ตอนที่ 414 โน้มน้าววังเหินเวหา

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 414 โน้มน้าววังเหินเวหา

ก่วนฟางอี๋ปรากฏตัวขึ้นข้างกายเขา “จะเปิดศึกแล้วหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ด้วยกำลังของสำนักหยกสวรรค์ในปัจจุบันนี้ การจะชิงหนานโจวนั้นค่อนข้างลำบาก แต่ขอเพียงได้หนานโจวมาครอง สำนักบำเพ็ญเพียรอย่างสำนักหยกสวรรค์จะยกระดับไปอีกขั้น เผิงโย่วไจ้จะกลายเป็นเจ้าสำนักที่โดดเด่นมีผลงานที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของสำนักหยกสวรรค์ เว้นแต่จะมีผู้สืบทอดรุ่นต่อไปสร้างผลงานได้ยิ่งใหญ่กว่า มิเช่นนั้นก็ยากจะปฏิเสธความดีความชอบที่เผิงโย่วไจ้สร้างไว้ได้ เกรงว่าภายหน้ามณฑลหนานโจวคงถูกทายาทรุ่นหลังของตระกูลเผิงยึดครองไปอีกนานแสนนาน สำหรับเผิงโย่วไจ้แล้วนับว่าทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและส่วนตัวด้วย! แต่สำหรับซางเฉาจงแล้ว มณฑลหนานโจวเป็นเพียงจุดตั้งต้นที่จำเป็นสำหรับการขยายอำนาจและก้าวขึ้นสู่เวทีที่ใหญ่ยิ่งกว่านี้ สำนักหยกสวรรค์ทนรอไม่ไหวแล้ว ซางเฉาจงเองก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน”

ก่วนฟางอี๋ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “เมื่อไฟสงครามปะทุขึ้นมา คนบางส่วนจะได้สมปรารถนา แต่ไม่รู้จะมีคนมากน้อยเพียงใดที่ต้องตกตายบ้านแตกสาแหรกขาด”

“ในยุคสมัยที่โลกวุ่นวายเช่นนี้ มาทอดถอนใจเรื่องนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ไปเถอะ ไปดูกัน” หนิวโหย่วเต้าชี้มือไปทางโรงหลอม จากนั้นทั้งสองก็ทะยานลงเขาไปพร้อมกัน

พอไปถึงตีนเขาก็พบพวกหยวนกังควบม้าเข้ามา หนิวโหย่วเต้ายื่นมือออกไปขวางเล็กน้อย ต้องการพาหนะสองตัว

ตอนนี้จำนวนม้าศึกในการครอบครองของซางเฉาจงมีมากมายเหลือเฟือแล้ว จึงแบ่งม้าสามสี่ร้อยตัวมาไว้ในเขาให้คนของที่นี่ได้ใช้งาน นับว่าเหมาะสำหรับพวกหยวนกังพอดี พวกหยวนกัวจึงขอรับหน้าที่ดูแลเอง ให้ลูกน้องในบังคับบัญชาได้ฝึกซ้อมบนหลังม้าในระยะยาว

คนสองคนพลิกตัวลงมาจากหลังม้า หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองหยวนต้าหู่และกู่โหย่วเหนียนเล็กน้อย สำหรับชายแขนขาพิการสองคนนี้ ในเมื่อหยวนกังเป็นคนพามา เขาจึงไม่เคยสอบถามอันใดให้มากความ

เขาและก่วนฟางอี๋เพียงต้องการพาหนะเดินทางเท่านั้น พวกเขาไม่ได้ขี้ม้าวิ่งห้อไป เพียงขี่ม้าออกจากเขาไปอย่างไม่เร่งร้อน

ชายกระโปรงของก่วนฟางอี๋พลิ้วไหว ถือพัดกลมโบกไปมาอยู่บนหลังอาชา นัยน์ตางามเหลือบซ้ายแลขวา ดูผ่อนคลายไร้กังวล

เมื่อมาถึงเขตโรงหลอมก็ทิ้งม้าไว้ให้ทหารรักษาการณ์ ส่วนทั้งสองก็เข้าไปเยี่ยมชมด้านใน มองเห็นว่ามีดาบทวนลงน้ำมันกันสนิมกองเรียงอยู่บนเกวียน ซ้ำยังมีชุดเกราะกองซ้อนกันอยู่หลายต่อหลายกอง ทั้งหมดถูกทยอยขนขึ้นเกวียนแล้วขนออกไป

