บทที่ 377 ไป๋ป๋อเจ๋อ

บทที่ 377 ไป๋ป๋อเจ๋อ

เย็นวันนี้คนในตระกูลเหยามารวมตัวกันอีกครั้ง อีกทั้งเรียกเสี่ยวเว่ย อวี๋จือ และสหายร่วมงานในวังของหลินเหรามากินข้าวด้วยกันอย่างครึกครื้น เพื่อเป็นการเลี้ยงส่งให้แก่ชายหนุ่ม

เมื่อทุกคนรู้ว่าหลินเหราจะต้องออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น จึงไม่ได้คะยั้นคะยอให้ชายหนุ่มดื่ม เพียงเเค่ปล่อยให้ชายหนุ่มได้มีความสุขและดื่มตามที่เข้าต้องการ

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ในบ้านของตระกูลเหยาก็มีการเคลื่อนไหว

วันนี้หลินเหราจะออกเดินทาง สองผู้เฒ่าแห่งตระกูลเหยาจึงตื่นแต่เช้า ทั้งครอบครัวร่วมวงมื้อเช้าด้วยกัน แล้วส่งหลินเหราออกเดินทาง

เหยาซูจูงมืออาซือ โดยมีอาจื้อกำลังอุ้มน้องชายของตน ทั้งหมดไปส่งหลินเหราที่ประตูเมือง

บรรยากาศอบอวลด้วยกลิ่นดินชื้นหลังคืนฝนตก ต้นหลิวสูงตระหง่านยืนต้นเรียงรายอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแถบชานเมือง

ห่างออกไปสิบลี้ในเขตชานเมืองของเมืองหลวง มีศาลาเล็ก ๆ ที่สะอาดและเรียบง่ายแห่งหนึ่ง

เหยาซูพาเด็ก ๆ เข้าไปด้านใน และพูดคุยกับหลินเหราเล็กน้อย

ดวงตาทั้งสองเป็นประกายของหญิงสาวจ้องมองไปยังดวงตาที่ลุ่มลึกของหลินเหรา เหยาซูเริ่มบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเคยพาลูก ๆ ไปฝั่งตะวันตกของเมืองอยู่บ่อยครั้ง แต่กลับไม่เคยสังเกตเห็นว่ามีศาลาหลังนี้อยู่ เห็นแบบนั้นแล้วข้าก็รู้สึกเหมือนว่ามันถูกจัดวางมาเป็นพิเศษสำหรับการกล่าวลาในครั้งนี้”

ประโยคที่หญิงสาวได้เอ่ยขึ้นแฝงไปด้วยความเจ็บปวด

“อื้ม” หลินเหราตอบกลับเบา ๆ ด้วยความรู้สึกบีบคั้น

อาซือเงยหน้าขึ้นมาและเอ่ยถามว่า “ท่านพ่อ ท่านจะกลับมาเมื่อไรเจ้าคะ”

หลินเหราลูบศีรษะของบุตรสาวอย่างอ่อนโยน “หลังสงครามที่ซีเป่ยสงบลง พ่อจะรีบกลับมาทันที”

ดวงตาสีเข้มของเด็กหญิงตัวน้อยเริ่มรื้นหยาดน้ำขึ้นอย่างช้า ๆ อาซือได้แต่กัดริมฝีปากของตนไว้โดยไม่ได้พูดอะไร

อาจื้อที่อยู่อีกด้านได้ปลอบโยนน้องสาวของตน “เอ้อเป่า อย่าเสียใจไปเลย รอท่านพ่อกลับมาซานเป่าก็คงจะพูดได้แล้ว พวกเราอยู่บ้านคอยสอนซานเป่าให้ฝึกพูดดีหรือไม่ หืม?”

“อื้ม” เด็กหญิงตัวน้อยตอบกลับเบา ๆ

ทั้งครอบครัวพูดคุยกันสักพัก ท้องฟ้าก็เริ่มสว่าง

เหยาซูถอนหายใจ นางรู้ว่าถึงเวลาที่ต้องแยกจากกันแล้ว

หลินเหรามองภรรยาและลูก ๆ ของตน ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ส่งเพียงแค่นี้เถิด ได้เวลาเดินทางแล้ว”

เหยาซูพยักหน้าเบา ๆ หญิงสาวเดินเข้าไปสวมกอดหลินเหรา จ้องมองชายหนุ่มที่เดินจากไป

อาซือสะอึกสะอื้นและกอดมารดาของตนไว้ อาจื้อที่อยู่ข้าง ๆ ก็ทำได้แค่เพียงแค่เอ่ยปลอบน้องสาว

เวลานี้ซานเป่าที่ยังไม่รู้ความ ยังไม่เข้าใจความหมายของการจากลา

ห่างออกไป หลินเหราควบม้าพลางหันกลับไปมองภรรยาและลูก ๆ ด้วยความอาลัยอาวรณ์ แล้วชายหนุ่มก็ควบม้าออกไปยังฝั่งตะวันตก

…..

