บทที่ 376 หลินเหราเตรียมตัวออกรบ
บทที่ 376 หลินเหราเตรียมตัวออกรบ
หลังจากที่มีราชโองการในวันต่อมา หลินเหราก็เตรียมตัวออกเดินทางทันที
เหยาซูเตรียมเสื้อผ้าและสัมภาระเดินทางสำหรับชายหนุ่ม และยัดเสบียงกรังจำนวนมากลงในย่ามของเขา หญิงสาวถอนหายใจและพูดด้วยเสียงเบา ๆ “ทำไมถึงรวดเร็วอย่างนี้ ซีเป่ยยังไม่ทันจะเกิดสงครามเลย”
หลินเหราวางของในมือลง ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาหญิงสาว และโอบเอวบางของภรรยาเอาไว้ “เดินทางไปทางตะวันตก ม้าเร็วยังใช้เวลาตั้งครึ่งเดือนกว่าจะเดินทางถึง ตอนนี้ท่านแม่ทัพและกองทัพก็ได้ออกเดินทางมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่มีทางตามทัน แต่ก็ไม่ควรทิ้งห่างกันมากจนเกินไป”
เหยาซูถอนหายใจออกมาโดยที่ไม่ได้กล่าวอะไร
ชายหนุ่มก้มหัวลงมาจูบเบา ๆ ที่ขมับของภรรยาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พอแล้ว ไม่ต้องจัดเตรียมของมากมายเพียงนั้น”
มือของหญิงสาวยังคงขยับอย่างไม่หยุดหย่อน และเพียงกล่าวขึ้นว่า “ท่านจะใช้หรือไม่ได้ใช้มันก็อีกเรื่องหนึ่ง ข้าจะเตรียมอะไรหรือไม่เตรียมอะไรมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในสนามรบกระบี่ไร้ดวงตา ข้าไม่สามารถปกป้องท่านได้ ทำได้ก็แค่เพียงจัดเตรียมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้แล้วก็วิงวอนต่อสวรรค์ขอให้ท่านปลอดภัย ”
ภายในจิตใจของหลินเหราพลันเกิดกระแสความอบอุ่นเกิดขึ้น มวลความอบอุ่นนั้นไหลไปตามกระแสเลือดและกระจายไปทั่วทุกส่วนในร่างกายของเขา
ชายหนุ่มเฝ้ามองภรรยาจัดเตรียมสิ่งของอย่างเงียบ ๆ รายละเอียดอันแสนอ่อนโยนและสวยงามของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าหนึ่งชีวิตที่ได้มานั้นไม่เพียงพอต่อตัวเขาเลย
“ข้าได้ฝากฝังให้คนนำฮู่ซิ่นจิ้ง[1] มาจากหนานเยว่หนึ่งชุด นอกจากนี้ยังขอให้คนเผาเครื่องหอมหกสิบตำลึงและบูชาต่อหน้าพระโพธิสัตว์ต่าง ๆ ในหนานเยว่ เหรียญเครื่องรางนี้จะคุ้มครองท่าน ท่านต้องพกติดตัวไว้ ได้ยินหรือไม่?”
ชายหนุ่มยื่นมือไปหยิบของในมือของหญิงสาวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหรียญเครื่องรางทองแดงอันนั้น ยังคงนำพาความอบอุ่นจากมือของนางมาด้วย ทำให้หัวใจของหลินเหราเกิดความรู้สึกปวดแปลบ
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “อาซู ขอบคุณเจ้ามาก”
เหยาซูคลี่ยิ้มโดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา
และชายหนุ่มได้กล่าวขึ้นอีกว่า “หลังจากที่ข้าจากไปแล้ว จะกลายเป็นเจ้าคนเดียวที่คอยดูแลลูก ๆ เป็นการทำให้เจ้าต้องลำบาก ยังดีที่ทุกวันนี้ซานเป่ามีจวนตระกูลเซี่ยคอยดูแล และเขาเองก็อาศัยอยู่กับครอบครัวท่านแม่ ทำให้ข้าสบายใจขึ้นมาก”
เหยาซูยื่นมือขึ้นมาลูบใบหน้าของชายหนุ่มเบา ๆ ใบหน้าที่งดงามนั้น ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งนางก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย
ดวงตาดอกท้อของหญิงสาวโค้งขึ้นเป็นรูปจันทร์เสี้ยว นางกล่าวขึ้นเบา ๆ “ลำบากอะไรกันเล่า เด็ก ๆ โตพอที่จะรู้เรื่องกันแล้ว ท่านไปออกรบได้อย่างสบายใจ ที่บ้านยังมีข้านะ”
“อื้ม” หลินเหราตอบรับเสียงเบา
แล้วก็ฟังหญิงสาวที่กล่าวขึ้นอีกว่า “ไม่กี่วันก่อนท่านน้ามาที่บ้าน พูดถึงเรื่องการเรียนของอาจื้อ ท่านน้าเคยได้บอกท่านไปแล้วหรือยัง”
หลินเหราส่ายหน้า “สองสามวันมานี้ข้าเองก็ทำงานอยู่แต่ในวัง ไม่ได้พบกับท่านน้าเลย”
หญิงสาวจึงได้อธิบายขึ้นว่า “ตอนที่อาจื้อมาเมืองหลวงใหม่ ๆ เขาต้องการให้อาจื้อเข้าไปที่สำนักกว๋อจื่อเจี้ยน ตอนนี้ผลการทดสอบของสำนักก็ออกมาแล้ว คะแนนของอาจื้อนับว่าดีเลยทีเดียว ท่านน้าจึงส่งจดหมายทำเรื่องขอเข้าเรียนไปที่สำนัก ”
หลินเหราพยักหน้า “เป็นเรื่องที่ดี”
เหยาซูยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านไม่ไปให้กำลังใจลูกชายท่านบ้างเล่า เมื่อวานข้าชื่นชมไปแล้วไม่น้อย คงจะต้องการให้ท่านพ่ออบรมสอนสั่งบ้าง”
หลินเหรากระตุกยิ้มมุมปาก ใบหน้าปกติที่เย็นชาแสดงรอยยิ้มราวกับหิมะแรกที่ละลายลงและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “เหตุใดตอนนี้เจ้าจึงไม่คัดค้านที่ข้าเข้มงวดแล้วเล่า?”