ในอากาศมีกลิ่นควันไฟคละคลุ้ง มีช่างไม้กำลังประกอบเครื่องยิงหินสำหรับใช้โจมตีอยู่

ปัง! เสียงที่ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังภูเขาดึงดูดความสนใจของทั้งสองเอาไว้ ทั้งสองคนเดินไปดูว่ามันคือเสียงอะไรกันแน่

พอมาถึงด้านหลังเขา พวกเขามองเห็นเครื่องยิงหน้าไม้ตั้งเรียงไว้เป็นแถว ช่างฝีมือกำลังทดสอบประสิทธิภาพอยู่ หอกเหล็กเนื้อดีเล่มหนึ่งถูกบรรจุขึ้นราง ช่างหลายคนออกแรงดึงคันโยกที่กินแรงอย่างยิ่งเพื่อน้าวสายขึ้นศร จากนั้นช่างคนหนึ่งก็เหวี่ยงค้อนทุบลงบนกลไกสำหรับยิง เกิดเสียงปังดังสนั่น ทวนยาวพุ่งออกไปในทันใด พุ่งเข้ากระแทกไปบนเป้าที่ใช้สีทาไว้บนผนังหิน

หินแตกกระจายร่วงกราวลงมา ทวนยาวที่สั่นไหวอยู่เล็กน้อยจมเข้าไปในผนังหิน แรงโจมตีนี้ทรงพลังอย่างมากจริงๆ

เปลือกตาของก่วนฟางอี๋ที่มองดูกระตุก เอ่ยขึ้นว่า “ในยามที่ทัพใหญ่ออกศึก สิ่งนี้เป็นภัยคุกคามต่อผู้บำเพ็ญเพียรมากที่สุด ผู้บำเพ็ญเพียรที่สภาวะต่ำกว่าโอสถทองลงไปไม่มีทางทนรับไหว”

….

เมืองหลวงแคว้นเยี่ยนก็อบอวลไปด้วยบรรยากาศยามสิ้นปีเช่นกัน ไม่ว่าจะยากดีมีจนล้วนต้องส่งท้ายปีนี้กันทั้งสิ้น

ณ จวนเจ้ากรมโยธา โจวโส่วเสียนผู้ว่าการมณฑลหนานโจวคุกเข่าก้มหัวหน้าผากแนบติดพื้น ร้องสะอึกสะอื้นหันหน้าไปทางเจ้ากรมโยธาถงโม่ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน

เดิมทีเขานั่งรถม้านำของขวัญมาอวยพรวันสิ้นปี แต่พอเอ่ยถึงเรื่องทุกข์ยากที่ประสบก็อดไม่ได้ที่จะร่ำไห้ออกมา

ถงโม่ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “โจวซยง อย่าทำแบบนี้เลย รีบลุกขึ้นมาเถิด”

โจวโส่วเสียนเงยหน้าขึ้นมา สะอึกสะอื้นพลางชี้ออกไปนอกประตู “ท่านเจ้ากรม ห้าจังหวัดตอนล่างของมณฑลหนานโจวมีการกักตุนอาวุธหญ้าแห้งและเสบียงกรังปริมาณมหาศาลไว้ ฝึกม้าฝึกทหารทั้งวี่วัน มีการลับดาบขึ้นสายธนูเตรียมพร้อมจะเข้าโจมตียึดมณฑลหนานโจวตอนบนได้ทุกเมื่อ ข้าน้อยต้องอกสั่นขวัญผวาอยู่ทุกวันราวกับเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ หากราชสำนักไม่ส่งกำลังทหารไปช่วยเหลืออีก เกรงว่าคงสายเกินแก้!”

ที่ต้องมาขอร้องถึงที่นี่ก็เพราะว่าหมดหนทางแล้ว ก่อนจะมาที่นี่เขาได้เดินไปวังหลวงมาก่อน อ้อนวอนขอร้ององค์ฮ่องเต้มาก่อนแล้ว ทว่าเห็นได้ชัดว่าองค์ฮ่องเต้พะวงว่าหากเกิดศึกใหญ่ภายในแคว้นเยี่ยนขึ้นมาแล้วจะถูกศัตรูภายนอกฉวยโอกาสเข้ารุกราน เมื่อถึงเวลานั้นทั้งแคว้นเยี่ยนจะตกอยู่ในอันตราย จึงลังเลไม่กล้าตัดสินใจมาตลอด

