บทที่ 315 ความจริง
เซียวลิ่วหลังรู้จักกู้เจียวมานานขนาดนี้ ตั้งแต่กู้เจียวไม่ปัญญาอ่อน นางก็ไม่เคยมีสภาพอเนจอนาถขนาดนี้มาก่อนเลย
เขาแค่แตะต้องยาทาแผลของนางเท่านั้น จู่ๆ นางก็โวยวายขึ้นมา ไม่เพียงแต่แย่งยาทาแผลลื่นๆ ห่อเล็กๆ ที่เขาฉีกออกเท่านั้น ยังโผไปทับยาทาแผลเต็มเตียงเหมือนเสี่ยวปาปกหวงอาหารด้วย
ใบหน้าน้อยๆ ของนางแดงก่ำ ดวงตารื้นน้ำตา หางตาเป็นสีแดงอ่อนๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าโมโหหรือว่าอายกันแน่
แน่นอนว่าโมโหอยู่แล้ว
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกล่องยากันแน่! เวลาสำคัญแบบนี้ถึงได้มาเป็นเช่นนี้ได้!
กู้เจียวโมโหเสียจนเสียงเล็กๆ ในหัวดังระงม!
“ห้ามแตะต้องยาในนี้เด็ดขาด!” นางเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม
ทว่าท่าทางโมโหโกรธาของนางมันไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด เซียวลิ่วหลังนึกไปถึงกู้เหยี่ยน ยามปกติฝาแฝดจะมีนิสัยต่างกัน แต่พอโมโหขึ้นมาก็สมเป็นพี่น้องกันดี
เซียวลิ่วหลังมองนางนิ่งๆ
“ยะ ยะ ยะ ยานี้แพงมาก! ข้าใช้ยาดีๆ ขนาดนี้ไม่ได้หรอก! บนโต๊ะท่านย่ามียาทาแผลอยู่ขวดหนึ่ง เจ้าไปเอาอันนั้นมา!” กู้เจียวโมโหเจ้ากล่องยาน้อยใบนี้จนเลอะเลือนเสียแล้ว ลืมไปว่าเซียวลิ่วหลังดูไม่ออกว่าอันไหนเป็นอันไหน
ตรงกันข้ามท่าทางทำเรื่องไว้แล้วคิดปกปิดกลับกลายเป็นยิ่งเปิดเผยของนางทำให้เซียวลิ่วหลังยิ่งสนใจใคร่รู้ต่อไอ้เจ้าสิ่งของลื่นๆ นี้กว่าเดิม
ช่างเถอะ ยาของนาง นางจะใช้อย่างไรก็แล้วแต่นางแล้วกัน
จะขโมยกลับห้องไปวิเคราะห์เพราะตัวเองอยากรู้ไม่ได้หรอก
เมื่อเซียวลิ่วหลังไปห้องท่านย่าหยิบยาทาแผลมาให้ กู้เจียวก็จัดการเก็บกวาดเตียงเรียบร้อยแล้ว กล่องยาใบน้อยคล้ายได้รับการโจมตีที่มันไม่ควรได้รับอย่างหนัก ถูกโยนไปบนโต๊ะแน่นิ่งอย่างรังเกียจ
เซียวลิ่วหลังทายาให้กู้เจียว
แผลนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แผลธรรมดา เขาเอ่ยถาม “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้”
เมื่อก่อนเขาไม่มีทางถาม ยามนี้กลับโพล่งถามออกไปเลย แน่นอนว่าเขาจึงชะงักไป
กู้เจียวดวงตากลอกกลิ้ง เอ่ยโดยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “ก็…ยืดเส้นยืดสายเฉยๆ ข้าไม่ได้มีเรื่องนะ!”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเรียบ “ยืดเส้นยืดสายถึงสำนักชีเลยรึ”
กู้เจียวมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ
เซียวลิ่วหลังทายาให้นางพลางเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “บนร่างเจ้ามีกลิ่นธูปชั้นดี ฝ่าเท้าก็มีตะไคร่น้ำ เส้นทางจากวัดไปสำนักชีมีตะไคร่น้ำชนิดนี้อยู่”
กู้เจียว “…”
ภาพพจน์พังอีกแล้ว!
