกตื่นเช่นกัน โดยเฉพาะนักเขียนนิทานชื่อดังจากทั้งสามมณฑลนี้ ก็ยิ่งเกิดความรู้สึกเหลือเชื่อขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงขั้นที่มีคนอดคิดไม่ได้ว่า

นี่ฉันกำลังฝันอยู่หรือเปล่า

ฉู่ขวงบ้าไปแล้ว?

แม้ว่าการยืนหยัดเผชิญหน้าแบบหนึ่งต่อเก้าของเขาจะเท่มากก็จริง แต่เขาไม่ได้ไตร่ตรองถึงความเป็นจริงบ้างหรือ? คู่แข่งเป็นถึงนักเขียนนิทานชื่อดังเก้าคนซึ่งพร้อมปล่อยพลังอย่างเต็มที่ นั่นเท่ากับว่าเขาต้องเขียนผลงานเก้าเรื่องออกมาพร้อมกัน นอกจากนั้นยังต้องรับประกันว่าคุณภาพของผลงานแต่ละชิ้นยังไม่เป็นรองเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ด้วย!

อีกด้านหนึ่ง

ในออฟฟิศ

จินมู่จ้องมองหลินเยวียนเมนชันถึงนักเขียนนิทานซึ่งส่งคำท้ามาติดต่อกันทีละคน การกระทำอันคล่องแคล่วนี้ปราศจากความลังเลหรือหยุดชะงักตั้งแต่ต้นจนจบ จนความคิดแรกที่แวบเข้ามาในห้วงสำนึกของจินมู่ก็คือ

หัวหน้าเขาบ้าไปแล้วหรือเปล่านะ?

และหลังจากที่หลินเยวียนจัดการกระบวนการเหล่านี้เสร็จสรรพ เขากลับพูดกับจินมู่ราวกับไม่ได้อนาทรร้อนใจ “ครั้งนี้จะไม่ปล่อยผลงานในนิตยสารแล้ว พื้นที่ของนิตยสารไม่เพียงพอ เราปล่อยคอลเล็กชันนิทานไปเล่มเดียวก็พอแล้วครับ ใช้ชื่อหนังสือว่า ‘นิทานฉู่ขวง’ ไปเลยเป็นไงครับ”

“นิทานฉู่ขวง?”

จินมู่กล่าวทวนด้วยความสับสน

หลินเยวียนพยักหน้า หลายวันมานี้เขาอ่านนิทานในคลังหนังสือของระบบ อ่านนิทานไปนับไม่ถ้วนจนแทบอาเจียน ทว่าผลที่ได้รับก็คือเขาสั่งผลิตผลงานจำนวนหนึ่งได้สำเร็จ “รวมเรื่องเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ที่ปล่อยไปแล้วไว้ด้วย ทีนี้ก็จะมีนิทานทั้งหมดสิบเรื่อง”

เดิมทีหลินเยวียนคิดว่าจะเผยแพร่หลายเรื่องกว่านี้

เขาสั่งผลิตนิทานจากระบบมาตั้งหลายเรื่อง

แต่มาลองนึกดูแล้วกลับรู้สึกว่า ปล่อยออกไปสักสิบเรื่องก่อนดีกว่า เท่านี้ก็มากพอให้บรรลุผลลัพธ์ที่เขาต้องการได้แล้ว ถ้ามากกว่านี้อาจมากเกินไป อีกทั้งยังจะทำให้เปลืองเงินโดยไม่จำเป็น ‘รวมนิทานบลูสตาร์’ ซึ่งทางการเตรียมผลิตนั้นจะรวบรวมนิทานสามสิบเรื่อง ผลงานทั้งสิบเรื่องของตนส่วนมากน่าจะมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ของสมาคมวรรณศิลป์ จะให้ตนครองโควตาส่วนมาก หรือครองโควตาซึ่งได้รับการคัดเลือกจากทางการทั้งหมดก็คงไม่ได้ล่ะมั้ง?