เหยาซูถอนหายใจ หญิงสาวเบือนหน้าหนีและไม่ต้องการที่จะมองชายหนุ่ม “ใครว่าไม่คัดค้าน การให้แต่กำลังใจมาโดยตลอดมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควร เวลาที่ท่านต้องการเข้มงวดกับลูก ๆ ท่านก็อย่าละทิ้งซึ่งสิ่งที่ควรทำ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นที่ข้างหูของหญิงสาว “ข้าก็ไม่เคยบอกว่าข้าจะไม่เข้มงวดแล้ว”
หลินเหรามองไปที่ประตู ยังไม่มีผู้ใดเดินเข้ามา
ภายในห้องที่เงียบสงัด มีเพียงแค่เสียงการเก็บข้าวของของหญิงสาวเท่านั้น ทำให้หัวใจของชายหนุ่มรู้สึกเบิกบานและสงบสุข
ชายหนุ่มกอดภรรยาของตนแล้วบรรจงจูบอย่างลึกซึ้ง…
ผ่านไปชั่วครู่
เหยาซูตบบ่าของชายหนุ่มเบา ๆ แล้วกล่าวขึ้นเสียงแผ่ว“พอแล้ว พอแล้ว นี่มันกลางวันแสก ๆ นะ ไม่กลัวถูกคนเห็นหรือ ถ้าลูก ๆ เข้ามาเล่า…”
ในขณะที่กำลังพูดอยู่ บริเวณด้านนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น หลินเหราจึงรีบปล่อยเอวของหญิงสาวก่อนโดยพลัน
นางยังคงไม่ตอบสนอง ไพล่คิดไปว่าเมื่อไรกันที่ผู้ชายคนนี้เชื่อฟังขนาดนี้?
พริบตาต่อมาก็เหลือบไปเห็นเอ้อหลาง เหยาซูหันไปหาหลินเหราและยิ้มแห้ง ๆ ให้กับชายหนุ่ม
เหยาเอ้อหลางรีบก้าวเข้ามาในห้อง แล้วเอ่ยเสียงดัง “ท่านอาเขย ท่านอาเขย ท่านจะไปออกรบที่ซีเป่ยหรือขอรับ เหมือนกับท่านแม่ทัพที่ไปรบกับพวกทูเจวี๋ยที่ซีเป่ยหรือขอรับ?”
