ตอนที่ 415 แตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 415 แตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน

“สำนักหยกสวรรค์และวังสวรรค์หมื่นวิมานแห่งมณฑลจินโจวได้ตกลงเป็นพันธมิตรกันมานานแล้ว ทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรที่จะร่วมหัวจ่มท้ายไปด้วยกัน จนใจที่สำนักหยกสวรรค์อ่อนแอเกินไป หากไห่อู๋จี๋ลงมือกับมณฑลจินโจว กำลังที่มณฑลหนานโจจะส่งไปสนับสนุนได้มีจำกัด ดังนั้นการที่มีการคานอำนาจกันภายในมณฑลหนานโจวอย่างเช่นในเวลานี้จึงไม่เป็นผลดีเลย กำลังของมณฑลหนานโจวแตกแยกกระจัดกระจาย มณฑลจินโจวคืออุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการบุกเข้าโจมตีแคว้นเยี่ยนของแคว้นจ้าว หากแคว้นจ้าวจะเข้าโจมตีแคว้นเยี่ยน แคว้นจ้าวก็จำเป็นต้องสยบมณฑลจินโจวให้ได้เสียก่อน ดังนั้นกองกำลังส่วนตัวของมณฑลจินโจวคือปราการด่านสำคัญที่สุดของแคว้นเยี่ยน ไม่อาจปล่อยให้สูญเสียมณฑลจินโจวไปได้”

หลงซิวกล่าวว่า “หากเกิดความเปลี่ยนแปลงในมณฑลจินโจว หากมีคนอื่นที่ยินดีจะให้การสนับสนุนมณฑลจินโจวขึ้นมา มณฑลจินโจวย่อมตกลงเป็นพันธมิตรด้วยแน่นอน ไม่จำเป็นต้องเลือกสำนักหยกสวรรค์ของเจ้าเสมอไป”

หากมิใช่เพราะอีกฝ่ายมาส่งส่วย หากมิใช่เพราะนำเงินมามอบให้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมอบให้มามากมายขนาดนี้ เกรงว่าคงไม่มีทางได้คุยกันดีๆ เช่นนี้

แต่แน่นอน การที่เผิงโย่วไจ้เลือกที่จะมาพูดโน้มน้าวในช่วงเวลานี้ ก็เป็นเพราะเขาได้ทำการวางแผนมาก่อนแล้ว

พอได้ยินวาจานี้ เผิงโย่วไจ้ถามกลับไปทันที “ท่านประมุขจะให้โจวโส่วเสียนส่งกำลังทหารไปสนับสนุนมณฑลจินโจว หรือว่าจะให้ทางราชสำนักส่งกองกำลังอื่นไปช่วยสนับสนุนมณฑลจินโจวขอรับ?”

เป็นคำถามที่ถามได้ตรงจุดพอดี บางเรื่องก็ไม่เหมาะจะพูดออกไปตรงๆ แต่ทุกคนต่างรู้แก่ใจดีว่าตอนนี้ความสามารถในการถ่วงสมดุลระหว่างสามสำนักใหญ่ของราชสำนักอ่อนแอเป้นอย่างยิ่ง เนื่องจากไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมความเห็นแก่ตัวของสามสำนักใหญ่เอาไว้ได้ ประกอบกับปรากฏข้อผิดพลาดขึ้นในแผนการสำคัญบางอย่างของราชสำนักแคว้นเยี่ยน ทำให้สถานการณ์ภายในแคว้นเยี่ยนตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย ความแข็งแกร่งของแคว้นเสียหาย คนที่รู้เรื่องราวล้วนทราบดีว่าหากไม่ถูกบีบคั้นจริงๆ แคว้นเยี่ยนนั้นไม่กล้าเป็นฝ่ายประกาศศึกกับแคว้นอื่นก่อนแน่นอน

ไม่ว่าจะให้โจวโส่วเสียนส่งกำลังทหารไปสนับสนุนมณฑลจินโจวหรือว่าให้ราชสำนักส่งกำลังไปสนับสนุน นั่นล้วนหมายความว่าแคว้นเยี่ยนกำลังจะประกาศศึกกับต่างแคว้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งแคว้น