ด้วยแรงสนับสนุนจากระบบ

หลินเยวียนสามารถทำได้

แต่ถึงอย่างนั้น หลินเยวียนเองก็กำลังเติบโต มีหลายเรื่องที่เขามองได้ทะลุปรุโปร่งกว่าเมื่อก่อน ต้องเข้าใจว่ารวมนิทานบลูสตาร์คือโอกาสที่นักเขียนนิทานมากมายจากฉิน ฉี และฉู่กำลังจับตามอง ถ้าตนเพียงคนเดียวครองตำแหน่งกว่าครึ่ง ก็เท่ากับว่าตนไม่เหลือช่องทางให้คนอื่นเลย และหลังจากนั้นตนก็จะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของวงการนิทานอย่างแน่นอน ไม่ใช่ทุกคนจะมีจิตใจโอบอ้อมอารีและยอมประนีประนอมมากถึงเพียงนั้น!

ล่วงเกินคนอื่นมากเกินไปใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือสมาคมวรรณศิลป์คงไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น พวกเขาต้องการทำหนังสือรวมเล่มนิทานของบลูสตาร์ ไม่ใช่รวมเล่มนิทานของฉู่ขวง ไม่สามารถยืนมองฉู่ขวงยึดทุกตำแหน่งเพียงคนเดียวได้ นอกจากนั้น นิทานซึ่งหลินเยวียนเผยแพร่ในครั้งนี้แตกต่างกัน นิทานบางเรื่องเนื้อหาค่อนข้างมาก หนึ่งเรื่องมีความยาวเทียบได้กับสองเรื่องของคนอื่น ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน นิทานสิบเรื่องก็ไม่นับว่าน้อยแล้ว

คำท้าจากนักเขียนชื่อดังเก้าคนน่ะหรือ?

หลินเยวียนแค่ต้องการใช้เก้าเรื่องจากนิทานในดวงใจมาประชันวรรณกรรมกับอีกฝ่าย อย่าว่าแต่หนึ่งต่อเก้าเลย ต่อให้มีนักเขียนอีกสักสิบคนส่งคำท้ามาถึงฉู่ขวง หลินเยวียนก็ไม่หวั่นเกรง บังเอิญว่าสามารถใช้กระแสการประชันวรรณกรรมได้อีก นอกจากนั้นลงมือเพียงครั้งเดียวได้ต่อกรถึงเก้าคนกำลังพองาม นี่คือเหตุผลสำคัญว่าทำไมเขาจึงตัดสินใจประชันวรรณกรรมแบบหนึ่งต่อเก้า

“ส่งเข้าอีเมลให้แล้วนะครับ”

ความคิดเช่นนี้สว่างวาบขึ้นมาในสมอง หลินเยวียนจึงรวมไฟล์ต้นฉบับซึ่งสั่งผลิตเสร็จสมบูรณ์ในช่วงนี้ส่งให้จินมู่ “ต้นฉบับพวกนี้ส่งให้ถึงมือพี่ผมนะครับ ห้ามส่งให้คนอื่น พยายามให้ทางคลังหนังสือตีพิมพ์ก่อนสิ้นเดือน”

“ครับ…”

จินมู่พยักหน้าโดยอัตโนมัติ

หลินเยวียนครุ่นคิด รู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ถ้าหลังจากนี้ยังมีนักเขียนชื่อดังส่งทำท้ามาหาตนอีกจะทำอย่างไรดี นิทานเก้าเรื่องก่อนหน้านี้จะไม่พอใช้จริงๆ แล้ว ลองถามในโลกออนไลน์สักหน่อยดีกว่า ถ้ายังมีคนส่งคำท้ามาอีก จะได้เพิ่มจำนวนเรื่องเข้าไปได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงกดเข้าบัญชีผู้ใช้ของฉู่ขวงอีกครั้ง และเขียนโพสต์ด้วยความหวังดี ด้วยข้อความที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา

‘ยังมีใครอีกไหมครับ?’

………………………………………………