“รุ่ยอ๋องเฟยมาหา เชิญข้าให้ไปตรวจที่สำนักชี ระหว่างทางกลับมาเจอกับพวกคนเลวเข้า จึงสั่งสอนพวกเขาเสียหน่อย” กู้เจียวเลี่ยงเล่าเรื่องสำคัญไป
เซียวลิ่วหลังได้ยินว่านางถูกรุ่ยอ๋องเฟยเชิญไปสำนักชีก็ขมดวคิ้ว “สำนักชีใกล้ๆ วัดผู่จี้น่ะรึ”
“อืม” กู้เจียวพยักหน้า
เซียวลิ่วหลังเอ่ยต่อ “ไปตรวจจิ้งไท่เฟยรึ”
“อืม” กู้เจียวพยักหน้าอีกหน ไม่ได้ถามว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าจิ้งไท่เฟยพักอยู่ที่สำนักชี
เซียวลิ่วหลังพลันเงียบงันไป
กู้เจียวมองเขา อันที่จริงแผลนางไม่ได้เป็นอะไรมาก….
เซียวลิ่วหลังทาแผลสุดท้ายให้นางแล้วก็เอ่ยกับนาง “ต่อไปนี้อย่าได้ไปตรวจที่สำนักชีอีก”
“ทำไมเล่า” กู้เจียวฉงน
เซียวลิ่วหลังครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ไปมาหาสู่กับคนของราชวงศ์ให้น้อยเท่าใดยิ่งดี”
กู้เจียว “อ๋อ”
อีกด้านหนึ่ง หนิงอ๋องไปเยี่ยมจิ้งไท่เฟยเสร็จก็กลับวังไปรายงานฮ่องเต้
“เสด็จแม่ร่างกายแข็งแรงดีกระมัง” ฮ่องเต้ถามอย่างเป็นห่วง
หนิงอ๋องเอ่ยตอบ “ไท่เฟยได้ยินข่าวที่เสด็จพ่อโดนลอบสังหารก็เสียใจอยู่หลายวัน วันนี้ภรรยาน้องสามไปเยี่ยมนาง บอกว่าท่านหายดีกลับวังแล้ว ไท่เฟยจึงได้วางใจลง ไม่เป็นอะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พรูลมหายใจโล่งอกยาวเหยียด “เราว่าแล้วว่านางต้องกังวลแน่ เจ้าสามกับภรรยาเขาช่างเอาใจใส่นัก”
หนิงอ๋องเอ่ย “เสด็จพ่อ ยังมีอีกเรื่องพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้มองเขา “เรื่องใดรึ”
หนิงอ๋องประสานมือแล้วเอ่ย “ภรรยาน้องสามโดนลอบสังหารระหว่างทางกลับบ้าน”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “นางบาดเจ็บหรือไม่”
หนิงอ๋องส่ายหน้า “ไม่พ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่เสียขวัญเท่านั้น ภรรยาน้องสามกับครรภ์นางปลอดภัยดี”
“ภรรยาเจ้าสามโชคดี” ฮ่องเต้นึกถึงหนิงอ๋องเฟยที่เพิ่งแท้งไปเมื่อไม่นานมานี้ก็อดถอนหายใจไม่ได้
เจ้าใหญ่เจ้ารองเจ้าสามแต่งงานกันหมดแล้ว แต่หลานชายสักคนยังไม่มีให้พระองค์เลย หากบอกว่าไม่เสียดายก็คงโกหก แต่ทายาทล้วนเป็นวาสนา ฝืนไปก็เท่านั้น
“จับมือสังหารได้หรือไม่” ฮ่องเต้ถามเสียงเคร่ง
หนิงอ๋องเอ่ยอย่างละอาย “กว่าจะจับเป็นได้มาคนหนึ่ง แต่ยังไม่ทันไต่สวนก็กินยาพิษตายไปเสียแล้ว”
ฮ่องเต้ครุ่นคิด “เจ้าไปตรวจสอบเชลยแคว้นเฉินด้วย”
หนิงอ๋องเอ่ยเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ “เสด็จพ่อสงสัยเขารึ ข่าวที่เขาลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อยังไม่ทันผ่านพ้นไปเลย คงไม่ลงมือซ้ำไวเพียงนี้หรอกกระมัง”
ฮ่องเต้ตรัส “มีประวัติแล้ว เขาน่าสงสัยมาก ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเมื่อคราก่อนยังไม่ได้หลักฐานที่ถูกต้องเลย ประหารแค่ที่ปรึกษาของเขาคนหนึ่ง ครานี้หากเป็นเขาจริง ไม่ว่าอย่างไรก็ปล่อยเขาให้ลอยนวลไม่ได้เด็ดขาด!”