แคว้นเยี่ยนสูญเสียมณฑลเป่ยโจวไปอย่างไรน่ะหรือ? วังเหินเวหา วิมานม่วงทองและสำนักเขากระบี่วิญญาณต่อสู้กับสำนักใหญ่หลายแห่งของแคว้นหานอย่างดุเดือดเพื่อมณฑลเป่ยโจว ทั้งสองฝ่ายประสบความเสียหายอย่างหนัก สุดท้ายสำนักบำเพ็ญเพียรที่ทรงอิทธิพลของแคว้นฉีได้เป็นแกนนำแจ้งหอเลือนสลัวให้เข้ามาระงับเหตุการณ์

หลงซิวจดจำภาพเหตุการณ์โต้แย้งถกเถียงกันในหอเลือนสลัวได้อย่างชัดเจน

กลุ่มสำนักผู้บำเพ็ญเพียรทางฝั่งแคว้นเยี่ยนยอมตกลงยุติสงคราม แต่มีข้อเรียกร้องคือให้กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายแคว้นหานคืนมณฑลเป่ยโจวมา ให้มณฑลเป่ยโจวกลับคืนสู่แคว้นเยี่ยน

เมื่อเห็นว่ารูปการณ์เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายตน ทางแคว้นหานย่อมไม่ยินยอมคืนมณฑลเป่ยโจวให้

แคว้นซ่งและแคว้นจ้าวเอนเอียงไปทางแคว้นหาน อยากจะอาศัยจังหวะที่แคว้นเยี่ยนโกลาหลเข้ามาแบ่งแยกดินแดนไปใจแทบขาด

กลับเป็นแคว้นจิ้นที่มีแผนร้ายแอบแฝง เสนอให้แคว้นหานและแคว้นเยี่ยนสู้กันให้ถึงที่สุด ผู้ใดชนะก็ได้ไปครอง

ทางแคว้นฉีและแคว้นเว่ยไม่อยากให้แคว้นเยี่ยนถูกตัดแบ่งดินแดนไป เพราะแบบนั้นจะไม่เป็นผลดีต่อพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยุติสงคราม สองแคว้นไม่สนใจว่าแคว้นเยี่ยนจะประสบความสูญเสียเช่นไร เพราะหาใช่ความสูญเสียของพวกเขาไม่ มีความต้องการเพียงอย่างเดียวคืออยากให้ยุติสงครามทันที

เรื่องนี้ทำให้กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรจากแคว้นต่างๆ เกิดความขัดแย้งกันขึ้นภายในหอเลือนสลัว

แคว้นหานไม่ยอมปล่อยมณฑลเป่ยโจวให้หลุดมือไป ส่วนกำลังของแคว้นเยี่ยนภายในหอเลือนสลัวก็อ่อนแอเกินไป ไม่มีผู้ใดช่วยทวงความเป็นธรรมให้ สุดท้ายก็จำเป็นต้องยอมไกล่เกลี่ยประนีประนอม ทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายยุติการต่อสู้ในแถบพื้นที่ที่ตนครอบครองอยู่ มณฑลเป่ยโจวจึงหลุดลอยออกไปเช่นนี้

เผิงโย่วไจ้เฝ้าสังเกตสีหน้าท่าทีอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “แต่แน่นอน ด้วยเงื่อนไขเดียวกันนี้ ไม่ว่าจะให้ผู้ใดมาปกครองมณฑลหนานโจวก็เหมือนกันทั้งสิ้น แต่ทางสำนักหยกสวรรค์ยังมีข้อได้เปรียบที่กลุ่มอิทธิพลอื่นไม่มีอยู่ นั่นคือกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญ! ทรงพลังพอจะทำให้แคว้นจ้าวนึกกริ่งเกรงได้แน่นอน สำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องไม่มีทางทำได้ มณฑลหนานโจวจำเป็นต้องรวมเป็นหนึ่งเดียว ขอท่านประมุขโปรดพิจารณาด้วย!”

