บทที่ 410 เจ้าของร้านหนังสือมิได้แข็งแกร่ง

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 410 : เจ้าของร้านหนังสือมิได้แข็งแกร่ง

บทที่ 410 : เจ้าของร้านหนังสือมิได้แข็งแกร่ง

มิคาเอลปิดฮู้ด แล้วหันหน้าไปเผชิญกับทะเลสีดำครามอันไม่รู้จบ สายลมโบกปะทะหมวกคลุม ปอยผมสีทองแลบออกมาปลิวไสว ดูตระการตายิ่งกว่าครั้งไหน ๆ เมื่อฉาบด้วยแสงอาทิตย์อัสดงสีส้มแดง

ฝ่าเท้าประทับลงบนพื้นทรายนุ่ม ๆ สีทอง แสงแดดสีเหลืองแดงสะท้อนบนใบหน้า

ที่แห่งนี้มีราชันย์ผู้ครั้งหนึ่งใช้ความว่างเปล่าเป็นอาณาจักร นักเวทมนตร์ดำผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกขณะนี้ แซดคิเอลผู้สร้างมนตราแห่งความว่างเปล่าขึ้นชั่วคราว

กระทั่งมิคาเอลยังอดทอดถอนใจไม่ได้ สมกับเป็นผู้ปกครองความว่างเปล่า ทุกสิ่งสรรพบนโลกบังเกิดจากความว่างเปล่า และไม่ใช่การพูดเกินไปหากจะบอกว่าแซดคิเอลคือนายเหนือแห่งสรรพสิ่ง…

เพราะถึงอย่างไร ก็ไม่มีสิ่งใดจีรังเท่าความเวิ้งว้างว่างเปล่า เพราะความเป็นนิรันดร์ก็คือความว่างเปล่า…

เช่นเดียวกับแซดคิเอล ครั้งหนึ่งมิคาเอลเคยมีสหายเก้าคน ซึ่งเคยคิดว่าเขาอาจทำให้ความฝันของตนเป็นจริงได้หากรวมรวบคนทั้งสิบผู้สามารถเขย่าทุกสิ่งในโลกนี้

ถึงอย่างไร คำจำพวก ‘นิรันดร์กาล’ ก็ช่างง่ายเหมือนมนุษย์กินอาหารสำหรับคนทั้งเก้า

ทว่า…

มิคาเอลนั่งลงบนโขดหินซึ่งถูกกระแสน้ำปะทะ มองทะเลอันไร้สิ้นสุด ตกสู่ภวังค์ครุ่นคิด…

ทว่า จากสหายทั้งเก้าของเขา สี่คนล้มตายไปทีละหนึ่งหรือสอง และผู้ที่เปลี่ยนร่างหรือฆ่าพวกเขาก็เป็นเพียงชายคนหนึ่งซึ่งอ้างตนเป็นเจ้าของร้านหนังสือ

พวกเขาทั้งหมดซึ่งรวมกันเป็นวิถีแห่งดาบอัคคีคือเทพเจ้าผู้มีตัวตนโบราณยิ่ง และอำนาจเหนือธรรมชาติของพวกเขาก็ล้ำหน้าไปกว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติในโลกนี้แล้ว แต่พวกเขากลับเหมือนน้ำในกรวยเมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าของร้านหนังสือ

เจ้าของร้านหลิน?

เจ้าของร้านหนังสือผู้นี้ เป็นตัวตนที่น่ากลัวเสียนี่กระไร เหตุใดเล่าจึงเป็นปรปักษ์กับข้า และสิ่งใดกันคือจุดหมายของเจ้า?

ในขณะที่มิคาเอลกำลังครุ่นคิด ภาพติดตาหลาย ๆ ภาพเริ่มปรากฏขึ้นข้าง ๆ กันในความว่างเปล่า…

มิคาเอลยืนขึ้นจากโขดหิน จัดชุดคลุมสีขาวของเขาอีกครั้ง เมินเสียงคลื่นซัดสาดหาดทรายและสายลมทะเล กางเขนสีแดงในมือของเขาวางไว้เบื้องหน้าราวไม้ค้ำยัน เท้าเปลือยเปล่าของเขาย่ำลงหาดทราย คลื่นทะเลสีขาวขยับเข้าจุมพิตเท้าทั้งสองอย่างต่อเนื่อง

การรวมตัวของวิถีแห่งดาบอัคคีเริ่มขึ้นในที่สุด

แซดคิเอล ภาพฉายภาพแรกบนความว่างเปล่าเอ่ยขึ้นก่อน “มิคาเอล ข้าพาผู้ที่สามารถเข้าร่วมประชุมวิถีแห่งดาบอัคคีได้มาหมดแล้ว”

