บทที่ 378 ความคิดของอาจื้อ
บทที่ 378 ความคิดของอาจื้อ
ไป๋ป๋อเจ๋อยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็คงต้องรอใต้เท้าหลินกลับมาก่อน แล้วพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง จะเป็นไปได้ไหมถ้าหากว่าวันรุ่งขึ้นจะเชิญฮูหยินหลินและลูก ๆ ไปเป็นแขกของบ้านเรา ถือโอกาสทำความรู้จักกับบุตรสาวของข้า”
เหยาซูกะพริบตาด้วยความมึนงง
นี่กำลังจับคู่ให้อาจื้ออยู่เหรอ? ฟันน้ำนมของอาจื้อยังผลัดไม่หมดเลยนะ!
เมื่อเห็นอาการตกใจของเหยาซูที่มิอาจปิดบัง ไป๋ป๋อเจ๋อก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย เขาจึงกล่าวขึ้นอย่างเก้อเขิน “มันคงจะกะทันหันไป เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะตัดสินใจเองได้ เพียงแต่ว่าวันนี้ข้าได้พูดคุยกับสองผู้เฒ่าบ้างแล้ว แต่พอได้พบกับฮูหยิน ข้าเองก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกไป…ทำให้ฮูหยินต้องรู้สึกขบขันแล้ว”
เหยาซูเองอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา หญิงสาวส่ายหัวด้วยความรู้สึกจนปัญญา “ท่านไป๋ ไม่มีอะไรที่มีมารยาทหรือเสียมารยาทหรอก อีกหน่อยท่านก็จะเป็นอาจารย์ของอาจื้อ ตระกูลไป๋และตระกูลของพวกเรา สามารถพูดคุยกันได้ในทุก ๆ เรื่อง เพียงแต่ว่า…”
น้ำเสียงที่อบอุ่นของหญิงสาวทำให้คนฟังแล้วรู้สึกไพเราะราวกับสายลมในวสันตฤดู ผู้คนในใต้หล้าต่างก็ชื่นชอบสตรีที่อ่อนโยนและสวยงาม ไป๋ป๋อเจ๋อเองก็เช่นกัน
เวลาที่ชายหนุ่มสนทนากับเหยาซู จึงอดที่จะใช้น้ำเสียงนุ่มนวลไม่ได้ “ฮูหยินหลินถ้าท่านมีเรื่องต้องการจะกล่าว เชิญท่านกล่าวออกมาได้เลย ”
สีหน้าของหญิงสาวดูราวกับกลืนไม่คายไม่ออก ขณะชี้ไปที่ลูกชายแล้วกล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้อาจื้อยังเด็กนัก และบุตรสาวของท่านเองก็เช่นกัน เรื่องการแต่งงานข้าเกรงว่ามันก็อาจจะเร็วไปหน่อย”
เหตุผลนี้ไม่สามารถโน้มน้าวไป๋ป๋อเจ๋อได้
เขาส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “อายุน้อยนั้นไม่สำคัญ เพียงแค่ครอบครัวทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ การแต่งงานก็นับว่าเป็นเรื่องที่สวยงาม”
กล่าวอย่างนั้น ชายหนุ่มก็หันไปมองเซี่ยเชียน และนึกขึ้นได้ว่าการแต่งงานของเซี่ยเชียนเองก็ถูกจัดขึ้นตั้งแต่ยังเล็กเช่นกัน
จนวันที่ตระกูลเซี่ยและเซวียทั้งสองตระกูลล้มลง…
เหยาซูเห็นท่าทางที่มีความสุขของไป๋ป๋อเจ๋อ จึงไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ นางยิ้มแล้วกล่าวออกมาว่า “เรื่องการแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้ ดังนั้นข้าจะเขียนจดหมายถึงบิดาของอาจื้อ ถามถึงวันเวลาที่จะเดินทางกลับ จะได้ให้ไปพบท่านไป๋”
หลินเหราเพิ่งเริ่มออกเดินทางวันนี้ แม้ว่าการศึกสงครามจะผ่านไปด้วยดี แต่ก็ต้องใช้เวลาสองสามเดือนกว่าจะกลับมา