หลังจากหลงซิวใคร่ครวญเงียบๆ อยู่สักพักก็เอ่ยถามว่า “หากราชสำนักสูญเสียอำนาจควบคุมมณฑลหนานโจวไป ทางราชสำนักกก็จะประสบความสูญเสียในด้านเงินภาษีไปอย่างมหาศาลด้วยเช่นกัน ราชสำนักไหนเลยจะยอมรับได้!”

พอได้ยินวาจานี้เผิงโย่วไจ้ก็นึกปรีดาอยู่ในใจ ทราบว่าอีกฝ่ายยอมอนุญาตแล้ว จึงรีบเอ่ยว่า “ภาษีที่มณฑลหนานโจวสมควรจ่ายก็จะจ่ายให้ราชสำนักดังเดิม ไม่ลดน้อยไปกว่าที่ผ่านมาแน่นอน ในข้อนี้ข้าสามารถเป็นตัวแทนสำนักหยกสวรรค์รับประกันกับท่านประมุขได้ขอรับ!”

หลงซิวถามว่า “เจ้าคิดจะเปลี่ยนมณฑลหนานโจวให้กลายเป็นมณฑลเป่ยโจวแห่งที่สองอย่างนั้นหรือ?”

ความหมายในวาจาคือ หากเจ้าเอามณฑลหนานโจวไปสวามิภักดิ์ต่อแคว้นจ้าวจะทำอย่างไรเล่า? แต่เขาก็ไม่มีทางเอ่ยออกไปตรงๆ เช่นนี้

เผิงโย่วไจ้รีบเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอนขอรับ! ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องความลำบากของสำนักเขามหายานที่ต้องพยายามรักษาชีวิตให้อยู่รอดในขณะนี้ แต่ทางมณฑลจินโจวจะยอมปล่อยให้มณฑลหนานโจวย้ายไปสวามิภักดิ์ต่อแคว้นจ้าวจนถูกศัตรูตีขนาบข้างได้อย่างไร? ถ้าเกิดมณฑลจินโจวตั้งตัวเป็นศัตรูกับมณฑลหนานโจวขึ้นมา นั่นมิเท่ากับว่ามณฑลหนานโจวรนหาที่ตายหรอกหรือขอรับ?”

……

ช่วงต้นปีของรัชศกแคว้นอู่ปีที่สองร้อยห้าสิบแปด

ห้าจังหวัดตอนล่างในมณฑลหนานโจวของแคว้นเยี่ยนเริ่มระดมพลอย่างลับๆ แต่ไม่ว่าจะดำเนินการอย่างลับๆ เพียงใด การเรียกระดมกองทัพใหญ่หลายแสนนายไหนเลยจะรอดพ้นสายตาของผู้ที่คอยจับตาดูอยู่ไปได้?

ในชั่วขณะนั้น โจวโส่วเสียนผู้ว่าการมณฑลหนานโจวเร่งร้องขอกำลังสนับสนุนจากเมืองหลวงแคว้นเยี่ยนอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มอิทธิพลในแคว้นต่างๆ ล้วนหันมาจับตามองมณฑลหนานโจวของแคว้นเยี่ยนอย่างใกล้ชิด

ด้านนอกกระท่อมฟาง หนิวโหย่วเต้าออกมาส่งซางซูชิง

ศึกใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว ซางเฉาจงได้รับคำสั่งให้นำกำลังทหารมุ่งหน้าไปยังศูนย์บัญชาการกลางของทัพใหญ่ห้าจังหวัด ต้องให้ความร่วมมือกับเฟิ่งหลิงปอเพื่อวางแผนกลยุทธ์ ในช่วงเวลานี้ซางซูชิงไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปได้ นางต้องติดตามพี่ชายไปด้วย

