ตอนที่ 414 โปสเตอร์เสื้อผ้าของ Seaman

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 414 โปสเตอร์เสื้อผ้าของ Seaman

ครูใหญ่ใช้สายตาเบือนไปยังผู้หญิงที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญคนนั้น แล้วพูดอย่างลำบากใจ

“คือว่าอย่างนี้ค่ะ โรงเรียนอนุบาลของเรารับสมัครเด็กแค่180คนเท่านั้น แต่ไม่ถึงบ่ายสามโมงก็เต็มจำนวนแล้ว สหายท่านนี้เพิ่งมาหลังบ่ายสาม และต้องการจะสมัครเรียนให้ลูกสาวของหล่อน แต่มันไม่มีโควตาแล้ว แล้วฉันจะรับลูกสาวของเธอได้ยังไงล่ะคะ?”

ผู้หญิงคนนั้นคร่ำครวญกับหลินม่าย “ได้โปรดรับลูกสาวของฉันเข้าเรียนด้วยเถอะค่ะ แม่สามีของฉันไม่ชอบใจที่ฉันมีลูกสาวคนนี้ ตีวัวกระทบคราดฉันทุกวันยังพอว่า ยังทารุณลูกสาวฉันระหว่างที่ฉันไปทำงานไม่หยุดหย่อน”

พูดถึงตรงนี้ เธอก็ชี้ไปยังแขนและขาที่โผล่ออกมาของเด็กหญิงตัวน้อยแล้วพูด “ที่เป็นรอยช้ำจ้ำเลือดพวกนี้ก็เพราะโดนย่าของแกหยิกมาทั้งนั้น”

หลินม่ายก้มหน้าลงมอง ที่แขนและขาของเจ้าหนูน้อยเต็มไปด้วยรอยแผลจ้ำเลือดอันน่าสยดสยอง

หากไม่ใช่เพราะผิวของเด็กหญิงคล้ำดำ รอยช้ำม่วงเขียวพวกนั้นคงตะเห็นได้ชัดยิ่งกว่านี้จนน่าขนหัวลุก

ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยคร่ำครวญต่อ “ถ้าพวกคุณไม่รับลูกสาวของฉันเข้าเรียน ฉันกลัวเหลือเกินว่าแกจะถูกย่าทารุณจนตาย”

หลินม่ายถาม “แม่สามีของคุณทารุณลูกสาวคุณ แล้วสามีของคุณไม่สนใจอะไรเลยเหรอคะ?”

ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้หนักกว่าเดิม “สามีของฉันเองก็รังเกียจที่ฉันมีลูกสาวคนนี้”

หลินม่ายพูดอย่างเหนื่อยใจ “ในเมื่อคุณมีงานทำ ทำไมถึงไม่หย่ากับสามีล่ะคะ? ทำไมต้องทนใช้ชีวิตที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมแบบนี้ด้วย?”

“หยะ…หย่าเหรอคะ?” หญิงสาวอ้าปากค้าง แล้วพลันส่ายหน้าอย่างแรง “ต่อให้ตายฉันก็หย่าไม่ได้ค่ะ ฟังดูเลวร้ายมากเลย!”

หลินม่ายมองหล่อน แล้วนึกถึงเรื่องตลกเรื่องหนึ่งที่เคยเห็นบนอินเตอร์เน็ตในชาติที่แล้ว

คนยุค50ไม่หย่าจนกว่าจะตาย คนยุค60ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่หย่า

คนยุค70ทะเลาะกันให้ตายก็ไม่หย่า คนยุค80ทะเลาะกันนิดหน่อยก็หย่ากัน ส่วนคนยุค90แค่ไม่พอใจนิดหน่อยก็หย่าแล้ว

ผู้หญิงคนนี้เป็นคนยุค60พอดี จะให้หล่อนหย่า หล่อนก็ไม่มีความกล้าพอ

ไม่ใช่ว่าใครๆ จะมีความกล้าหาญเหมือนกับเถาจืออวิ๋น ที่กล้าจะท้าทายประเพณีนิยม

เธอถาม “แล้วคุณเอาเงินให้พ่อแม่ของคุณ แล้วให้พ่อแม่คุณช่วยเลี้ยงลูกไม่ได้เหรอคะ?”