ไม่ต้องพูดถึงว่าหากสงครามไม่สงบ เกรงว่าจะต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองปีเสียด้วยซ้ำ
แม้ไป๋ป๋อเจ๋อจะหวังจัดการเรื่องนี้แต่เนิ่น ๆ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องเคารพความคิดเห็นของเหยาซู ชายหนุ่มจึงเพียงพยักหน้าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเชียนไม่ได้แสดงท่าทางอะไรมาตลอดการสนทนา ทว่าแท้จริงแล้วภายในใจของเขาก็จินตนาการถึงจวนของตน
ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ตระกูลไป๋มีเด็กหญิงที่เป็นทายาทสายตรงเพียงคนเดียว แต่อิทธิพลของตระกูลไป่ในราชสำนักและแวดวงการศึกษาก็เพียงพอแล้วที่จะคู่ควรกับอาจื้อ
วันข้างหน้าเมื่อบุตรสาวของตระกูลไป๋เติบโตขึ้น เกรงว่าคนที่จะมาสู่ขอคงจะมีเยอะแยะมากมาย
เพียงแต่ว่าเมื่อมองว่าเหยาซูเองก็ดูเหมือนจะคิดเตรียมการไว้แล้ว เซี่ยเชียนก็ไม่ได้ต้องการที่จะเข้าไปแทรกแซงอะไรมากนัก
เขาเพียงเอ่ยปากขึ้นกับเหยาซูด้วยเสียงเบา “ตระกูลไป๋เป็นตระกูลที่รู้พิธีการเป็นอย่างดี วันข้างหน้าถ้าไปมาหาสู่กัน เจ้าก็จะรู้เอง อาจื้อเองก็ควรจะไปเยี่ยมเยียนบ่อย ๆ เพื่อเป็นการขอคำชี้แนะจากอาวุโสของตน”
ทั้งเหยาซูและอาจื้อล้วนตอบรับ
หลังจากที่สนทนาไปแล้วครู่หนึ่ง เซี่ยเชียนเองก็มีเรื่องด่วนขึ้นมาจึงกล่าวคำอำลา ไป๋ป๋อเจ๋อเองก็เดินตามออกไปเช่นกัน
หลังจากที่ส่งแขกทั้งสองคนกลับไป เหยาซูก็พาอาจื้อกลับลานบ้านของตน เมื่อกำลังจะนั่งลง หญิงสาวก็ทนไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “ท่านไป๋ผู้นี้ เจ้ารู้จักมานานเท่าไรแล้ว”
อาจื้อพยักหน้า “ท่านปู่พาข้าไปจวนตระกูลไป๋เพื่อขอคำชี้แนะจากอาวุโสอยู่บ่อยครั้ง ท่านอาจารย์ก็อยู่ด้วยบ่อย ๆ ขอรับ”
เด็กชายลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกมา “ท่านแม่ไม่ไว้ใจตระกูลไป๋หรือขอรับ? ”
เหยาซูลูบหัวลูกชายของตน แล้วเอ่ยขึ้น “ชื่อเสียงของตระกูลไป๋ ในต้าเยี่ยนใครจะไม่รู้บ้างเล่า นอกจากนี้ท่านปู่ของเจ้าก็คุ้นเคยกับคนในตระกูลนั้นเป็นอย่างดี บุคลิกก็ถือว่าดี”
อาจื้อรอฟังเหยาซูกล่าวต่ออย่างเงียบ ๆ
หญิงสาวครุ่นคิดอยู่สักครู่ ถึงจะกล่าวต่อ “แล้วสาวน้อยตระกูลไป๋คนนั้น เจ้าเคยพบนางหรือไม่”
อาจื้อพยักหน้า “เคยพบอยู่สองสามหนขอรับ ลูกสาวของท่านอาจารย์โตกว่าอาซือไม่มาก และนางเป็นคนร่าเริงมีชีวิตชีวา”
เป็นเรื่องยากสำหรับเหยาซูที่จะจินตนาการว่าเด็กผู้ชายที่ฟันน้ำนมยังผลัดออกไม่หมดจะรู้สึกอย่างไรกับเด็กหญิงที่อายุน้อยกว่าเขาไม่กี่ปี
การเอื้อนเอ่ยของอาจื้อชัดเจนว่าในสายตาของเขามองอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่น้องสาว
หญิงสาวจึงรีบกล่าวขึ้น “เรื่องที่แม่กลัดกลุ้มใจจริง ๆ คือเรื่องการแต่งงานของเจ้า”
ใบหน้าอาจื้อขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่เด็กชายก็ยังคงข่มกลั้นไว้ และกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่กลัดกลุ้มอะไรหรือขอรับ?”
