ตอนที่ 413 มรสุมใกล้เข้ามาแล้ว

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 413 มรสุมใกล้เข้ามาแล้ว

พอได้ยินวาจานี้ หลานรั่วถิงและเหมิงซานหมิงสื่อสารกันผ่านสายตา พวกเขานึกกลัวอยู่ว่าคนผู้นี้จะหวาดหวั่นในสำนักหยกสวรรค์จนไม่กล้าสอดมือเข้ามายุ่ง แล้วปล่อยให้ซางเฉาจงตกอยู่ในกำมือของสำนักหยกสวรรค์อย่างสมบูรณ์ หากว่าคนผู้นี้ไม่เข้ามายุ่งล่ะก็ ทางนี้ก็ไร้หนทางจะตอบโต้อันใดได้จริงๆ ทำได้เพียงคล้อยตามเท่านั้น แต่ยามนี้พอเห็นคนผู้นี้เตรียมตัดทางถอยของเฟิ่งหลิงปอไว้เรียบร้อย จึงมองออกว่าเตรียมแผนการรับมือไว้แล้ว ในเมื่อได้ทราบว่าอีกฝ่ายมีแผนการเตรียมไว้แล้ว ทั้งสองก็เบาใจขึ้นไม่น้อย

ผ่านไปสักพัก เฟ่ยฉางหลิว เซี่ยฮวาและเจิ้งจิ่วเซียวที่ไปกล่าวอำลาในฐานะเจ้าสำนักก็เดินเข้ามาเช่นกัน เฟิงเอินไท่เป็นตัวแทนสำนักหยกสวรรค์ออกมาส่งทั้งสามคน

พอส่งคนออกนอกประตูสำนักแล้ว เฟิงเอินไท่ก็ลากหนิวโหย่วเต้าออกไปอีกด้าน คำพูดที่เอ่ยก็เป็นพวกคำบอกลา พูดจาทำนองว่าตอนนี้อยู่ไม่ไกลกันแล้ว ต่อไปก็ไปมาหาสู่กันได้สะดวกขึ้น

หลังจากพูดตามมารยาทเสร็จ หนิวโหย่วเต้าก็ยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยถามไปว่า “เป็นงานเลี้ยงที่ดี แต่กลับไม่มีเรื่องดีเลย นี่พี่ใหญ่ ร่วมมือกันขุดหลุมพรางดักทางฝั่งข้าเช่นนี้ ข้าไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสแห่งสำนักหยกสวรรค์อย่างท่านจะไม่ทราบความเลยสักนิด เหตุใดถึงไม่บอกอะไรให้รู้บ้างเลย?”

เฟิงเอินไท่ถอนหายใจ เอ่ยไปว่า “น้องสาม เจ้าอย่าได้ขุ่นเคืองพี่ใหญ่เลย พี่ใหญ่ก็มีความลำบากใจของพี่ใหญ่เช่นกัน ระหว่างพวกเรา เรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวต้องแบ่งแยกกัน ไม่อาจเผยเรื่องส่วนรวมเพื่อประโยชน์ส่วนตัวได้”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “ได้ ข้าจะจำประโยคนี้ของพี่ใหญ่ไว้ เรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวแบ่งแยกกัน หากมีโอกาสข้าจะส่งคืนวาจานี้ให้พี่ใหญ่แน่นอน หวังว่าพอถึงเวลานั้น พี่ใหญ่จะไม่ตำหนิข้า”

เฟิงเอินไท่ส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อน โบกมือเล็กน้อยสื่อว่าไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อแล้ว เรื่องบางอย่างตัวเขาในฐานะศิษย์สำนักหยกสวรรค์ก็ไม่สะดวกจะเข้าข้างคนนอกเช่นกัน พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์

รอคอยต่อไปสักพัก ซางเฉาจงและเฟิ่งรั่วหนานก็กลับออกแล้ว เป็นเฟิ่งหลิงปอและเผิงอวี้หลานสองสามีภรรยาออกมาส่งด้วยตัวเอง

เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน เผิงอวี้หลานเอ่ยกำชับบุตรสาวว่าให้ทำตัวสมเป็นศรีภรรยาคอยดูแลสามีอะไรทำนองนั้นต่อหน้าคนอื่น

แต่ผู้คนที่อยู่รอบข้างส่วนใหญ่ฟังแล้วกลับคิดไปในทางอื่น นี่เป็นเพราะรู้ตัวว่าฝั่งตนเองใช้แผนไม่ซื่อชิงอำนาจมา จึงพูดจาดูดีน่าฟังเพื่อปลอบใจซางเฉาจงอย่างนั้นหรือ?

อันที่จริงพวกเฟิ่งหลิงปอสามีภรรยาก็ทราบดีว่าทางนี้รวมหัวกันกดดันและเอาเปรียบซางเฉาจง ทว่าบุตรีกลับแต่งให้ซางเฉาจงไปแล้ว หากกลับไปแล้วเกิดซางเฉาจงระบายโทสะกับบุตรีของพวกเขาจริงๆ ล่ะก็ ความเป็นอยู่ของบุตรีคงยากลำบากแน่ แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจคิดอะไรมากขนาดนั้นได้ ยังไงก็ต้องมีได้และมีเสีย ถึงอย่างไรบุตรีก็แต่งออกไปแล้ว ทว่าอนาคตของบุตรชายทั้งสองกลับขึ้นอยู่กับการแย่งชิงอำนาจในตอนนี้แล้ว

สิ่งเดียวที่สามารถทำเพื่อปลอบใจตนได้ก็คือหากครอบครัวตนได้ดีก็จะสามารถดูแลบุตรสาวได้

ในใจเฟิ่งรั่วหนานขมขื่นนัก ครอบครัวตนทำเช่นนี้จะให้นางทนรับความอดสู้ไหวได้อย่างไร นางไม่รู้เลยจริงๆ ว่าต่อไปจะเผชิญหน้ากับซางเฉาจงอย่างไร หากซางเฉาจงรับเลี้ยงอนุอีกหลายๆ คนล่ะก็ นางยังจะพูดอันใดได้หรือ?

เฟิ่งหลิงปอก้าวเข้ามายืนเบื้องหน้าหนิวโหย่วเต้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หนิวโหย่วเต้า ไม่ได้พบกันเสียนาน เติบโตขึ้นไม่น้อยเลยนะเนี่ย ความเยาว์วัยในปีนั้นลดลงไปหลายส่วนเลยทีเดียว”

หนิวโหย่วเต้าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้พบกันเสียนานจริงๆ สีหน้าของผู้ว่าการเฟิ่งก็ดูดีกว่าในอดีตมาก ช่างสมเป็นคนสดใสด้วยมีเรื่องมงคลโดยแท้ จะว่าไปข้าก็นับว่าเป็นดาวนำโชคของผู้ว่าการเฟิ่งจริงๆ”

เฟิ่งหลิงปอร้องโอ้ ถามออกไป “หมายความว่าอย่างไรหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ผู้ว่าการเฟิ่งลองตรองดูสิ ครั้งแรกที่ข้าได้พบผู้ว่าการ ผู้ว่าการก็ได้ส่งบุตรีออกเรือน เรียกได้ว่าเป็นมงคลใหญ่ ครั้งนี้ได้พบหน้าผู้ว่าการอีกครั้ง ก็ได้เป็นสักขีพยานในการรับอำนาจบัญชาการไพร่พลห้าจังหวัดของท่านผู้ว่าการ นี่ก็เป็นเรื่องมงคลเช่นกัน เมื่อคำนวณกันเช่นนี้แล้ว ข้าก็นับเป็นดาวนำโชคของท่านผู้ว่าการเฟิ่งมิใช่หรือ? เห็นทีว่าท่านผู้ว่าการเฟิ่งต้องมาพบหน้าข้าบ่อยๆ เสียแล้วล่ะ”

ภายนอกเฟิงหลิ่งปอหัวเราะออกไป แต่ในใจกลับถอนหายใจ ครานั้นส่งบุตรีออกเรือนรู้สึกว่าเป็นเรื่องมงคลนัก ต่อมาถึงได้ทราบว่าถูกหลอกต้มเข้าแล้ว คนผู้นี้ยังมีหน้ามาเอ่ยถึงเรื่องนั้นอีกหรือ?