บุตรีเขาคือพระสนมที่ได้รับความโปรดปรานจากองค์ฮ่องเต้ ที่เขากลายเป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจวได้ เป็นเพราะบุตรสาวของเขาลงทุนลงแรงไปไม่น้อย แต่ครั้งนี้บุตรสาวเขาช่วยเขาโน้มน้าวฝ่าบาทให้ส่งทหารไปช่วยเหลือหลายครั้งจนทำให้องค์ฮ่องเต้โมโห แม้แต่หน้าขององค์ฮ่องเต้ก็ไม่ได้พบมาหลายวันแล้ว

สำหรับเขาแล้ว ตอนนี้ตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลหนานโจวเป็นเสมือนกองไฟที่กำลังจะแผดเผาเขา

ถงโม่ทราบดีว่าสถานการณ์วิกฤตแล้ว ทว่ายังคงเอ่ยปลอบไปว่า “โจวซยง เรื่องไม่ได้หนักหนาอย่างที่เจ้าคิดหรอก มีวังเหินเวหา วิมานม่วงทองและสำนักเขากระบี่วิญญาณคอยข่มไว้ ห้าจังหวัดตอนล่างของมณฑลหนานโจวไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือแน่”

โจวโส่วเสียนกล่าวว่า “หากสามารถมอบผลประโยชน์มหาศาลได้ สามสำนักใหญ่ก็อาจจะยอมปล่อยผ่านก็ได้!”

ถงโม่เอ่ยว่า “เจ้าวางใจเถอะ ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือว่าฝ่าบาทล้วนไม่มีทางนั่งดูดาย ข้าจะไปเจรจากับทางสามสำนักใหญ่ให้เอง”

….

ณ วังเหินเวหาที่อยู่บนเขาสูงอบอวลด้วยไอหมอก เมื่อทอดสายตามองจากที่ไกลๆ แล้วดูราวกับแดนเซียน

ณ เชิงเขาของวังเหินเวหา ม้าหลายสิบตัวควบทะยานออกมาจากเขา วิ่งไปตามถนนหลวงจนกระทั่งห่างออกไปไกล

ขบวนม้านี้คือสองสำนักใหญ่ที่ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังมณฑลหนานโจว เป็นคนจากสำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่อง วันสิ้นปีใกล้เข้ามาแล้ว นับเป็นช่วงเวลาสำหรับส่งส่วยให้วังเหินเวหาพอดี จินอู๋กวงเจ้าสำนักจิตกระจ่างและเฉาอวี้เอ๋อร์เจ้าสำนักหอบุปผาล่องพาคนเดินทางมาส่งมอบให้ด้วยตัวเอง

ช่วยไม่ได้จริงๆ วังเหินเวหา วิมานม่วงทองและเขากระบี่วิญญาณเป็นสามสำนักที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นเยี่ยน อิทธิพลปกคลุมอยู่เหนือแคว้นเยี่ยน แคว้นเยี่ยนทั้งแคว้นคือเขตอิทธิพลของสามสำนักนี้ สำนักบำเพ็ญเพียรทั้งหมดในแคว้นเยี่ยนล้วนใช้ชีวิตอยู่ในขอบเขตอิทธิพลของสามสำนักนี้ หากคิดจะครอบครองเขตใดเขตหนึ่ง หากไม่ได้รับอนุญาตจากสามสำนักนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้

สำนักบำเพ็ญเพียรที่อยู่ในขอบเขตพื้นที่แคว้นเยี่ยนล้วนต้องส่งส่วยให้สามสำนักใหญ่ มิเช่นนั้นอาจตกอยู่ในอันตราย ถูกทำลายล้างสำนัก

มิใช่แค่ในแคว้นเยี่ยนเท่านั้น แต่สถานการณ์ในเจ็ดแคว้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ ในทุกแคว้นจะมีสำนักที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่สองสามสำนัก มีตำแหน่งอยู่ภายในหอเลือนสลัว เสพสุขกับส่วยที่ได้รับจากสำนักบำเพ็ญเพียรอื่นๆ ที่อยู่ในเขตอิทธิพลของตน

สำนักบางส่วนแม้จะอยากส่งส่วยให้สามสำนักใหญ่ก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอ ยกตัวอย่างเช่นสำนักเซียนสถิต