ไม่ใช่เพราะวิถีแห่งดาบอัคคีไม่เคยเกิดการประชุม แต่แค่เพราะว่าการรวบรวมบุคคลมาพบกันนั้นหาได้ยากมาก พวกเขาส่วนใหญ่ต่างส่งข้อความหากันโดยซานดัลฟอน แต่น่าเสียดายที่ซานดัลฟอนตายไปแล้ว

และนับแต่พูดคุยกับราชายักษ์ออกัสทัส มิคาเอลก็ตัดสินใจเปลี่ยนนิสัยกระจายงานในวิถีแห่งดาบอัคคี และมุ่งเป้าไปที่การกำจัดเจ้าของร้านหลินเป็นประการแรก

ในสายตาเขา เจ้าของร้านหลินได้กลายมาเป็นภูเขาที่มิอาจข้าม ตัวตนที่เขาต้องก้าวข้ามไปให้ได้ แม้จะไม่ได้สัมผัสพลังของเจ้าของร้านหนังสืออย่างเต็มที่ แต่สัญชาตญาณของมิคาเอลก็บอกเขาว่าตราบใดที่เขาก้าวข้ามเจ้าของร้านหนังสือผู้นี้ ความฝันของเขาจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

มิคาเอลมองภาพติดตารูปร่างต่าง ๆ พวกเขาต่างเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติผู้สูงส่งสง่างามที่สุดในโลก สำหรับพวกเขา มนุษย์เป็นดั่งมด การเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์นับว่าเป็นเรื่องน่าขันสำหรับพวกเขา

ยิ่งกว่านั้น พวกเขาหลายตนยังเป็นตัวตนที่ห่างไกลจากคำว่ามนุษย์ และไม่อาจเข้าใจรสนิยมและท่าทางของมนุษย์เลย การบังคับพวกเขาให้ใช้ร่างมนุษย์จะยิ่งทำให้พวกเขาเกินคาดเดา

ในทางกลับกัน มิคาเอลมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรสนิยมมนุษย์ดีมาก

มิคาเอลขานชื่อของภาพติดตารูปร่างต่าง ๆ ในใจ และเหลือบไปเห็นว่ามีเงาร่างมนุษย์ร่างหนึ่งยืนอยู่ด้านท้ายซึ่งไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย เขาดูเหมือนชายหนุ่มคนหนึ่ง แต่ออร่าที่คุ้นเคยพุ่งออกมาปะทะหน้าเขา

“อานาเอล?” มิคาเอลขานนามอย่างสงสัย เพราะออร่าบนตัวเขาเหมือนกับนายหญิงผู้บงการเวลา “นี่รูปลักษณ์ใหม่ของเจ้าหรือ? ข้าคิดว่าเจ้าตายไปแล้วเสียอีก เยี่ยมเลย!”

ก่อนที่ภาพติดตาของชายหนุ่มจะทันได้พูด เงามโหฬารอีกร่างกลับพูดขึ้นก่อน “อานาเอลต่อกรกับเจ้าของร้านหนังสือมาก่อน และบังเอิญไปมีส่วนเกี่ยวพันในศึกที่ซอย 67 ข้าเห็นเรื่องเหล่านี้ได้ชัดเจน”

“แต่ข้าก็ยังหาเขาเจอ…” แซดคิเอลผู้ดูราวชายชราในชุดคลุมขาดวิ่นกล่าวขึ้นกะทันหัน “เขาถูกคืนชีพด้วยความช่วยเหลือของหนูทดลองที่เรซิเอลควบคุม”

“หือ?”

มิคาเอลขมวดคิ้ว งุนงงเล็กน้อย

“ใช่” ‘อานาเอล’ กล่าว “หุ่นเชิดที่เรซิเอลใช้ทดลอง ชื่อว่าเฟจ ถูกข้าใช้เป็นภาชนะ” หลังกล่าวเช่นนั้น ‘อานาเอล’ ก็ยกมือขึ้น แขนที่แต่เดิมเป็นภาพติดตาเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง

แขนของเขาสะท้อนแสงสีตระการตา ดูราวกับโครงสร้างที่สร้างจากแสงสว่างนับไม่ถ้วน ราวแก้วที่ไม่มีวันแตก…

หนอนตัวน้อยตัวหนึ่งค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาบนฝ่ามือของเขา และมิคาเอลก็สัมผัสกลิ่นอายของมันได้อย่างชัดเจน นั่นคือหนอนเฟืองนาฬิกา ความเคลือบแคลงทั้งหมดของเขาถูกชะล้างออกไปทันที

“อา สมกับเป็นเจ้า” มิคาเอลอดยกมุมปากขึ้นไม่ได้ ความเศร้าหมองในตอนที่เขาเหม่อมองทะเลยามพลบค่ำสลายหายไปโดยสมบูรณ์ “ข้ามิคาดว่าเจ้าจะหนีจากเงื้อมมือเจ้าของร้านหนังสือได้”

“หือ?” จู่ ๆ ภาพติดตาร่างผอมสูงราวท่อนไม้ไผ่ก็ส่งเสียงออกมาอย่างฉงน “ข้าได้ยินถูกหรือไม่ มิคาเอล เจ้าเพิ่งพูดว่า ‘หนีจากเจ้าของร้านหนังสือ’ เหรอ”

มิคาเอลปิดปากเมื่อได้ยินคำถามนี้…

“อานาเอลแตกฉานในกฎเกณฑ์แห่งเวลา นี่มิต้องสงสัยเลยว่าเป็นกฎเกณฑ์แห่งชัยชนะ แม้แต่ข้าราฟาเอลยังต้องทึ่ง ทว่าเจ้ากลับพูดว่า ‘หนี’ เหรอ?!”