ตอนนี้เขาคิดมาตลอดว่าเป็นฝีมือการวางแผนของหลานรั่วถิง จนกระทั่งภายหลังได้ยินเรื่องราวต่างๆ ของหนิวโหย่วเต้าเข้า ถึงได้ทราบว่าตนถูกหนิวโหย่วเต้าหลอกลวงเข้าแล้ว หลานรั่วถิงอันใดกัน เห็นๆ อยู่ว่าเป็นฝีมือของเจ้านี่

ทั้งสองสบตากันพลางแย้มยิ้ม แต่แววตากลับลุ่มลึกมีเลสนัย

เมื่อกลุ่มคนจากจังหวัดชิงซานลงเขาไป เฟิงเอินไท่ก็ให้เกียรติยิ่งนัก ติดตามไปส่งจนถึงตีนเขา

ส่วนผู้ว่าการจังหวัดทั้งสามกลับไม่ได้รีบจากไป ยังคงรั้งอยู่ในสำนักหยกสวรรค์ต่อเกือบครึ่งวันถึงได้จากไป

ยามที่พวกเขาจากไปก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ส่วนพวกเฟิ่งหลิงปอสามีภรรยากลับยังไม่มีทีท่าจะจากไป ต้องการพำนักต่ออีกสองสามวัน

เรื่องบางเรื่องก็ต้องรอให้ทางสำนักหยกสวรรค์ทำการประสานงานในขั้นสุดท้ายก่อน ต้องดำเนินแผนงานตามที่ได้คุยกันไว้ให้สำเร็จเป็นจริง

หมู่เมฆยามสนธยาปกคลุมนภา พวกเฟิ่งหลิงปอสองสามีภรรยาเดินตามหลังเผิงโย่วไจ้ เดินชมทิวทัศน์อันงดงามบนภูเขาไปด้วยกัน

เผิงโย่วไจ้ทอดสายตามองตะวันแดงฉานที่ลับขอบฟ้าไปครึ่งหนึ่งแล้วพลางเอ่ยขึ้นว่า “บุตรเขยคนนั้นของพวกเจ้าคงขัดเคืองในตัวพวกเจ้าสามีภรรยาแล้ว”

เผิงอวี้หลานกล่าวว่า “ต่อให้ท่านพ่อปลดเขาออก เขาก็ทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น”

“ยอมรับหรือ?” เผิงโย่วไจ้ปรายตามองนางเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปที่เฟิ่งหลิงปอต่อ “ไพร่พลสองแสนนายในปกครองของซางเฉาจง หากยกให้เจ้าทันที เจ้าสามารถควบคุมได้หรือไม่?”

“เอ่อ…” เฟิ่งหลิงปอลังเลอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายก็ตอบว่า “หากซางเฉาจงเห็นชอบยอมมอบให้ย่อมสามารถควบคุมได้ขอรับ หากว่าไม่ยินยอมล่ะก็…หลังจากซางเฉาจงตั้งตัวในพื้นที่สองจังหวัดได้ พรรคพวกเก่าของหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วที่เคยหายตัวหรือหลบซ่อนไปกบดานต่างทยอยปรากฏตัวแล้วเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อซางเฉาจงโดยมีเหมิงซานหมิงเป็นแกนนำ คนเหล่านี้ล้วนเชี่ยวชาญการดูแลจัดการกองทัพ ภักดีต่อซางเจี้ยนปั๋วตราบสิ้นชีพ ยามนี้ยอมมอบความภักดีให้ซางเฉาจงเช่นกัน ไพร่พลสองแสนนายนี้เกรงว่าคนอื่นคงยากจะบัญชาการได้ขอรับ”