หนิงอ๋องลังเลครู่หนึ่ง ก่อนประสานมือให้ “พ่ะย่ะค่ะ ลูกจะไปตรวจสอบดู”
หนิงอ๋องออกจากห้องหนังสือไป ฮ่องเต้ก็เรียกเว่ยกงกงให้มาหา
เว่ยกงกงยังคล้องผ้าบนคอกับแขนซ้ายอยู่เลย จนใจที่เขาอยู่ว่างๆ ไม่ได้ เช้าตรู่มาก็มาทำงานแล้ว
เขาค้อมกายเอ่ย “ฝ่าบาท”
“เราจำได้ว่าในคลังยังมีโสมพันปีอยู่ เจ้าให้คนเอาไปให้จิ้งไท่เฟยบำรุงร่างกายที”
เว่ยกงกงเอ่ยอย่างลังเล “ฝ่าบาท ไทเฮาก็ประชวรเช่นกัน ท่านว่าควร…”
ฮ่องเต้ขัดเขาอย่างเย็นชา “ควรอะไร เอาโสมไปให้นางอย่างนั้นรึ เฮอะ ค่อนแคว้นเจาล้วนเป็นของนาง ตำหนักเหรินโซ่วของนางจะขาดโสมสักแง่งหรือไร!”
เว่ยกงกงถอนใจพลางขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะไปเอามา แล้วให้คนเอาไปส่งให้ไท่เฟยคืนนี้เลย”
ฮ่องเต้ตรัสต่อ “แล้วก็ เจ้าไปเรียกเหอกงกงมาที หมู่นี้เราเจอเรื่องเข้ามาไม่ขาดสายเลย เรากลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ตายใจ จะไปคิดบัญชีกับเสด็จแม่ เราจะส่งองครักษ์ไปให้เสด็จแม่สักสองสามคน”
เฮ้อ
เพียงแค่ท่านเอาใจใส่ต่อไทเฮาได้สักครึ่งของจิ้งไท่เฟย ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับไทเฮาก็คงจะไม่เป็นอย่างตอนนี้หรอก
เมื่อก่อนเว่ยกงกงมองจวงไทเฮาแบบลำเอียงเป็นอย่างมาก แต่หลายวันนี้ได้พักรักษาตัวที่ตรอกปี้สุ่ย เขาเห็นจวงไทเฮาไปมาหาสู่กับครอบครัวของหมอเทวดาน้อยและเห็นจวงไทเฮาไปมาหาสู่กับเพื่อนบ้าน เห็นแม้กระทั่งคืนนั้นจวงไทเฮาดูแลฝ่าบาท
เขารู้สึกว่าบางทีจวงไทเฮาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิดก็ได้
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าจวงไทเฮาเป็นคนดี แต่อย่างน้อยๆ นางก็ไม่ได้ร้ายกาจเพียงนั้น
ระหว่างฝ่าบาทกับจวงไทเฮามีความขัดแย้งที่ไม่สามารถลงรอยกันได้อยู่จริง ตราบใดที่จวงไทเฮาไม่ละทิ้งการเข้าแทรกแซงราชสำนัก ฝ่าบาทก็ไม่มีทางปรองดองด้วย
เว่ยกงกงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกว่าฝ่าบาทจะต้องคืนดีกับนางให้ได้ อีกทั้ง…ฝ่าบาทจะเปลี่ยนวิธีปฏิบัติต่อนางได้หรือไม่
จวงไทเฮาชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็งอย่างเห็นได้ชัดเลย!
ฝ่าบาทท่านปลอบนางหน่อยจะเป็นไรไป ลดความระแวดระวังของนางลง ระงับอารมณ์ของนางลง ปลอบให้นางหัวหมุนแล้วค่อยรวบทีเดียว! แบบนี้ไม่ดีกว่ารึ!