ราฟาเอลมีร่างผอมสูงราวท่อนไม้ไผ่ สวมหมวกทรงสูงและเอนตัวพิงไม้เท้าสีดำ นอกจากร่างที่สูงหลายเมตร ราฟาเอลมีดวงตาลึกล้ำราวสุภาพบุรุษมนุษย์

“ที่จริงแล้ว เจ้าของร้านหนังสือผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงนั้นเชียวหรือ?”

ราฟาเอลเอียงคอเล็กน้อย แต่ในดวงตาของเขาไร้ความกลัว ทว่ากลับมีแสงประหลาดฉายออกมาแทน

เมื่อเห็นว่าสหายของเขาไม่ได้ใส่ใจเจ้าของร้านหนังสือมากนัก มิคาเอลก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เขากล่าวต่อ “ไม่ต้องใส่ใจว่าเขาแข็งแกร่งหรือไม่ แต่ข้ามิอาจสู้เขาได้…”

“เจ้าของร้านหนังสือมิได้แข็งแกร่งเพียงนั้นหรอก!”

‘อานาเอล’ ผู้เงียบอยู่นานโพล่งขึ้น ขัดจังหวะคำพูดของมิคาเอลทันที ทำให้ทุกคนมุ่งเป้าสายตาไปที่เขา

“ข้ากับเจ้าของร้านหนังสือเคยประมือกันมาก่อน เขาแข็งแกร่งอย่างจริงแท้ ทว่ามิได้แข็งแกร่งมากเพียงนั้น”

‘อานาเอล’ กล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจ “การบอกว่าข้าหนี มันด้อยค่าข้าเกินไปมั้ง มิคาเอล!”

มิคาเอลขมวดคิ้ว พร้อมกล่าวว่า “ทว่าเรซิเอลและซานดัลฟอนตกสู่มือของเขาแล้วนะ”

การทรยศของเรซิเอลไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่พวกเขาเห็น

เรซิเอลตัวจริงตายไปนานแล้ว และเรซิเอลในตอนนี้เป็นแค่หุ่นเชิดที่ถูกกลืนกินเจตจำนงไป

“ส่วนผู้ที่ฆ่าซานดัลฟอนและกลืนกินเรซิเอล นั่นเป็นฝีมือแม่มดข้างกายเขา วัลเพอร์กิสผู้ควบคุมรัตติกาล”

“ข้าหนีได้สบายในยามประมือกับเขา ทุกคนทำได้ทั้งนั้น มิคาเอล มิใช่ว่าเจ้าเองก็สู้กับเขาและหนีออกมาอย่างราบรื่นหรือ?”

‘อานาเอล’ ถามอย่างมั่นใจ “หากเขาแข็งแกร่งเลิศเลอจริง ๆ เหตุใดยามนั้นเขาจึงยังมิฆ่าเจ้า?”

คำพูดของ ‘อานาเอล’ ทำให้สมาชิกคนอื่น ๆ ของวิถีแห่งดาบอัคคีพยักหน้า

เมื่อเห็นว่ามิคาเอลยังมีความเคลือบแคลง ‘อานาเอล’ จึงเลิกคิ้วขึ้นพูดตรง ๆ “ไร้ประโยชน์หากเราจะมัวใส่ใจว่าเขาในยามนี้แข็งแกร่งเพียงไรใช่หรือไม่? มิว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงไร เขาจะชนะหรือ?”

“การตายของเรซิเอลและซานดัลฟอนน่าจะบ่งบอกอันใดต่อเราได้มากมาย นั่นคือเขาแข็งแกร่งมากโดยแท้ แต่มิพอจะเอาชนะหากเราร่วมมือกัน ดังนั้นเขาจึงเลือกฆ่าเราทีละคน ถูกหรือไม่?”

“พูดอีกนัยก็คือ ขอเพียงเราพร้อมใจร่วมมือ เจ้าของร้านหนังสือก็มิมีสิ่งใดต้องกลัว! นั่นมิใช่สิ่งที่ทำให้เจ้ามาหาเราหรอกหรือ มิคาเอล”

ได้ยินเช่นนั้น มิคาเอลก็ครุ่นคิดเนิ่นนาน จนสุดท้ายก็ตัดสินใจ “เจ้าพูดถูก”