ครูใหญ่พูด “ฉันเคยถามหล่อนแล้วค่ะ หล่อนบอกว่าพ่อแม่ของหล่อนต้องดูแลลูกให้พี่ชายของหล่อน จึงช่วยดูแลลูกให้หล่อ่นไม่ได้”

แววตาของหลินม่ายจ้องไปที่รอยแผลเขียวช้ำเหล่านั้นบนตัวเด็กหญิงตัวน้อยอีกครั้ง

เธอนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน แล้วพูดกับครูใหญ่ “รับเธอไว้เถอะค่ะ”

หญิงสาวคนนั้นหันมาด้วยความดีใจยิ่ง จนแทบจะก้มลงกราบครูใหญ่กับหลินม่าย

หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนการรับเข้าเรียนของหญิงสาวคนนั้น หล่อนก็พาลูกสาวเดินกลับไปด้วยความปรีดา ครูใหญ่จึงเอ่ยตำหนิขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“คุณแหกกฎแบบไม่ถูกต้องนะคะ ผู้ปกครองคนไหนก็ส่งลูกๆ เข้าโรงเรียนอนุบาลของเราเพราะเหตุผลต่างๆ นาๆ ทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นใครจะยอมจ่ายค่าเล่าเรียนเดือนละสามหยวนกัน? เอาเงินสามหยวนนั้นไปซื้อเนื้อกินไม่ดีกว่าเหรอ? คุณรู้สึกเวทนาแม่ลูกคู่นั้น จนฝืนกฎรับพวกหล่อนเข้าเรียน บางทีถ้ามีผู้ปกครองที่ต้องส่งลูกเข้าโรงเรียนอนุบาลของเราให้ได้ เพราะเหตุผลที่ถูกบีบจนไม่มีทางเลือก คุณก็จะฝืนกฎอีกเหรอคะ? ขนาดโรงเรียนอนุบาลของเราใหญ่ขนาดนี้ หากฝ่าฝืนกฎอยู่เรื่อย มีเด็กมากมายก็ผ่อนปรนไม่ไหวเหมือนกันนะคะ”

หลินม่ายเองก็เข้าใจว่าเธอควบคุมความรู้สึกเห็นใจของตัวเองไม่ค่อยได้

เธอค่อนข้างมีภูมิต้านทานกับคนหนุ่มสาว แต่เมื่อเห็นคนแก่หรือเด็กที่น่าสงสาร ก็อดที่จะอยากช่วยเหลือสักนิดไม่ได้

เธอพูดอย่างรู้สึกผิด “ต่อจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ”

ครูใหญ่พูด “เด็กๆ ที่ลงทะเบียนร้อยกว่าคน มีเด็กแค่ประมาณแปดสิบคนเท่านั้นที่จองอาหารกลางวัน เด็กอีกประมาณห้าสิบคน คนในครอบครัวจะมารับพวกเขากลับไปกินข้าวตอนเที่ยง นอกจากนี้ยังมีผู้ปกครองของเด็กอีกประมาณสิบยี่สิบคนถามว่าสามารถเตรียมอาหารมาเองแล้วอุ่นกินที่โรงเรียนได้ไหมด้วยค่ะ”

หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้า “ไม่ได้ค่ะ ถ้าเกิดอาหารที่พวกเขาเตรียมมาเองเน่าเสีย กินเข้าไปแล้วท้องเสีย แล้วให้โรงเรียนของเรารับผิดชอบจะทำยังไง?”

ครูใหญ่พยักหน้า “งั้นพรุ่งนี้ฉันจะบอกกับผู้ปกครองพวกนั้น ว่าเอาอาหารมาอุ่นที่โรงเรียนไม่ได้ แต่อนุญาตให้พวกเขามาส่งอาหารได้ คุณคิดว่ายังไงบ้างคะ?”

หลินม่ายพยักหน้า “ได้ค่ะ”

หลังออกจากโรงเรียนอนุบาล เธอก็ขี่จักรยานมาที่ห้างเจียงเฉิง

ทันทีที่มาถึงจุดขายเสื้อผ้าที่ชั้นสองของห้างเจียงเฉิง ก็เห็นโปสเตอร์ของเสื้อผ้า Seaman ขนาดใหญ่พิเศษแขวนอยู่ทั่วบริเวณ และนึกไม่ถึงเช่นกันว่านางแบบบนโปสเตอร์นั้นจะเป็นหวังหรง

หลินม่ายตกตะลึงขึ้นมาทันใด มิน่าล่ะเสื้อผ้าSeamanถึงอยากจะเล่นงานเสื้อผ้าUnique แปดสิบเปอร์เซ็นต์ต้องเป็นเพราะหวังหรงเป่าหูมาแน่

เสื้อผ้าที่หวังหรงสวมอยู่ในโปสเตอร์อย่าว่าแต่คล้ายกับเสื้อผ้าที่เถาจืออวิ๋นออกแบบเลย มันแทบจะเหมือนกันเป๊ะๆ เลยด้วยซ้ำ

หลินม่ายแกล้งปลอมเป็นลูกค้า แล้วเดินเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย เพื่อสำรวจราคาของเสื้อผ้าSeaman

ชุดกระโปรงเอี๊ยมยีนส์ที่ราคาถูกที่สุดก็ตั้ง65หยวน!