เผิงโย่วไจ้หันไปมองบุตรีอีกครั้ง สายตาที่มองคล้ายกำลังถามอยู่ว่าเจ้าได้ยินหรือ? จากนั้นก็ยิ้มเยาะเอ่ยไปว่า “ไพร่พลสองแสนนายหาใช่ข้าวชามหนึ่งไม่ เจ้าคิดว่าผู้ใดอยากกินล้วนกินได้อย่างนั้นหรือ? โลภไม่รู้จักอิ่มจะตายเอาง่ายๆ! หากบีบคั้นจนกลายเป็นสุนัขจนตรอกล่ะก็ ซางเฉาจงสั่งการเพียงประโยคเดียวก็ทำให้ห้าจังหวัดโกลาหลได้แล้ว อีกทั้งเบื้องหลังเขามีหนิวโหย่วเต้าคนนั้นอยู่ คนผู้นั้นก็รับมือได้ยากเช่นกัน”

เผิงอวี้หลานเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ หากเป็นไปตามที่ท่านกล่าวมา ต่อให้ชิงมณฑลหนานโจวได้ แต่หากเขายังคุมไพร่พลสองแสนนายอยู่ พวกเราก็จัดการได้ลำบากอยู่ดี”

เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “ตอนนี้ยังขยายอาณาเขตไม่สำเร็จ จึงไม่สะดวกจะแตะต้องอำนาจทางการทหารของเขาจริงๆ อีกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าการโจมตีจะเป็นไปอย่างราบรื่น เรายังคงต้องพึ่งพาไพร่พลในบังคับบัญชาของเขาอยู่ โดยเฉพาะกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญ ดังนั้นจะบีบคั้นจนเกินไปไมได้ ต้องทำให้เขารู้สึกมั่นคงปลอดภัย รอจนเปิดศึกขึ้นแล้วค่อยใช้อำนาจบัญชาการกองทหารทั้งหมดของหลิงปอบังคับให้กองกำลังของเขาออกไปต่อสู้ ตัดกำลังส่วนหนึ่งออกจากไปการควบคุมของเขา กระทั่งสงครามสิ้นสุดลงก็ฉวยโอกาสจากสงครามกระจายกำลังของเขาออกไปซะ หลิงปอสามารถเรียกระดมพลกองกำลังของเขาและตัดขาดกำลังพลจากการควบคุมของอย่างสิ้นเชิงได้ ขอเพียงสามารถควบคุมไม่ให้ไพร่พลของเขาไปรวมตัวกันเพื่อก่อความวุ่นวายได้ เราก็จะสามารถริบอำนาจทางการทหารของเขาได้อย่างสมบูรณ์”

เผิงอวี้หลานกระจ่างขึ้นมาทันที

เผิงโย่วไจ้หันหลังไป เอ่ยขึ้นมา “ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าสามีภรรยาต้องพยายามเอาใจเขาไว้ ทำให้เขาสงบ ทำให้เขาวางใจ อย่าได้ยั่วโทสะเขา รักษาท่าทีสงบเสงี่ยมเอาไว้ รอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปจนชิงมณฑลหนานโจวสำเร็จแล้วค่อยว่ากัน เข้าใจหรือไม่?”

“รับทราบ!” สองสามีภรรยาพยักหน้าขานรับ ต่อมาเฟิ่งหลิงปอถามขึ้นมาอีกว่า “แต่ท่านพ่อก็กล่าวเองว่าหนิวโหย่วเต้าคนนั้นรับมือได้ยาก หลังจบเรื่องจะจัดการกับหนิวโหย่วเต้าคนนี้อย่างไรขอรับ?”