หนิวโหย่วเต้าเฝ้ามองซางซูชิงจากไปไกล จากนั้นเงยหน้ามองท้องนภาสีครามสดใส ในที่สุดควันเทาทึบก็สลายไปจากท้องฟ้าแล้ว เนื่องจากช่างในโรงหลอมถูกเรียกตัวติดตามกองทัพไปด้วยเช่นกัน

ก่วนฟางอี๋ถอนหายใจ “ดูเหมือนจะเกิดสงครามใหญ่ขึ้นอย่างไม่อาจเลี่ยงได้เสียแล้ว!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวเสียงเรียบ “พวกเราก็สมควรย้ายที่กันได้แล้ว”

กงซุนปู้ที่อยู่ไม่ไกลทะยานเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ประคองจดหมายลับที่ผ่านการถอดความมาแล้วให้ด้วยสองมือ “เต้าเหยี่ย จดหมายจากแคว้นฉีขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าไม่จำเป็นต้องเปิดอ่านก็รู้ว่าเป็นจดหมายจากผู้ใด พอรับไปดูก็ใช่จริงๆ เป็นจดหมายจากชายาอวี้อ๋องแห่งแคว้นฉีอีกแล้ว ส่งมาขอร้องให้เขาช่วยไปโน้มน้าวซางเฉาจงให้หยุดการเข้าโจมตีมณฑลหนานโจวอีกตามเคย

นี่เป็นจดหมายฉบับที่สามแล้ว หนิวโหย่วเต้าทราบดีว่านี่เป็นเจตนาของเฮ่าอวิ๋นถูที่อยู่เบื้องหลังแน่นอน

“สตรีนางนี้หมายความว่าอย่างไรกัน? หรือข้ายังพูดไม่ชัดเจนพอ? ไยจึงรบเร้าร้องขอมาซ้ำๆ อีก?” หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้ว

ก่วนฟางอี๋ยื่นมือไปหยิบจดหมายมาอ่าน ใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “เนื้อความในจดหมายฉบับนี้มีความอ้อนวอนมากกว่าที่ผ่านมา น่าจะมิใช่เจตนาของเฮ่าอวิ๋นถูแล้ว คาดว่าตัวนางคงอยากจัดการเรื่องราวให้สำเร็จด้วยสถานะของพระชายาอวี้อ๋อง และอาจจะเป็นเจตนาของอวี้อ๋องด้วย คิดว่าคงต้องการแสดงความสามารถของตนได้เฮ่าอวิ๋นถูได้เห็น”

หนิวโหย่วเต้าเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยกับกงซุนปู้ว่า “ให้คนเก็บข้าวของซะ เตรียมถอนตัว!”

“ขอรับ!” กงซุนปู้ตอบรับแล้วจากไป

ในเวลานี้เอง มีคนสามคนทะยานมายังตีนเขา เป็นเฟ่ยฉางหลิว เซี่ยฮวาและเจิ้งจิ่วเซียว

ทั้งสามมาในสภาพเหนื่อยล้าเปื้อนฝุ่นเพราะเพิ่งกลับจากการไปเยือนทางสำนักหยกสวรรค์มา ยังไม่ทันกลับไปยังสำนักก็มุ่งหน้ามาที่นี่ก่อนแล้ว

เมื่อทั้งสองฝ่ายพบหน้ากัน หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “สำนักหยกสวรรค์เรียกพบ สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

ทั้งสามสบตากันเล็กน้อย เซี่ยฮวาถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ยังเป็นอย่างไรไปได้อีก ต้องการให้พวกเราสามสำนักเข้าร่วมสงครามน่ะสิ”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “ไยจึงถอนหายใจเล่า หรือพวกเขาไม่ได้เสนอผลประโยชน์ใดๆ ให้พวกท่านเลย?”