ส่วนกลุ่มคนที่อยู่เหนือกลุ่มอิทธิพลอย่างสามสำนักใหญ่ขึ้นไปก็คือยอดคนทั้งเก้า

ยอดคนทั้งเก้าคือผู้ที่ปกครองอยู่เหนือผู้คนทั้งปวงอย่างแท้จริง ยอดคนทั้งเก้าไม่ได้รับส่วยบรรณาการจากผู้ใดและไม่ยอมรับน้ำใจจากผู้ใดทั้งสิ้น หากแต่ควบคุมโรงฝากเงินทั้งหมดในใต้หล้าไว้ โลกนี้มีโรงรับฝากเงินเพียงเจ้าเดียวเท่านั้น มีชื่อว่าโรงฝากเงินใต้หล้า มีสาขาอยู่ทั่วแผ่นดิน ครอบคลุมทั้งโลกปุถุชนและโลกบำเพ็ญเพียร

นอกจากโรงฝากเงินใต้หล้าแล้ว ในโลกนี้ก็ไม่อนุญาตให้มีโรงฝากเงินเจ้าอื่นปรากฏขึ้นมาอีก

ยกตัวอย่างเช่นตั๋วแลกทองที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกก็ถูกตีพิมพ์ขึ้นจากการร่วมมือกันของยอดคนทั้งเก้าเช่นกัน ไม่อนุญาตให้มีตั๋วแลกทองชนิดอื่นปรากฏขึ้นมาอีก

ใต้หล้านี้คนที่ไม่ขาดแคลนเงินที่สุด เกรงว่าคงจะเป็นยอดคนทั้งเก้า มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ พวกเขาสามารถผลิตตั๋วแลกทองออกมาได้ ซ้ำยังควบคุมกระแสการเงินของผู้คนทั่วหล้าไว้อีก

ส่วนสถานที่ที่สามารถทำการค้าขายในโลกบำเพ็ญเพียรได้ก็อยู่ใต้การควบคุมของยอดคนมทั้งเก้าเช่นกัน

……

กระทั่งสำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องจากไปไกลแล้ว คนอีกกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาจากป่าเขาละแวกใกล้เคียง

เผิงโย่วไจ้จ้องมองทิศทางที่คนของทั้งสองสำนักจากไป เขาโบกมือเล็กน้อยพาเหล่าศิษย์ในสำนักเข้าสู่เขาตรงหน้า มุ่งสู่วังเหินเวหา

…..

อาคารสิ่งปลูกสร้างงามวิจิตรที่มีพุ่มบุปผาปกคลุมดั่งม่านอำพราง มองเห็นขุนเขางามท่ามกลางทะเลหมอก เป็นทิวทัศน์ที่งดงามเกินพรรณนา เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับรับรองแขก

ผู้อาวุโสสองคนของวังเหินเวหานั่งอยู่กับหลงซิวผู้เป็นประมุขวังเหินเวหา แขกที่สามารถเข้าพบได้มีเพียงเผิงโย่วไจ้เพียงคนเดียว ส่วนศิษย์สำนักหยกสวรรค์คนอื่นไม่มีคุณสมบัติพอจะได้มาเยือนสถานที่นี้

การที่สามารถทำให้ทั้งสามคนนี้ยอมมาพบได้ก็เป็นเพราะเผิงโย่วไจ้มาส่งส่วย ในเวลานี้ของช่วงสิ้นปี เจ้าสำนักต่างๆ จะรวมตัวกันเพื่อมาเยี่ยมคารวะ หลงซิวจะปรากฏตัวเพื่อพบหน้าเจ้าสำนักต่างๆ แล้วก็มาสอบถามสถานการณ์ทั่วไป

เผิงโย่วไจ้ประคองตั๋วแลกทองปึกหนึ่งส่งให้ด้วยสองมือ วางลงบนโต๊ะที่มีผู้อาวุโสทั้งสองนั่งเคียงกันอยู่ จากนั้นถอยกลับไปนั่งในตำแหน่งเดิมที่อยู่ตรงกันข้าม

สายตาของหลงซิวและสองผู้อาวุโสมองไปยังตั๋วแลกทองปึกนั้น ตามกฎแล้วต้องจ่ายห้าหมื่นเหรียญทองต่อหนึ่งจังหวัด

ห้าหมื่นเหรียญทองจะบอกว่ามากก็ไม่มาก จะบอกว่าน้อยก็ไม่น้อย ที่บอกว่าไม่มากเพราะในมุมมองของวังเหินเวหาแล้ว เงินห้าหมื่นเหรียญทองไม่นับเป็นอันใดได้เลย ที่บอกว่าไม่น้อย เพราะสำหรับจังหวัดจังหวัดหนึ่งแล้ว เงินห้าหมื่นเหรียญทองมิใช่เงินน้อยๆ เลย เพราะแต่ละจังหวัดยังต้องคำนึงถึงเหล่าประชาชนในจังหวัดด้วย หากขูดรีดเอาจนหมดตัวล่ะก็ ต่อไปจะไปขูดรีดเอาจากไหนได้อีก?