ใบหน้าของเหยาซูเผยแววจริงจัง แล้วกล่าวกับลูกชายว่า “อาจื้อ เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าท่านพ่อและท่านแม่เคยอยู่ด้วยกันอย่างไร”
เด็กชายนึกย้อนกลับไป ก่อนจะพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เวลาที่ท่านพ่อยุ่ง ท่านแม่ก็จะนั่งรอท่านพ่อใต้แสงไฟด้วยท่าทีที่เงียบสงบ เวลาที่ท่านพ่ออยู่บ้านก็มักจะช่วยท่านแม่ทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่เป็นประจำ”
หลังจากที่พูดถึงตรงนี้ เด็กชายก็ฉีกยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันขาว “วันข้างหน้า ข้าก็จะหาภรรยาที่จะคอยเคียงข้างไปตลอดชีวิตขอรับ”
แววตาของหญิงสาวค่อย ๆ ฉายความอบอุ่น นางลูบศีรษะของลูกชายแล้วเอ่ยขึ้น “แม่เชื่อว่าถ้าเจ้าได้แต่งงานกับบุตรีตระกูลไป๋ในวันข้างหน้า เจ้าต้องปฏิบัติต่อนางอย่างดีแน่นอน แต่แม่เพียงไม่อยากให้มีความเสียใจเกิดขึ้นกับพวกเจ้าสองคน”
แน่นอนว่าอาจื้อไม่เข้าใจในสิ่งที่เหยาซูกล่าว
หญิงสาวอธิบายให้เด็กชายฟังอย่างอดทน “ความรู้สึกของคนนั้นแปลกประหลาด โดยปกติที่เจ้ามองท่านพ่อกับท่านแม่อยู่ด้วยกัน เป็นเพราะว่าพวกเราเลือกที่จะอยู่ด้วยกัน แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เต็มใจที่จะอยู่ในความสัมพันธ์นี้ ก็จะทำให้รู้สึกเจ็บปวดทรมาน บุตรีของท่านอาจารย์ก็ยังเด็กอยู่ ถ้าหากว่านางเติบโตขึ้น คนที่นางรักกลับไม่ใช่เจ้าเล่า? แม่จึงไม่อยากเลือกให้เจ้าตั้งแต่เนิ่น ๆ”
หัวใจของอาจื้อสั่นสะท้าน เด็กชายขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ ข้าไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน…”
แน่นอน ถ้าหากว่าบุตรีของท่านอาจารย์มีคนที่ชอบพออยู่แล้ว แต่กลับต้องถูกพันธนาการด้วยสัญญาการแต่งงานเล่า?
อาจื้อในเวลานั้น ยังจะสามารถมองเห็นรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาของบุตรีท่านอาจารย์อีกหรือไม่?
เมื่อเห็นสีหน้าอันเต็มไปด้วยความกังวลใจของลูกชาย ในใจของเหยาซูก็เดาออกได้เลยว่าเด็กชายน่าจะชอบบุตรีของท่านอาจารย์
หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น “เอาละ การแต่งการเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้คนปวดหัว เรื่องนี้วันข้างหน้าไว้พวกเราค่อยปรึกษาหารือกัน ตอนนี้ท่านพ่อเองก็ไม่อยู่ ข้าว่ามันเร็วเกินกว่าที่จะพูดกัน”
อาจื้อตอบรับหนึ่งคำ หลังจากนั้นก็จ้องมองเหยาซูราวกับว่ากำลังลังเลที่จะกล่าวอะไรออกมา
เหยาซูยิ้มแล้วกล่าวขึ้น “เป็นอะไรไป มีเรื่องอะไรที่เจ้ายังไม่ได้บอกแม่หรือไม่?”