ทั้งสามสื่อสารกันผ่านสายตาเล็กน้อย เฟ่ยฉางหลิวเอ่ยขึ้นว่า “ทางนั้นรับปากว่าหลังจบเรื่องจะให้พวกเราสามสำนักได้ครอบครองอาณาเขตสำนักละหนึ่งจังหวัด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำตามที่รับปากไว้หรือไม่”

“หากว่าได้รับชัยในศึกนี้ คาดว่าภายในระยะแรกสำนักหยกสวรรค์น่าจะไม่ผิดคำพูดแน่ เนื่องจากกำลังของทางสำนักหยกสวรรค์เองมีจำกัด ถึงคิดจะควบคุมหนานโจวทั้งมณฑลก็ค่อนข้างจะเกินกำลังไปอยู่ดี หลังเสร็จสิ้นสงครามกำลังของทางสำนักย่อมได้รับความเสียหายบ้างไม่มากก็น้อย การที่พวกเขาต้องการหาคนไปช่วยแบ่งเบาแรงกดดันสักหน่อยก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ส่วนวันหน้าพอสำนักหยกสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นจะเกิดผลตามมาอย่างไรก็ไม่อาจแน่ใจได้แล้ว สำหรับเรื่องพวกนี้ทั้งสามท่านก็น่าจะรู้แก่ใจดี ไยต้องแสร้งถามทั้งทีทราบความเล่า?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

ทั้งสามคนกระอักกระอ่วนพอสมควร เรื่องหลักเหตุผลอันใดทั้งสามยังคงทราบแก่ใจดี เซี่ยฮวารีบเอ่ยแก้เกี้ยวว่า “พวกเราอยากฟังความเห็นจากเต้าเหยี่ยก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เรื่องนี้นับว่าเป็นผลดีต่อสามสำนัก ย่อมต้องตกลงแน่นอนอยู่แล้ว”

ทั้งสามลังเลขึ้นมา เจิ้งจิ่วเซียวลองถามหยั่งเชิง “ให้พวกเราปฏิบัติตามคำสั่งของทางสำนักหยกสวรรค์จริงๆ น่ะหรือ?”

“แน่นอน!” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับแล้วถามต่อว่า “สามสำนักจะออกเดินทางเมื่อไร?”

เซี่ยฮวาเอ่ยว่า “มีคำสั่งให้คนของทางเราเร่งตามไปสมทบเพื่อรอฟังการบัญชาการทันที เต้าเหยี่ย ท่านจะออกเดินทางเมื่อไร?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “พวกท่านไปก่อนเถอะ ข้าจะออกเดินทางไปสมทบกับท่านอ๋องในวันพรุ่งนี้ เออใช่ คนที่ข้าต้องการ พวกท่านต้องเตรียมให้ข้าไว้พร้อมด้วย”

ทั้งสามพยักหน้ารับถี่รัว เฟ่ยฉางหลิวเอ่ยรับประกันว่า “เรื่องนี้ท่านวางใจได้ ไม่มีทางผิดพลาดแน่”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ดี อย่างนั้นพวกท่านไปเตรียมตัวก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกเราค่อยเจอกัน”

“ลาก่อน!” ทั้งสามประสานมือกล่าวอำลา

ก่วนฟางอี๋เฝ้ามองทั้งสามจากไปพลางขมวดคิ้วเอ่ยว่า “จะปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้หรือ? เห็นได้ชัดว่าทางสำนักหยกสวรรค์หลอกล่อพวกเขาด้วยผลประโยชน์ หลังจบสงคราม หากทางสำนักหยกสวรรค์ประสงค์ร้ายต่อซางเฉาจงจริงๆ เพื่อผลประโยชน์แล้ว เกรงว่าพวกเขาทั้งสามคงไม่สอดมือเข้ามายุ่ง ทางเจ้าจะยิ่งขาดอำนาจในการถ่วงดุลยิ่งกว่าเดิมนะ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าจะรั้งไว้ได้หรือ? แตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน ไม่ใช่แค่สำนักหยกสวรรค์เท่านั้นที่อยากจะก้าวหน้า แต่พวกเขาทั้งสามสำนักก็อยากจะก้าวหน้าด้วยเช่นกัน พอได้รับโอกาสเช่นนี้สามสำนักไหนเลยจะยอมพลาดไปได้? หากสถานการณ์ดำเนินไปถึงจุดนั้นจริง การที่พวกเขาจะเลือกยืนอยู่ฝั่งสำนักหยกสวรรค์มันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเช่นกัน เรื่องแบบนี้ไม่อาจฝืนใจพวกเขาได้”