เผิงโย่วไจ้เอ่ยด้วยแววตาเย็นชา “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีก็พอ”

สำหรับสำนักหยกสวรรค์แล้ว ขอเพียงควบคุมซางเฉาจงหลังจบศึกเอาไว้ได้ ขอเพียงสถานการณ์โดยรวมเป็นไปตามที่วางแผนไว้ ขอเพียงหนิวโหย่วเต้าไม่ได้มีอิทธิพลต่อมณฑลหนานโจวมากนัก เรื่องของหนิวโหย่วเต้าก็จัดการได้ไม่ยากอะไร

ยามที่สองสามีภรรยาจากไป เฟิงเอินไท่และเฉินถิงซิ่วก็เดินเข้ามาพอดี เดินสวนกับสองสามีภรรยาไป

พอเดินไปถึงตัวเผิงโย่วไจ้ เฟิงเอินไท่หันกลับไปมองสองสามีภรรยาที่ลงเขาไปเล็กน้อย ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ขอพูดจาระคายหูท่านหน่อยเถิด หากว่ากันอย่างเป็นธรรมแล้ว เฟิ่งหลิงปอยังไม่แน่ว่าจะเทียบกับทางซางเฉาจงได้” วาจาคล้ายแฝงการถามเป็นนัยๆ ว่าต้องมอบมณฑลหนานโจวให้เฟิ่งหลิงปอดูแลจริงๆ น่ะหรือ?

เฉินถิงซิ่วเอ็ดใส่ว่า “ศิษย์น้องเฟิง หลังจากชิงหนานโจวมาได้ สิ่งที่พวกเราต้องการคือคนสัตย์ซื่อ มิใช่ซางเฉาจงที่มีใจทะเยอทะยานรบทัพจับศึกพร่ำเพื่อ เจ้าก็น่าจะเข้าใจหลักเหตุผลดีนี่นา!”

….

ช่วงสิ้นปีของรัชศกแคว้นอู่ปีที่ห้าร้อยยี่สิบเจ็ด

ณ ตัวเมืองจังหวัดชิงซาน ทุกบ้านเริ่มปัดกวาดเช็ดถู เตรียมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

นับเป็นปีที่รุ่งโรจน์อีกปีหนึ่ง ภายใต้การดูแลปกครองของยงผิงจิ้นอ๋อง ประชาชนได้กินดีอยู่ดี ทำให้ช่วงสิ้นปีภายในตัวเมืองถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศมงคลรื่นเริง

ผู้ใหญ่ยุ่งง่วน เด็กๆ วิ่งเล่นไล่จับกันไปตามท้องถนน ผู้คนหลากหลายเดินสวนกันขวักไขว่

ชั้นบนของจวนผู้ว่าการจังหวัด เฟิ่งรั่วหนานที่รูปร่างสูงใหญ่แต่งตัวตามฉบับสตรี เท้าราวกั้นทอดสายตามองออกไปเพียงลำพัง มีเสียงประชาชนตะโกนสรรเสริญขอบคุณซางเฉาจงแว่วดังมาไม่ขาดหู

เมื่อถึงวันสิ้นปี สองจังหวัดดำเนินการตรวจสอบและรายงานอย่างครอบคลุมครบทุกด้าน มีการแจกจ่ายเสบียงอาหารส่วนหนึ่งให้แก่ประชาชนที่ลงทะเบียนผู้ยากไร้เป็นพิเศษเอาไว้ อย่างน้อยก็ทำให้ประชาชนได้มีกินในวันสิ้นปี ไม่ร่ำร้องขออาหารชั้นดี อย่างน้อยขอให้ได้อิ่มหนำสักมื้อก็พอ

จุดแจกจ่ายเสบียงภายในตัวเมืองจังหวัดชิงซานตั้งอยู่นอกจวนผู้ว่าการจังหวัด

เสียงสรรเสริญขอบคุณที่แว่วมาจากด้านนอกไม่อาจคลายความโศกหมองที่เจืออยู่ตรงหว่างคิ้วเฟิ่งรั่วหนานได้ เกิดเรื่องบางอย่างที่นางไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อน นั่นคือทางบ้านของนางส่งสาวใช้หน้าตางดงามคู่หนึ่งมาให้ซางเฉาจง…