ยิ่งไปกว่านั้นคือยังมีกลุ่มอิทธิพลและสำนักบำเพ็ญเพียรในพื้นที่ที่ต้องการแบ่งปันผลประโยชน์ไปด้วยเช่นกัน ไม่อาจกล่าวได้ว่าวังเหินเวหาฮุบไปทั้งหมดแต่เพียงสำนักเดียว

และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ แต่ละจังหวัดมิได้จ่ายส่วยให้แค่วังเหินเวหาเพียงสำนักเดียวเท่านั้น หากแต่ยังต้องจ่ายให้วิมานม่วงทองและสำนักเขากระบี่วิญญาณด้วย แล้วไหนยังจะภาษีที่ต้องจ่ายให้ทางราชสำนักอีก

ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเอาเปรียบแต่ละจังหวัดมากเกินไปได้ มิเช่นนั้นสุดท้ายก็จะกลายเป็นการทุบหม้อข้าวตัวเอง

ส่วนในแคว้นเยี่ยนก็มีอยู่หลายร้อยจังหวัด แต่ละจังหวัดจ่ายห้าหมื่นเหรียญทอง เมื่อน้อยรวมกันมากเข้า มันก็กลายเป็นจำนวนที่มากโข ยังไม่ต้องพูดถึงรายรับอื่นๆ ของวังเหินเวหาเลย ลำพังแค่ส่วยเพียงอย่างเดียวก็ทำให้วังเหินเวหาได้เสพสุขสำราญแล้ว

เมื่อคำนวณดูแล้ว สำนักหยกสวรรค์มีห้าจังหวัดก็ต้องจ่ายส่วนสองแสนห้าหมื่นเหรียญทอง และสำนักหยกสวรรค์ยังต้องจ่ายเพิ่มอีกห้าหมื่นเหรียญทองตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ รวมกันเป็นเงินจำนวนสามแสนเหรียญทอง แต่เมื่อมองจากความหนาของตั๋วแลกเงินที่อยู่ตรงหน้าปึกนี้แล้ว มันน่าจะเกินสามแสนเหรียญทองไปมากนัก

หลังจากผู้อาวุโสคนหนึ่งตรวจนับเสร็จก็เอ่ยกับหลงซิวว่า “หนึ่งล้านเหรียญทองขอรับ!”

หลงซิวที่มีบุคลิกสูงส่งคล้ายหลุดพ้นไปจากโลกปุถุชนมองเผิงโย่วไจ้ด้วยสายตาเฉยชา “เกินมาเจ็ดแสนเหรียญทอง เจ้าสำนักเผิงโปรดชี้แจ้งสักหน่อยเถิด”

เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “ท่านประมุข นี่เป็นเพียงน้ำใจเล็กน้อยจากสำนักหยกสวรรค์เท่านั้น โปรดรับไว้ด้วยเถิด”

หลงซิวเอ่ยว่า “น้ำใจหรือ? ข้าได้ยินว่าห้าจังหวัดตอนล่างของมณฑลหนานโจวฝึกทหารสำหรับออกรบ มีเจตนาจะยึดเอาหกจังหวัดตอนบน ก่อนหน้านี้สำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องยังเอ่ยตำหนิสำนักหยกสวรรค์กับข้าอยู่เลยว่ามีแผนการร้ายคิดไม่ซื่อ ขอให้วังเหินเวหาช่วยทวงความเป็นธรรมให้ หรือว่าสำนักจิตกระจ่างกับหอบุปผาล่องจะกล่าวถูกต้องแล้ว เพราะจู่ๆ เจ้าก็นำเงินก้อนนี้มาให้ คิดจะติดสินบนวังเหินเวหาอย่างนั้นหรือ?”

เผิงโย่วไจ้เอ่ยว่า “ท่านประมุขกล่าวหนักเกินไปแล้ว เงินเพียงหนึ่งล้านเหรียญทองเท่านั้น ไหนเลยจะติดสินบนวังเหินเวหาได้ หากว่าทำเช่นนั้นจริงๆ อย่างนั้นก็นับว่าสำนักหยกสวรรค์ไม่รู้จักประมาณกำลังตนเอาเสียเลย แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว สำนักหยกสวรรค์ก็มีเจตนาจะอุทิศตนช่วยเหลือวังเหินเวหาจริงๆ พึงหวังว่าท่านประมุขจะช่วยสำนักหยกสวรรค์ได้สมปรารถนาขอรับ”

หลงซิวกล่าวว่า “นับว่ามีใจทะเยอทะยานไม่น้อย ห้าจังหวัดตอนล่างของมณฑลหนานโจวยังเติมเต็มความต้องการของสำนักหยกสวรรค์ไม่พอหรือ?”