ก่วนฟางอี๋ถาม “ผลประโยชน์ที่เจ้ามอบให้พวกเขาไปในแต่ละปีแลกมาด้วยการตอบแทนเช่นนี้ เจ้ายอมรับได้หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่มีอะไรยอมรับได้หรือยอมรับไม่ได้ ใส่ใจเรื่องนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ สถานการณ์สำคัญกว่าตัวบุคคล สุดท้ายแล้วพวกเขาจะเลือกยืนอยู่ฝั่งไหนก็ต้องดูทางพวกเราด้วย หากว่าพวกเราปกป้องตัวเองยังไม่รอด การจะร้องขอให้อีกฝ่ายมาร่วมลงหลุมไปด้วยกันมันก็ดูจะไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไร เมื่อปัจจัยทุกอย่างพร้อม ผลลัพธ์มันก็จะมาเอง”

ก่วนฟางอี๋กลอกตาใส่ “เจ้าช่างใจกว้างเสียจริงนะ”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “จะไปแตกหักกับพวกเขาเสียเดี๋ยวนี้มันก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? แตกหักกันตั้งแต่ตอนนี้มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดี ทั้งยังจะทำให้พวกเขาเลือกไปอยู่กับฝั่งนั้นอย่างสมบูรณ์ด้วย เมื่อถึงเวลานั้นคงยากจะดึงตัวกลับมาได้แล้ว นี่ใช่ผลลัพธ์ที่พวกเราต้องการอย่างนั้นหรือ?”

ในเวลานี้เอง เหลยจงคังทะยานเข้ามารายงานว่า “เต้าเหยี่ย มีคนมาขอพบขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าถาม “ใคร?”

เหลยจงคังเข้ามาใกล้แล้วกระซิบว่า “คนของราชสำนักแคว้นเยี่ยนขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้ว “มากันกี่คน มีธุระอะไร?”

เหล่ยจงคังตอบว่า “ชายหนึ่งหญิงหนึ่งรวมเป็นสองคนขอรับ ฝ่ายหญิงงดงามนัก แต่ไม่ได้บอกว่ามาด้วยธุระใด บอกเพียงว่าต้องการพบเต้าเหยี่ยขอรับ”

“เชิญเข้ามา” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ กระทั่งเหลยจงคังออกไปแล้ว เขาถึงได้หันไปส่งสายตาให้ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านข้างเล็กน้อย สื่อว่าให้เตรียมตัวป้องกัน

ไม่นานนัก คนในชุดคลุมมีหมวกสีดำสองคนก็เข้าสู่คฤหาสน์กระท่อมฟาง เหลยจงคังพาคนทั้งสองคนไปที่ศาลาริมน้ำ

ภายในศาลาริมน้ำ ก่วนฟางอี๋และหนิวโหย่วเต้ามารออยู่ก่อนแล้ว มีลุงเฉินพาลูกน้องหลายคนติดตามอยู่ด้านหลังเพื่อเฝ้าระวัง

แขกทั้งสองซ่อนใบหน้าอยู่ใต้หมวกคลุม จึงมองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน แต่หลังจากได้พบหนิวโหย่วเต้าก็พากันเลิกหมวกออก

เป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิงจริงๆ ฝ่ายชายเป็นบุรุษร่างผอมบาง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา สองจอนแซมหงอกผมที่เกล้าเป็นมวยเสียบปิ่นหยกเอาไว้เล่มหนึ่ง จมูกงุ้มเหมือนเหยี่ยว แววตาเย็นชา

ฝ่ายสตรีกลับมีดวงหน้างามพิลาส แฝงรัศมีผู้สูงศักดิ์เอาไว้ เพียงแต่สีหน้าเจือเค้าความอิดโรยเล็กน้อย

…………………………………………………………….