ภายในลานเรือน ซางเฉาจงรับหน้าที่เข็นรถด้วยตัวเอง เข็นเหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่บนรถเข็นเดินเล่นไป หลานรั่วถิงและซางซูชิงที่กลับมาส่งท้ายปีด้วยกันก็เดินอยู่ด้านข้าง

เหมิงซานหมิงได้ยินเสียงอึกทึกจากด้านนอกจึงถามออกไปว่า “ท่านอ๋อง ไม่มีข่าวความเคลื่อนไหวทางฝั่งหนิวโหย่วเต้าเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางเฉาจงส่ายหน้า “ไม่เคยจากไปไหนเลย อีกทั้งไม่เห็นไปมาหาสู่กับผู้ใดด้านนอก ตอนชิงเอ๋อร์อยู่ทางนั้นก็ไม่เคยเห็นเขาเตรียมการใดๆ เขายังยืนยันตามคำพูดเดิม ฝ่ายหนึ่งเจตนาโจมตี อีกฝ่ายต้องอดทนแบกรับไว้ ให้ทางเราคล้อยตามสำนักหยกสวรรค์ไปก่อน”

เหมิงซานหมิงถอนหายใจ “เต้าเหยี่ยคนนี้ข่มกลั้นโทสะไว้ได้ลึกเสียจริง ได้แต่หวังว่าเขากำลังอมทนข่มกลั้นโทสะเอาไว้จริงๆ”

วาจานี้ฟังดูขัดแย่งกันเล็กน้อย ทว่าซางซูชิงกลับทราบดีว่ามีความหมายอย่างไร นางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านลุงเหมิงวางใจเถิด ในเมื่อเต้าเหยี่ยบอกแล้วว่าจะช่วย เช่นนั้นเขาก็น่าจะไม่นิ่งดูดายแน่นอน ข้ากลับคิดว่าการที่เขาไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ นั่นแปลว่าเขามีความมั่นใจเต็มที่ หากเขามีความเคลื่อนไหวใหญ่โตขึ้นมาจริงๆ ข้ากลับจะเป็นกังวลมากกว่า”

เหมิงซานหมิงกล่าวว่า “ท่านหญิง มิใช่ว่ากระหม่อมไม่เชื่อใจเขา แต่อนาคตของพวกพ้องอีกสองแสนคนล้วนฝากเอาไว้กับเขา นี่เทียบได้กับการเดิมพันอย่างหนึ่งเลยนะพ่ะย่ะค่ะ! ในฐานะแม่ทัพทำเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ? ว่ากันตามหลักแล้ว พวกเราสมควรเตรียมการเผื่อไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว แต่เขากลับสั่งไม่ให้พวกเราผลีผลาม”

ซางซูชิงเงียบไป…

….

ณ กระท่อมฟาง หนิวโหย่วเต้าถือบัวรดน้ำพรมน้ำให้ต้นหมู่ตานสีดำในกระถาง เขม่าที่เปื้อนอยู่บนใบไม้ทำให้เขาขมวดคิ้ว หันกลับไปมองท้องฟ้าที่มีควันลอยโขมงอยู่ไกลๆ

“ขมวดคิ้วทำไมล่ะ?” ก่วนฟางอี๋เดินเข้ามาหา

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “มีเขม่าไม่น้อยเลย”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “โรงหลอมทางนั้นจุดเตาเร่งหลอมอาวุธกันทั้งวันทั้งคืนน่ะสิ”

เมื่อพรมน้ำเสร็จก็วางบัวรดน้ำลง หนิวโหย่วเต้าเดินออกจากคฤหาสน์ไป ยืนอยู่นอกคฤหาสน์มองไปในทิศทางที่มีควันลอยโขมง เอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “อดทนมานานจนทนไม่ไหวแล้ว เห็นทีว่ามรสุมคงใกล้จะเข้ามาแล้ว!”

——