หลังจากที่ชายหนุ่มไปแล้ว เหยาซูก็พาลูก ๆ กลับบ้าน

ระหว่างทางกลับบ้าน อาซืออารมณ์ไม่ค่อยดีมาตลอดทาง ตรงกันข้ามกับอาจื้อที่ปลอบโยนน้องสาวอย่างไม่หยุด

ท้ายที่สุด เด็กน้อยก็ยิ้มออกมา

สายตาเย็นชาของเหยาซูเหลือบมามอง ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าอาจื้อโตขึ้นมากแล้ว สิ่งที่เด็กชายทำเป็นการกระทำของเด็กที่โตแล้ว

นางจำได้ว่าอาจื้อเคยผลัดฟันมาก่อน และอาจื้อจะนำฟันที่หลุดออกมาให้นางเก็บเอาไว้

ตอนนี้หญิงสาวเห็นว่าเด็กชายไม่ได้นำฟันมาให้แล้ว จึงอดที่จะถามขึ้นไม่ได้ “ต้าเป่า ช่วงนี้เจ้าไม่ผลัดฟันแล้วหรือ แม่ไม่เห็นเจ้านำฟันมาให้เลย”

อาจื้อหันศีรษะขึ้นมา ดูเหมือนว่าเด็กชายไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี แต่ก็ได้กล่าวออกมาว่า “ก็ผลัดอยู่นะขอรับ ครั้งที่แล้วตอนที่กินข้าวที่บ้านของท่านปู่ ข้าเผลอกลืนมันลงไปซี่หนึ่ง…”

อาซือเบิกตากว้าง รีบเอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อน “ท่านพี่ ท่านกินฟันลงไปหรือ จะปวดท้องไหม ไปหาหมอมาหรือยัง?”

อาจื้อส่ายหน้า “ไม่ได้ไป…พี่ฝูลี่บอกว่ามันไม่ได้ร้ายแรงอะไร”

เหยาซูมองใบหน้าตกประหม่าของอาซือ ยามนี้ความกังวลเรื่องที่บิดาจากลาไปรบของเด็กหญิงได้หายไปหมดแล้ว อาซือเพียงลากพี่ชายมาถามคำถามเท่านั้น และภายในใจของเหยาซูก็รู้สึกขบขัน…

หญิงสาวฟังเสียงพูดคุยจอแจของเด็ก ๆ มาตลอดทาง อีกทั้งยังตรวจดูฟันซี่ที่งอกขึ้นใหม่ของอาจื้อ ผ่านไปไม่นานก็เดินมาถึงบ้านโดยไม่รู้ตัว

ขณะที่หญิงสาวกำลังก้าวเข้าประตูเรือน ก็ได้มีคนรับใช้จากจวนตระกูลเซี่ยยืนรออยู่ที่ลานบ้าน เขาบอกว่านายท่านให้มาเชิญคุณชายอาจื้อเข้าพบ

อาจื้อหันไปมอง เอ่ยถามกับเหยาซูว่า “ท่านแม่ ข้าควรพาซานเป่าไปด้วยหรือไม่ขอรับ?”

ช่วงที่ผ่านมาเซี่ยเชียนยุ่งมาตลอด แม้แต่เวลามาส่งหลินเหราเขาเองก็ยังไม่มี เช้าเช่นนี้ส่งคนมาเรียกอาจื้อ แสดงว่าต้องมีเรื่องเร่งด่วน

เหยาซูส่ายหน้า “ช่วงนี้ท่านปู่ของเจ้าไม่ได้อยู่ที่วังหรอกหรือ? วันนี้ต้องการพบเจ้าแสดงว่าเป็นเรื่องสำคัญ หากซานเป่าไปด้วย จะกลายเป็นภาระเสียเปล่า”

“อื้ม” อาจื้อตอบรับเบา ๆ แล้วก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

เหยาซูบอกให้ลูกชายไปที่จวนตระกูลเซี่ย นางจะอยู่เล่นกับอาซือและซานเป่าอยู่สักครู่ หลังจากนั้นก็เข้าไปดูร้านขายผ้า

หลังจากรอให้เหยาซูกลับมาจากรับประทานอาหารกลางวัน ก็พบว่าคนในบ้านมีท่าทีที่ดูจะมีความสุขเป็นพิเศษ

สีหน้าหญิงสาวดูจะไม่เข้าใจในสถานการณ์ นางจึงไปถามสาวใช้ที่กำลังทำปัดกวาดเช็ดถูอย่างสงสัย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ทำไมทุก ๆ คนดูเหมือนราวกับว่าเลี้ยงฉลองตรุษจีนกันอยู่เล่า”

สาวใช้ยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูยังไม่ทราบอีกหรือเจ้าคะ? เป็นเรื่องราวดี ๆ ของนายน้อยอาจื้อเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่ให้พวกเราคนละสองตำลึง บอกว่าทุกคนควรจะมีความสุข!”