แต่ชุดกระโปรงเอี๊ยมยีนส์แบบเดียวกันของUniqueแม้ตอนนี้จะขึ้นราคาเล็กน้อย แต่ก็เพิ่งจะขายแค่55หยวน

มิน่าเหรินเป่าจูถึงบอกว่า Seaman เบียด Unique ของเธอไม่ล้มหรอก

ถึงอย่างไรราคาที่ต่างกัน10หยวน ไม่ว่าใครก็รู้ว่าจะเลือกยังไง

หลินม่ายหยิบเสื้อเชิ้ตตัวหนึ่งขึ้นมาทาบบนตัว แล้วถามพนักงานขายของเสื้อผ้า Seaman “เสื้อผ้าของพวกคุณขายแพงขนาดนี้ มีโปรโมชั่นอะไรไหมคะ?”

พนักงานขายคนนั้นยกตนข่มท่าน ยิ้มพลางพูดอย่างเหนือกว่า “พวกเราคือสมาคมการค้าฮ่องกง ขายในราคานี้ถือว่าต่ำมากแล้วค่ะ!”

หลินม่ายยิ้มกริ่มอย่างดูแคลนอยู่ในใจ

สมาคมการค้าฮ่องกงแล้วมันยังไงล่ะ ก็ไม่ใช่เสื้อผ้าแบรนด์เนมอะไรสักหน่อย เอาอะไรมาขายแพงขนาดนี้!

เธออ้อยอิ่งอยู่ที่บูธเสื้อผ้า Seaman อยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าแม้เสื้อผ้า Seaman จะขายแพง แต่ก็ยังมีคนซื้ออยู่ไม่ขาด

คงจะเกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่ตั้งจุดขายของเสื้อผ้า Seaman และโปสเตอร์ที่เห็นได้ทั่วทุกที่

ตำแหน่งจุดขายของเสื้อผ้า Seaman นั้นเป็นตำแหน่งทองคำของจุดขายเสื้อผ้าตลอดทั้งชั้นสองเลย

หลินม่ายออกมาจากบูธเสื้อผ้า Seaman ก่อนจะมองหาบูธเสื้อผ้า Unique ของตัวเอง

เธอมองหาไปพร้อมกับมองดูแบรนด์เสื้อผ้าของรัฐร้านอื่นๆ ไปด้วย ทุกร้านต่างก็ขึ้นราคากันอย่างดุเดือด

ดูเหมือนว่า แผนการทางเศรษฐกิจก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งพายุของการขึ้นราคาวัสดุในการทำเสื้อผ้าได้

แผ่นดินที่อยู่ชั้นในต่างขึ้นราคาขนาดนี้ ไม่รู้ว่าที่กว่างโจวจะขึ้นขนาดไหน

มีเวลาคงต้องโทรถามเคอจื่อฉิงดูบ้างแล้ว

หลินม่ายหาอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็หาบูธเสื้อผ้า Unique ของตัวเองเจอ

ชั่วขณะนั้นเธอก็โมโหจนแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ

ถึงแม้ก่อนหน้านี้ผู้จัดการข่งจะเคยจัดตำแหน่งบูธ Unique ของเธอเอาไว้ที่มุมห้อง

แต่มุมนั้นก็เป็นแค่มุมที่ค่อนข้างลำเอียง ตอนที่ลูกค้ามาช้อปปิ้ง ถึงแวบแรกจะมองไม่เห็น แวบที่สองก็ยังสามารถมองเห็นได้

แต่ครั้งนี้ ผู้จัดการข่งไล่บูธ Unique เข้าไปอยู่ในซอกในหลืบกันโต้งๆ นอกจากนี้ยังถูกเสื้อผ้าของร้านทางรัฐร้านอื่นๆ ล้อมกรอบเอาไว้อีกต่างหาก