ในฐานะที่เว่ยกงกงเป็นบ่าวรับใช้ผู้ภักดี เขารู้สึกว่าตัวเองต้องกังวลแทนเจ้านายเสียบ้าง
เขาจึงไปหาโสมพันปีจากคลังแล้วเอาไปส่งให้จิ้งไท่เฟย แล้วหากล่องใบหนึ่งที่ไม่ใช่โสมพันปีแต่เป็นบัวหิมะที่มีราคาสูงเอาไปส่งให้จวงไทเฮา บอกว่าฝ่าบาทกตัญญูต่อจวงไทเฮา
กู้เจียวเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลางคืนจึงหลับสนิท
เซียวลิ่วหลังกลับไม่ได้โชคดีเพียงนั้น อันที่จริงตอนกลางวันเขาก็ยุ่งมาทั้งวันแล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดใจเขาจึงได้ไม่เป็นสุขเช่นนี้
ยามนี้ชีวิตความเป็นอยู่ที่บ้านไม่ได้ลำบากเช่นนั้นแล้ว ม่านเตียงที่เดิมทีเป็นผ้าเปลี่ยนเป็นผ้าไพรผืนบางแล้ว ความจริงแล้วก็ปลอดโปร่งอย่างมาก
เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กขี้ร้อนยังหลับกรนคร่อกไปแล้วเลย
เซียวลิ่วหลังพลิกตัวไปมา จนกระทั่งค่อนคืนหลังจึงได้ผล็อยหลับไป
ทว่าเขาไม่ได้หลับไปนานก็ฝันเรื่องที่ไม่สามารถบรรยายได้
ในฝันทุกอย่างเสมือนจริงเสียจนเหมือนชีวิตเขา
ทว่าอย่างไรก็ตามเขาไม่เคยผ่านเรื่องราวเหล่านี้มาก่อน จึงไม่เข้าใจมัน ไม่รู้สึกถึงรสชาติของมัน จากนั้นก็ตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ
หลังจากตื่นขึ้นมาเซียวลิ่วหลังก็แอบด่าตัวเองว่าเดรัจฉาน ทำเรื่องพรรค์นั้นกับนางในความฝันได้อย่างไร…
เซียวลิ่วหลังลุกขึ้นมาสวดมนต์หนึ่งจบ พอจิตใจสงบลงแล้วจึงกลับลงไปนอนใหม่
แต่คืนนี้ฝันมันช่างเยอะนัก
เขาฝันอีกแล้ว แต่ไม่ได้ฝันว่าเห็นกู้เจียวแล้ว แต่ฝันว่าได้กลับไปตอนที่ตัวเองเด็กๆ
ตัวเองในฝันอายุพอๆ กันกับเสี่ยวจิ้งคง ตัวเท่าเม็ดถั่ว เดินอยู่ถนนเส้นเล็กที่ปูด้วยหินเข้าไปในลานอันหอมอบอวลด้วยดอกไม้หอม
ตอนนั้นเขายังเด็กมากๆ ยังไม่ค่อยรู้จักคนในวังหลวง
เสียงอ่อนโยนดังขึ้นเหนือศีรษะเขา “อยากกินหรือไม่ ขนมเกาลัดอร่อยมากนะ”
เขารับขนมเกาลัดมาชิ้นหนึ่ง กินไปได้ครึ่งหนึ่งเบื้องหน้าก็มืดมิดแล้วล้มลงไป
เซียวลิ่วหลังตกใจตื่นทันที!
นี่เป็นเรื่องที่เขาโดนจวงไทเฮาวางยาพิษตอนสี่ขวบ ความทรงจำช่วงนี้เลือนรางไปนานแล้ว แต่จิตใต้สำนักจะปฏิเสธสิ่งที่ทำมาจากเกาลัดตลอด
อาจเพราะฝันเรื่องแรกกระตุ้นสมองของเขา ทำให้เขานึกถึงความทรงจำวัยเยาว์ที่ปิดผนึกเอาไว้ขึ้นมา
เขาไม่ได้ฝันถึงใบหน้าของคนผู้นั้น แต่เขาเห็นมืออีกฝ่ายอย่างชัดเจนเลย
นั่นเป็นมือข้างซ้าย บนข้อมือซ้ายมีไฝเม็ดหนึ่ง
ข้อมือท่านย่าไม่มีไฝ
คนที่วางยาพิษเขาตอนนั้นไม่ใช่จวงไทเฮา!