เหยาซูคลี่ยิ้มบาง “เด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง จะมีเรื่องราวดี ๆ อะไรกัน! ไม่กี่วันก่อนเขาเข้าทดสอบของสำนักกว๋อจื่อเจี้ยน ไม่ใช่ว่าฉลองไปแล้วหรือ?”

สาวใช้ส่ายหัว ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูเข้าไปดูเถอะเจ้าค่ะ พอดูแล้วก็จะทราบเอง”

เหยาซูยังต้องการที่จะถามต่ออีก แต่กลับถูกลากเข้าไปบริเวณหน้าลานบ้าน หญิงสาวจึงต้องระงับความอยากรู้อยากเห็นของตนแล้วเข้าไปในบ้าน

ทันทีที่หญิงสาวก้าวเข้าประตูไป เหยาซูก็เห็นพ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยานั่งยืดตัวตรง อีกด้านหนึ่งคือเซี่ยเชียน และชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นปราชญ์ผู้รู้หนังสือผู้หนึ่ง

ทั้งสองฝั่งกำลังดื่มชากัน สนทนากันบ้างเป็นครั้งคราว อาจื้อยังคงนั่งฟังด้วยความเคารพ

คนแปลกหน้ามีสีหน้าสดใส กิริยาท่าทางดูสง่ากำลังสนทนากับเซี่ยเชียน แบบนี้จึงทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของเหยาซูเพิ่มมากขึ้น

แม่เฒ่าเหยาเป็นคนแรกที่เห็นบุตรสาวเดินเข้ามา “อาซูกลับมาแล้ว”

เหยาซูส่งเสียงตอบ พ่อเฒ่าเหยาจึงได้เริ่มแนะนำตัวขึ้น “มาเร็ว มาพบกับใต้เท้าสำนักกว๋อจื่อเจี้ยน ในอนาคตเขาจะเป็นอาจารย์ของอาจื้อ”

ต้าเยี่ยนให้ความสำคัญกับการเคารพอาจารย์เป็นอย่างมาก แม้อาจื้อจะยังไม่ได้คำนับขอเป็นศิษย์ แต่ ‘ใต้เท้าไป๋’ ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นอาจารย์ การที่เขาจะมาปรากฏตัวที่บ้านตระกูลเหยาก็เห็นได้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกอะไร

เหยาซูยิ้มแล้วคำนับ “ข้าเป็นมารดาของอาจื้อ คำนับใต้เท้าไป๋”

อีกฝ่ายก็ได้ลุกขึ้นทำความเคารพกลับเช่นกัน “ข้าน้อยไป๋ป๋อเจ๋อ ผู้ดูแลสำนักกว๋อจื่อเจี้ยน เดิมทีใต้เท้าอาวุโสมองว่าหลินจื้อจะเป็นต้นกล้าที่ดี จึงไม่กล้าปล่อยให้หลุดไป แต่น่าเสียดายที่ใต้เท้ามีอายุมากแล้ว เดินทางไม่ค่อยสะดวกนัก จึงให้ข้าน้อยมาเป็นตัวแทนคอยอบรมแนะนำ”

เหยาซูกล่าวขึ้นด้วยความเกรงใจ “ใต้เท้าถ่อมตนเกินไปแล้ว ข้าเองก็ได้ยินมานานแล้วว่าตระกูลไป๋ในเมืองหลวงเป็นตระกูลนักปราชญ์ที่ล่วงลับไปแล้วนับร้อยปี ช่างเป็นวาสนาอย่างยิ่งที่อาจื้อได้รับการสอนจากท่านไป๋”

ไป๋ป๋อเจ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากกล่าวถึงวิชาความรู้ เมื่อเปรียบเทียบกับใต้เท้าเซี่ย ข้าน้อยก็รู้สึกละอายใจยิ่งนัก”

เซี่ยเชียนไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เหยาซูที่ได้ยินว่าแม้ว่าคำพูดของไป๋ป๋อเจ๋อจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมาก แต่นางก็เห็นคุณค่าและชื่นชมความรู้ความสามารถของเซี่ยเชียนเช่นกัน

เหยาซูคลี่ยิ้มเชื่องช้า แล้วกล่าวด้วยความเกรงใจ “เชิญท่านไป๋นั่งก่อนเถอะ”