หลินเหราชอบความง่าย ๆ และตรงไปตรงมาของเหยาเอ้อหลางมาโดยตลอด นอกจากนี้ เด็กคนนี้ชอบมาซ้อมมวยกับเขาแต่เช้าตรู่ ดังนั้นเขาจึงมีความอดทนกับเหยาเอ้อหลางมากกว่าคนอื่น ๆ
หลิงเหราวางมือไว้บนศีรษะของเหยาเอ้อหลาง แล้วตอบเด็กชายเบา ๆ “ใช่แล้ว”
ดวงตาทั้งสองของเด็กชายเป็นประกาย “ข้าไปด้วย” เด็กน้อยพูดขึ้นมาสามคำ
แต่หลินเหรารู้ชัดเจนดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่เด็กชายจะเข้าสู่สนามรบ และด้วยคำพูดนั้น ชายหนุ่มก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้เอ้อหลางรู้สึกอัดอั้นใจ
สีหน้าของหลินเหรายังคงนิ่งสงบ และกล่าวให้กำลังใจกับเอ้อหลาง “สิ่งที่เจ้าเรียนจากข้าไป คือมวยที่ทหารในซีเป่ยใช้ฝึกฝนมาตลอด การเสริมสร้างร่างกายเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และยังช่วยให้ผู้คนมีความคล่องตัวและมีทักษะ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อสนามรบ”
เหยาเอ้อหลางฉีกยิ้มกว้าง “ท่านอาเขยพูดจริงใช่ไหมว่ามวยที่ท่านสอนให้ข้าคือมวยที่ทหารในวังใช้กัน ถ้าข้าโตขึ้นก็สามารถเป็นทหารได้สิขอรับ ”
หลินเหราพยักหน้า “ได้แน่นอน”
เหยาซูที่มองอยู่จากข้าง ๆ ก็รู้สึกว่าเหยาเอ้อหลางนี่ช่างน่าสนใจเสียจริง ๆ
โดยปกติก็ดูไม่ต่างจากลูก ๆ ของครอบครัวอื่น ๆ แต่ภายในใจของเด็กน้อยมีเรื่องที่รักและชอบที่จะทำ
ความคิดของเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง ออกรบเพื่อฆ่าศัตรูและเป็นแม่ทัพที่ปกป้องครอบครัวและประเทศชาติ
เหยาเอ้อหลางที่มักจะเคร่งครัดในกฎระเบียบ เด็กน้อยรู้ว่าอาเขยของเขากำลังจะเข้าสู่สนามรบ ดังนั้นเขาจึงเริ่มรังควานหลินเหรา ถามสิ่งนั้นบ้างถามสิ่งนี้บ้าง ผู้คนต่างฟังเขาอย่างท่วมท้น และคำถามทั้งหมดก็ถูกตอบมาในคราวเดียว ทำให้คนที่รอฟังแทบจะทนไม่ไหว
เหยาซูที่เห็นผู้ใหญ่และเด็กน้อยทั้งสองผลัดกันถามตอบ ก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว
หญิงสาวจัดสัมภาระเดินทางของหลินเหรา ทันทีที่นางก้าวออกจากประตูเพื่อไปบ้านของแม่เฒ่าเหยาเพื่อไปเอาของบางอย่าง เหยาซูก็เห็นร่างเล็ก ๆ นั่งยอง ๆ อยู่ในสนามหญ้า ถือกิ่งไม้ในมือกำลังเขียนและวาดรูปอะไรบางอย่างอยู่บนพื้น
เหยาซูมองดูก็รู้ทันทีว่าเป็นอาจื้อ นางเดินเข้าไปแล้วกล่าวกับเด็กน้อยอย่างอบอุ่น “อาจื้อ วันนี้เจ้าไม่ไปทบทวนหนังสือหรือ ไยเจ้าถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้”
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นแล้วโยนกิ่งไม้ออกไปอีกด้านหลังจากนั้นก็ยิ้มให้กับเหยาซู “ไม่มีอะไรขอรับ ท่านแม่ ช่วงนี้ท่านปู่ให้ข้าหยุดพัก คาบเรียนไม่ค่อยมีมากนัก ข้าอยากจะอยู่กับท่านพ่อให้มาก ๆ”
เหยาซูพยักหน้า หญิงสาวนั่งยอง ๆ ข้างลูกชาย นางจ้องมาสิ่งที่เด็กชายวาดลงไปบนพื้น
ไม่ใช่ของสำคัญอะไร เพียงแค่เป็นจินตนาการในหัวของเด็กชายตัวเล็ก ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปออกรบของหลินเหรา แล้วเขาก็วาดภาพแม่ทัพเช่นกัน
เหยาซูเห็นแบบนั้นก็รู้ว่า เด็กน้อยไม่ยอมกล่าวออกจากปาก แต่ภายในจิตใจเขาก็คงรู้สึกไม่สบายใจนัก
เหยาซูยื่นมือออกไปลูบหัวลูกชายเบา ๆ แล้วกล่าวอย่างอบอุ่น “วันนี้อาซือออกไปกับท่านยายเพื่อไปซื้อของให้ท่านพ่อ ตอนนี้เอ้อหลางก็อยู่ในห้อง เจ้าเข้าไปพูดคุยกับพวกเขาสิ ”
อาจื้อพยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง
เหยาซูเองก็ลุกขึ้นมามองตามหลังของลูกชาย แล้วถอนหายใจเบา ๆ
ไม่ใช่เพียงแค่เด็ก ๆ รู้สึกไม่สบายใจ แม้แต่หัวใจของนางเองก็ดูเหมือนจะหล่นวูบลง
เพียงแค่หวังว่าหลินเหราจะกลับมาอย่างปลอดภัย…
……………………………………………………………………………………………………………………
[1] ฮู่ซิ่นจิ้ง (护心镜) เป็นประเภทของเกราะแผ่น บางประเภทแรกเริ่มมาจาก กระจกโลหะทรงกลมที่สวมทับชุดเกราะอื่น ๆ
สารจากผู้แปล
หลินเหราจะออกรบแล้วใจหายกันหมดทั้งบ้านเลยค่ะ ขอให้พี่กลับมาปลอดภัยนะคะ
ไหหม่า(海馬)