อย่าว่าแต่มองแวบแรกแวบที่สองแล้วยังหายากเลย ต่อให้มองแล้วมองอีกก็ยังไม่แน่ว่าจะมองเห็น

นอกเสียจากจะเดินตระเวนช้อปปิ้ง ถึงจะสามารถหาเจอได้

ด้วยตำแหน่งยอดแย่ ถึงเสื้อผ้า Unique จะมีข้อได้เปรียบด้านราคา แต่กิจการก็ยังซบเซาอย่างมาก

เมื่อเหล่าพนักงานขายเห็นเธอ ต่างก็แสดงท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ

พวกหล่อนมาทำงานอย่างจริงจัง แต่กลับไม่มีลูกค้าเลย

ยืนอย่างไร้ประโยชน์ทั้งวัน ขายเสื้อผ้าได้แค่ไม่กี่ตัว ก็คงได้ค่าคอมมิชชั่นไม่เท่าใด ใครจะไปรู้สึกดีกัน!

หลินม่ายปลอบขวัญพวกหล่อนเล็กน้อย แล้วจึงเดินจากไป

แม้ว่าเธอจะมีประสบการณ์จากชาติที่แล้ว แต่เธอก็ไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ในทันทีทันใด

ทำได้แค่รอให้เหรินเป่าจูจัดหาพนักงานแนะนำลูกค้าแล้วรอดูผลตอบรับ ถ้าไม่ได้ผลก็ค่อยคิดหาทางอีกที

ขณะที่เธอกำลังครุ่นคิด ก็พลันได้ยินเสียงของผู้จัดการข่งพูดขึ้น “หัวหน้าหลิน มาตรวจดูธุรกิจของคุณเหรอครับ?”

หลินม่ายเงยหน้ามองเขา ปั้นหน้ายิ้มเอ่ยประชดประชัน “ใช่ค่ะ ถ้าไม่ดูก็ไม่รู้ พอได้เห็นถึงรู้ ว่าหัวหน้าข่งจะใส่ใจฉันเป็นพิเศษขนาดนี้ ตำแหน่งที่จัดให้ร้านฉันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!”

หัวหน้าข่งยิ้มเยาะ “เป็นเจตนาของเบื้องบน ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้”

หลินม่ายไม่ต่อปากกับเขาให้เยิ่นเย้อ เธอแค่นเสียงอย่างเย็นชาแล้วเดินไป

ผู้จัดการข่งรีบเรียกรั้งเธอเอาไว้ “หัวหน้าโรงงานหลิน ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณนิดหน่อย”

หลินม่ายหยุดยืน แล้วพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ “มีเรื่องอะไร คุณพูดมาเลยค่ะ”

ผู้จัดการข่งเหลือบซ้ายแลขวา พูดอย่างลำบากใจ “พูดตรงนี้ไม่เหมาะเท่าไหร่ ไปคุยกันที่ห้องทำงานของผมเถอะ”

หลินม่ายกระแทกเสียง “ฉันมีเวลาไม่มาก ไม่ว่างไปที่ห้องทำงานคุณหรอกค่ะ คุณจะคุยไหม? ถ้าไม่คุยฉันไปก่อนล่ะ!” พูดจบก็หมุนตัวเดินไปทันที

ผู้จัดการข่งขัดขวางเธออย่างรีบร้อน “อย่าเพิ่งไปสิ ผมพูดก็พอแล้วใช่ไหม?”

หลินม่ายหยุดลงอีกครั้ง มองไปที่เขาอย่างเย็นชา

ผู้จัดการข่งกระแอมสองสามครั้ง แล้วพูดอ้ำๆ อึ้งๆ “คุณเห็นว่า ร้านเสื้อผ้า Unique ของคุณไม่ได้ถูกถอน อย่างนั้นค่าเสียหายห้าหมื่นหยวน…คุณ…ก็ควรจะคืนกลับมาให้ทางห้างของเราใช่ไหมล่ะครับ?”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

โอ้โห จัดตำแหน่งร้านให้ม่ายจื่อได้น่าเกลียดมาก ยังจะให้คืนค่าเสียหายได้อีกเหรอคะ

อย่าทะนงตัวไปหน่อยเลยยัยหวังหรง ใช้ชีวิตให้ดี ๆ เถอะ อีกไม่นานเธอก็จะกลายเป็นอะไหล่มนุษย์ให้หนุ่มฮ่องกงใช้รักษาลูกเขาอยู่แล้ว

ไหหม่า(海馬)