หลังจากรอให้แขกนั่งลงแล้ว เหยาซูก็เริ่มเข้าใจว่าพวกเขากำลังสนทนาเรื่องอะไรกัน

เดิมทีพ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยากำลังสนทนากับเซี่ยเชียนและไป๋ป๋อเจ๋อ เกี่ยวกับการคำนับขอเป็นศิษย์ของอาจื้อ หลังจากที่สนทนากันไปเรื่อย ๆ หัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ

ไป๋ป๋อเจ๋อเป็นคนที่เปลี่ยนหัวข้อก่อนคนแรก เขากล่าวกับผู้เฒ่าเหยาทั้งสองว่า “เมื่อครู่ทั้งสองท่านบอกว่าพ่อและแม่ของหลินจื้อไม่อยู่ จึงไม่กล้าตัดสินใจแทน ตอนนี้แม่ของอาจื้อก็มาแล้ว เหตุใดพวกเราไม่มาพูดคุยกันเรื่องนี้เล่า”

สองผู้เฒ่าหัวเราะออกมา ใบหน้าของอาจื้อแดงขึ้นมาในทันที แต่ท่าทีของเซี่ยเชียนยังคงสงบอยู่เหมือนเดิม

หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงเริ่มเอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านไป๋ต้องการจะพูดถึงเรื่องอันใด?”

เมื่อมองดูแล้วไป๋ป๋อเจ๋อท่านนี้ดูค่อนข้างจะมีอายุ แต่จริง ๆ แล้วเขาถูกบิดาอบรมสั่งสอนมาอย่างเข้มงวดมาตั้งแต่เล็ก ๆ และนี่คือลักษณะของผู้ที่ผ่านการศึกษาตำรามาตลอดหลายปี

แท้จริงแล้วเขามีอายุมากกว่าเหยาซูและหลินเหราไม่กี่ปี

หลายปีมานี้บิดาของเขาสุขภาพไม่ค่อยดี จึงลงจากตำแหน่งผู้ดูแลสำนักกว๋อจื่อเจี้ยน

ตอนนี้ประกอบกับตระกูลไป๋ไม่ได้ติดต่อกันมาหลายปี และไป๋ป๋อเจ๋อก็เป็นบุตรคนเดียว จึงต้องแบกรับหน้าที่แทนผู้เป็นพ่อ

ตอนนี้เขาก็มีบุตรสาวอยู่หนึ่งคน ต้องค้นหาใครสักคนที่สามารถสืบทอดตำแหน่งของตระกูลไป๋ได้ เมื่อเขาเห็นอาจื้อในคราแรกก็เริ่มสนใจในตัวเด็กชาย

ตอนนี้คำพูดที่ออกจากปากของไป๋ป๋อเจ๋อ ไม่ได้สนใจพิธีรีตองหรือพูดเอาหน้าอะไร ชายหนุ่มจึงพูดชื่นชมกับเหยาซู “การทดสอบของสำนักกว๋อจื่อเจี้ยนในปีนี้ ไม่มีบทความของใครเลยที่ถูกใจข้า มีแต่เพียงของอาจื้อที่ข้าชื่นชอบเป็นอย่างมาก จึงเรียกมาสอบถามข้อมูล จึงรู้ว่าเด็กคนนี้มีสายเลือดของเซี่ยเชียน ถึงแม้ว่าจะไม่เหมือนลูกหลานของตระกูลขุนนางชั้นสูง แต่เขาก็มีความสามารถและเฉลียวฉลาดเป็นพิเศษ ตอนนี้นับได้ว่าอาจื้อมาไกลเกินกว่าคนทั่วไป…”

เหยาซูยิ้มหลังจากที่ฟังชายหนุ่มกล่าวชื่นชม หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะหาวออกมา แล้วคิดในใจ เมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยหลับ และเช้านี้ก็ไปส่งหลินเหรามา อยากกลับมานอนซักหน่อย…

จนได้ยินไป๋ป๋อเจ๋อกล่าวประโยคที่จริงใจหนึ่งประโยคนี้ขึ้นมา “ทายาทสายตรงของตระกูลไป๋อยู่ในห้องถัดไปเท่านั้น และในครอบครัวมีบุตรสาววัยหกขวบเพียงคนเดียว ถ้าหากว่าฮูหยินหลินเชื่อใจในตระกูลไป๋ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะลองพิจารณาเรื่องการแต่งงาน”

ถ้วยน้ำชาที่อยู่ในมือของเหยาซูสั่นสะท้าน ความง่วงเหงาหาวนอนของนางพลันมลายหายไปสิ้น

ความว่างเปล่าแวบเข้ามาในความคิดของหญิงสาวครู่หนึ่ง สงสัยว่าตนเองได้ยินผิดไปหรือไม่ “ท่านไป๋ ท่านหมายความว่า…”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อยู่ดี ๆ อาจื้อก็โดนจับคู่หมั้นหมายตั้งแต่เด็กเฉยเลยค่ะ ตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว

ไหหม่า(海馬)