อาจื้อยิ้มออกมา เด็กชายส่ายหัว “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขอรับ ก็แค่ตอนนี้ตระกูลไป๋มีเพียงแค่ท่านอาจารย์เท่านั้น ในวันปกติลูกสาวท่านอาจารย์ไม่มีพี่สาวน้องสาวเล่นด้วย ทุก ๆ วันแสนจะน่าเบื่อ นางเคยบอกกับข้าครั้งหนึ่งว่าอยากเล่นกับอาซือ ถ้าหากว่าสะดวก ท่านแม่พาอาซือไปจวนตระกูลไป๋บ่อย ๆ ได้ไหมขอรับ”
เหยาซูยิ้มแล้วกล่าวด้วยความตั้งใจ “เช่นนั้นก็ต้องถามความสมัครใจของน้องสาวเจ้า ตอนนี้อาซือมักจะเล่นด้วยกันกับเถิงเอ๋อ เจ้าว่าจะเกลี้ยกล่อมนางให้ไปจวนตระกูลไป๋ได้หรือไม่”
อาจื้อกระตุกยิ้มแล้วนึกขึ้นในใจ จะทำอย่างไรให้บุตรีของท่านอาจารย์สามารถเข้ากลุ่มกับอาซือได้
……
หลังจากที่หญิงสาวได้พูดคุยกับอาจื้อเรื่องการแต่งงาน นางก็ได้เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจของตน
วันข้างหน้าถ้าอาจื้อเข้าไปที่สำนักกว๋อจื่อเจี้ยน เขาต้องได้พบเจอกับไป๋ป๋อเจ๋ออยู่บ่อย ๆ ก็จะทำให้ค่อย ๆ สนิทสนมกับตระกูลไป๋มากยิ่งขึ้น
ตอนนี้หลินเหรากำลังทำสงครามที่ซีเป่ย ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลยังไม่อาจพัฒนาไปได้
เหยาซูจึงทุ่มเทพลังกายและพลังใจไปกับเพียงเรื่องร้านขายผ้า
ทุกวันนี้นางมักจะอยู่ที่ร้านเป็นประจำ นางคุ้นเคยกับรูปแบบและราคาของผ้าที่ร้านขายผ้าของตน รวมถึงผ้าที่ขายดี และผ้าแบบใดที่ลูกค้าชมชอบ
ยามเช้าร้านมักไม่ค่อยยุ่งนัก เถ้าแก่อู๋ก้าวเข้าไปหาเหยาซูด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “นายหญิง ตอนนี้ผ้าในคลังของเราใกล้จะหมดแล้ว ท่านจะลงทางใต้เพื่อไปเลือกซื้อเมื่อไรขอรับ”
คุณภาพผ้าของทางใต้นั้นดีกว่าผ้าที่ผลิตในท้องถิ่นอย่างเห็นได้ชัด ราคาจึงสูงขึ้นเป็นธรรมดา
เหยาซูและเหยาเฟิงจัดซื้อผ้าไหมจำนวนมากด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นผ้าที่คนธรรมดาไม่สามารถหาซื้อได้
ในส่วนนี้สามารถทำกำไรได้มากที่สุด ทำให้เถ้าแก่อู๋ชื่นชมวิสัยทัศน์ของเหยาซูเป็นอย่างมาก
หญิงสาวถือโอกาสถามขึ้นไม่กี่คำถาม “ในคลังมีผ้าเหลือเท่าไร และตอนนี้มีลูกค้าเข้าออกร้านมากน้อยเพียงใด มีกี่คนที่ชื่นชอบผ้าไหมจากทางใต้”
เถ้าแก่อู๋ตอบทุกคำถาม
เมื่อเห็นว่าในร้านมีผ้าอยู่ไม่มาก จำเป็นต้องออกเดินทางจริง ๆ หญิงสาวจึงพยักหน้า “ครั้งนี้ข้าจะลงใต้เพื่อไปเลือกหาซื้อสินค้า รบกวนท่านเถ้าแก่หาคนที่มีสายตาเป็นเลิศ ฉลาดและสามารถพึ่งพาได้หนึ่งคน ข้าและพี่ใหญ่จะพาเขาลงไปด้วยสองสามครั้ง และหลังจากนี้ข้าจะให้เขารับผิดชอบหน้าที่นี้”
ดวงตาทั้งสองของเถ้าแก่อู๋เป็นประกาย เขากล่าวขึ้นว่า “นายหญิงใจกล้านัก ถ้าเป็นคนอื่นมีที่ไหนจะยอมให้คนอื่นทำเรื่องสำคัญเช่นนี้”
การจัดหาสินค้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า และยังต้องถือเงินในมืออีกมากมาย แต่ว่าก็ยังไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด
เหยาซูส่ายหน้าและกล่าวอย่างตั้งใจ “ดังนั้นข้าหวังว่าเถ้าแก่อู๋จะเลือกหาอย่างประณีต และต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุด ข้าและพี่ใหญ่จะคอยตรวจสอบเป็นระยะ ๆ ถ้าหากว่าทำได้ ครั้งหน้าข้าจะให้ท่านทำหน้าที่นี้เลย”
ความรับผิดชอบที่สำคัญตกบนบ่าของเถ้าแก่อู๋จนรู้สึกว่าบ่าของตนถูกกดลงเล็กน้อย และทนไม่ไหวจนต้องหยุดพักชั่วครู่
เถ้าแก่ก็กล่าวออกมาอย่างจริงจังเช่นกัน “นายหญิงวางใจเถอะขอรับ ข้าจะเลือกสรรอย่างประณีต และจะไม่ลดมาตรฐานเด็ดขาด”
เหยาซูหัวเราะออกมา “แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนี้”
ทั้งสองคนสนทนากันสักครู่ ทันใดนั้นเถ้าแก่อู๋ก็อุทานออกมา เขาส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “หากว่าได้พบนายหญิงเร็วกว่านี้ซักยี่สิบปี วันนี้ก็คงไม่เป็นเช่นนี้”
เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะสื่ออะไรบางอย่างในคำพูดของตน ดังนั้นเหยาซูจึงรินชาให้กับเถ้าแก่เป็นแสดงให้เห็นว่านางกำลังฟังอยู่
เถ้าแก่อู๋กล่าวขึ้นว่า “ตอนที่ข้ายังหนุ่ม ๆ ข้ามีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมากที่อยากจะหาเงินให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าปราถนาที่จะทำทั้งหมดด้วยตัวเอง สุดท้ายข้าทำทุกอย่างสำเร็จ แต่ครอบครัวกลับแตกสลาย”
เถ้าแก่ที่มีจิตใจดีมาโดยตลอด สีหน้าของเขาเผยความรู้สึกอ้างว้างขึ้นเล็กน้อย ทำให้เขาดูมีอายุขึ้นอีกสองสามปี
เหยาซูไม่รู้ว่าจะปลอบเถ้าแก่อย่างไรดี จึงทำได้เพียงฟังเขาเล่าเรื่องราวอย่างเงียบ ๆ
“ถ้าหากมีวิสัยทัศน์อย่างเช่นนายหญิง รู้วิธีฝึกผู้คนให้ทำสิ่งต่าง ๆ ตัวเองก็คงไม่ต้องมีความกังวลในทุก ๆ เรื่อง ช่างเป็นประสบการณ์ที่แม้แต่เงินทองก็ไม่อาจซื้อได้”
เหยาซูรินชาให้กับชายชรา หญิงสาวเอ่ยขึ้นแผ่วเบา ๆ “เถ้าแก่อู๋ไม่ต้องกังวลไป ประสบการณ์ที่สั่งสมมามากมายของท่าน คนหนุ่มสาวอย่างพวกเราจะต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะเรียนรู้ได้ ข้ายังต้องเรียนรู้จากท่านไปอีกนาน”
สิ่งที่หญิงสาวเอ่ยออกมานั้นจริงใจเป็นอย่างมาก พาให้ความกลัดกลุ้มภายในใจของเถ้าแก่หายไป
เถ้าแก่อู๋ยิ้มขึ้นและกล่าวว่า “คำพูดของนายหญิงสามารถทำให้จิตใจคนปลอดโปร่งนัก อย่าพูดว่าข้าสอนท่านเลย ข้าเองก็ถูกฝังในดินมานาน ยังจะต้องเรียนรู้กับนายหญิงอีกมากมายขอรับ”
ทั้งสองหัวเราะขึ้น ต่างรู้สึกถึงความสนิทสนมที่เพิ่มมากขึ้น
……………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
อาจื้อฮอตจริง ๆ อายุเท่านี้โดนอาจารย์หมายตาให้มาเป็นเขยแล้ว
รอดูเด็ก ๆ ตอนเล่นด้วยกันเลยค่ะ ลูกสาวอาจารย์ไป๋จะได้ไม่เหงา
ไหหม่า(海馬)