เผิงโย่วไจ้เอ่ยว่า “เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านประมุขแล้ว ข้าย่อมไม่กล้าปกปิดความจริง แล้วก็ไม่กล้าเอ่ยคำเท็จ สำนักหยกสวรรค์ต้องการเข้ายึดครองพื้นที่แทนสำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่อง เนื่องจากสำนักหยกสวรรค์มีความมั่นใจว่าจะทำได้ดีกว่าทั้งสองสำนักขอรับ”

หลงซิวถาม “ทำได้ดีกว่าอย่างไร?”

เผิงโย่วไจ้ตอบว่า “มณฑลหนานโจวมีสิบเอ็ดจังหวัด หากมอบให้สองสำนักดูแลล่ะก็ ทุกปีจะได้ส่วยเพียงห้าแสนห้าหมื่นเหรียญทอง แต่ถ้าหากมอบให้สำนักหยกสวรรค์ดูแล ทางสำนักหยกสวรรค์จะมอบส่วยให้ปีละหนึ่งล้านเหรียญทองขอรับ!”

หลงซิวเอ่ยถาม “หรือเจ้าคิดว่าหากให้สำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องครอบครองสิบเอ็ดจังหวัดในมณฑลหนานโจวแล้ว พวกเขาจะไม่สามารถมอบส่วยปีละหนึ่งล้านเหรียญได้?”

เผิงโย่วไจ้กล่าวไปว่า “ย่อมมอบให้ได้ขอรับ แต่เงินที่พวกเขาให้ไม่เหมือนกับเงินที่สำนักหยกสวรรค์ให้ หากจะจ่ายส่วยหนึ่งล้านเหรียญทองให้แก่สามสำนักใหญ่ นั่นก็จะเป็นเงินสามล้านเหรียญทอง ทางสำนักของพวกเขายังมีค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ด้วยเช่นกัน ในเขตพื้นที่ของตนก็มีค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้อีก หากพวกเขามอบเงินจำนวนนี้ออกมา นั่นเท่ากับเป็นการรีดนาทาเร้นมณฑลหนานโจว หากเป็นเช่นนี้นานเข้า มณฑลหนานโจวจะต้องพังพินาศแน่นอน แต่สำนักหยกสวรรค์กลับต่างออกไป หากท่านประมุขมีโอกาสก็ลองตรวจสอบจังหวัดชิงซานและจังหวัดกว่างอี้ดูได้ขอรับ สำนักหยกสวรรค์ของพวกเรายินดีมอบผลประโยชน์เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น เปลี่ยนจังหวัดชิงซานและจังหวัดกว่างอี๋จากสถานที่แห้งเฉาไร้ความหวังให้เฟื่องฟูขึ้นมาได้ พ่อค้าจากแคว้นต่างๆ มุ่งหน้ามารวมตัวกัน ประชาชนกินดีอยู่ดีมีความสุข ทำให้เก็บภาษีได้มากกว่าจังหวัดอื่นๆ หลายเท่าตัว นี่คือประการแรก!”

“ประการที่สอง ความมั่งคั่งคือเรื่องเล็ก ความมั่นคงของแคว้นเยี่ยนคือเรื่องใหญ่ แคว้นจ้าวที่อยู่ติดกันคอยจ้องตะครุบแคว้นเยี่ยนตาเป็นมัน มีใจหมายเข้ายึดครองมานานแล้ว เพียงแต่เป็นเพราะยังมีเจ้าศักดินาในแคว้นจ้าวที่คอยถ่วงรั้งอยู่ ทำให้ไห่อู๋จี๋ไร้กำลังจะมาให้ความสนใจแคว้นข้างเคียงเท่านั้น ทว่าไห่อู๋จี๋เป็นคนที่ทุ่มเทให้กับการปกครองภายในแคว้น กำลังดำเนินการกวาดล้างเจ้าศักดินาภายในแคว้นจ้าวไปทีละขั้น หากปล่อยให้เขาบรรลุเป้าหมาย ต่อไปเขาต้องมุ่งเป้ามายังแคว้นเยี่ยนแห่งนี้แน่นอน”

……………………………………………………………………….